ต้อกระจกหรือภาวะเลนส์ตาขุ่น สามารถพบได้ในสุนัขตั้งแต่อายุ 5 ปีขึ้นไป โดยสาเหตุมักเกิดจากความเสื่อมของเลนส์ตาตามอายุ หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคทางพันธุกรรม อุบัติเหตุ หรือการได้รับสารพิษบางชนิด โดยภาวะนี้ส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นลดลงหรืออาจไม่สามารถมองเห็นเลยในท้ายที่สุด
อาการของสุนัขที่เป็นต้อกระจก
ตาขุ่นขาวหรือเหลือง
มองเห็นลำแสงหรือแสงสะท้อนจากเลนส์ตา
ตาแดง
กะพริบตาบ่อย
เดินชนสิ่งของ
หลบเลี่ยงแสง
สุนัขที่เสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก
สุนัขอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
สุนัขบางสายพันธุ์ เช่น Golden Retriever, Labrado Retriever, American Cocker Spaniel, Boston Terrier , Miniature Poodle, Miniature Schnauzer, Siberian Husky
สุนัขที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อกระจก
สุนัขที่เป็นโรคเบาหวาน
วิธีการรักษา
การรักษาที่ดีที่สุดคือการผ่าตัดโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเอาเลนส์ตาที่ขุ่น (phacoemulsification) ซึ่งเป็นวิธีที่มีความแม่นยำและปลอดภัยสูง แล้วใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ หลังได้รับการผ่าตัดสุนัขส่วนมากสามารถกลับมองเห็นได้ใกล้เคียงปกติ
การดูแลสุนัขหลังผ่าตัด
ภายหลังการผ่าตัดต้อกระจก สุนัขต้องได้รับยาหยอดตาหรือยาทาตาตามที่สัตวแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนี้ ควรพาสุนัขไปตรวจตาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามอาการและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
คำแนะนำสำหรับเจ้าของสัตว์
หากเจ้าของสัตว์เริ่มสังเกตเห็นดวงตาของสุนัขมีความผิดปกติ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ป้องกันการสูญเสียการมองเห็นของสุนัขได้
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของสัตว์นะครับ
เป็นการส่องกล้องผ่านเข้าไปทางช่องปาก เพื่อดูความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ได้แก่ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น หรือส่องกล้องเข้าไปทางทวารหนักเพื่อดูความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารส่วนปลายเช่น ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ส่วนกลาง หรือส่วนปลาย
โดยมีข้อบ่งใช้ดังต่อไปนี้
การส่องกล้องเพื่อคีบเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาจากหลอดอาหาร หรือกระเพาะอาหาร
การส่องกล้องเพื่อดูลักษณะของแผลในหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร
การส่องกล้องเพื่อเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อที่ผิดปกติ และก้อนเนื้อ ของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร หรือเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อที่บริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น ส่วนปลายหรือลำไส้ใหญ่
การส่องกล้องเพื่อตรวจภาวะหลอดอาหารตีบหรือเพื่อพิจารณาการถ่างหลอดอาหาร
ข้อดีของการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร
การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารถือเป็น minimal invasive surgery สุนัขและแมวฟื้นตัวไวกว่าการผ่าตัดเปิดช่องท้อง ลดระยะเวลาการฟักฟื้นที่โรงพยาบาล
สุนัขหรือแมวเสียเลือดจากการผ่าตัดน้อย ความเจ็บปวดน้อยกว่าการผ่าตัดช่องท้อง
การวางยาสลบสั้นกว่าการผ่าตัดเปิดช่องท้อง
ทั้งนี้หากน้องสุนัขน้องแมวมีปัญหาอาเจียน ต่อเนื่อง/เรื้อรัง ให้การส่องกล้องทางเดินอาหารเป็นส่วนหนึ่งในการวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของโรค
อาการคัน อาจไม่ใช่แค่ปัญหาเห็บหมัด หรือ การติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์บนผิวหนังทั่วๆไป แต่อาจมีสาเหตุโน้มนำจากภาวะความผิดปกติหรือโรคทางผิวหนังบางอย่าง
วันนี้เราจึงอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับโรคผิวหนังยอดฮิตอีกหนึ่งโรค ที่ทำให้เกิดความรำคาญใจให้กับทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงที่รักของเรา ก็คือ ‘โรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือ Allergic Dermatitis’ โรคนี้เกิดขึ้นเหมือนกับโรคภูมิแพ้ทั่วๆไปเลย คือเกิดจากการได้รับสารที่กระตุ้นการแพ้ (allergen) ไม่ว่าจะจากการสัมผัสโดยตรง การกิน หรือสูดดมเข้าไปแล้วกระตุ้นให้เกิดอาการคัน และหากอาการคันนี้ไม่ได้รับการดูแลและรักษาที่เหมาะ อาจทำให้เป็นรอยโรคและความผิดปกติอื่นๆตามมาได้
อาการหรือรอยโรคใดบ้างที่มีแนวโน้มที่อาจเกิดจากปัญหาเรื่องภูมิแพ้ผิวหนังที่เจ้าของสามารถสังเกตได้
เกาตามตัว การเอาตัวถูไถกับสิ่งต่างๆ
อาการแทะเลียจุดใดจุดหนึ่งซ้ำๆ เช่น เลียเท้า ทำให้ขนบริเวณนั้นๆเปลี่ยนสี (saliva stain)
ผิวหนังมีสีชมพูหรือแดงกว่าปกติ
ขนร่วงเป็นหย่อม
หูอักเสบหรือเกาหูบ่อย หรืออาจเป็นอาการสะบัดหูแรงๆก็บ่งชี้ว่าคันได้
เกิดการติดเชื้อบนผิวหนังเป็นๆหายๆ (recurrent infection)
โดยอาการข้างต้นอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของภูมิแพ้ที่เป็น ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1.ภูมิแพ้ชนิดสัมผัส (Contact dermatitis)
2.ภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea allergic dermatitis)
3.ภูมิแพ้อาหาร (Food allergy)
4.ภูมิแพ้ผิวหนังอะโทปี (Atopic dermatitis) หรือภูมิแพ้ผิวหนังที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นในสิ่งแวดล้อม
คุณหมอสามารถวินิจฉัยแยกแยะภูมิแพ้แต่ละประเภทได้จากอาการแสดงและตำแหน่งรอยโรคที่แตกต่างกัน การซักประวัติเช่น อายุ เพศ พันธุ์ของสัตว์ อาหารที่ทาน ประวัติการป้องกันเห็บหมัด จำนวนสัตว์เลี้ยงที่อยู่ร่วมกัน รวมถึงการเลี้ยงในตัวบ้านหรือการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เป็นต้น นอกจากนั้นการตรวจทางห้องปฏิบัติการก็เป็นตัวช่วยเสริมในการวินิจฉัยภูมิแพ้บางประเภทได้เช่นกัน ซึ่งเมื่อทราบสาเหตุแล้วคุณหมอจึงจะสามารถรักษาและให้คำแนะนำกับเจ้าของในการดูแลสัตว์เลี้ยงได้อย่างเหมาะสมและตรงจุดมากยิ่งขึ้น
ภาวะหัวใจล้มเหลวในสุนัข มักเกิดจากการที่สุนัขมีภาวะลิ้นหัวใจรั่วในสุนัขพันธุ์เล็ก และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจบางตัวในสุนัขพันธุ์ใหญ่ โดยเมื่อเกิดภาวะหัวใจห้องซ้ายล้มเหลวมักจะพบภาวะน้ำท่วมปอด (Pulmonary edema) ส่วนภาวะหัวใจห้องขวาล้มเหลวมักจะพบการคั่งของน้ำในช่องอก-ท้อง(Pleural effusion & Abdominal effusion)
อาการที่มักพบจากภาวะหัวใจห้องซ้ายล้มเหลว (Left side congestive heart failure)
ไอ (Coughing)
หอบ หายใจเร็ว (Panting)
อ่อนแรง (Weakness)
เหนื่อยง่าย (Exercise intolerance)
เป็นลม (Syncope)
อาการที่มักพบจากภาวะหัวใจห้องขวาล้มเหลว (Right side congestive heart failure)
อ่อนแรง (Weakness)
หอบ หายใจเร็ว (Panting)
ท้องกาง (Ascites)
เส้นเลือดดำที่คอขยาย (Jugular distention)
โรคระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างในแมว (Feline Lower Urinary Tract Disease ; FLUTD) คือกลุ่มอาการผิดปกติหรือโรคที่มีผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (กระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะ) ในแมว อาการผิดปกติที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มของโรคชนิดนี้คือโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ทราบสาเหตุในแมว (Feline Idiopathic Cystitis ; FIC) โดยเชื่อว่ามีความเครียดเป็นปัจจัยที่สำคัญในการโน้มนำให้เกิดโรค
โรคระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างในแมวเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย
ปัจจัยเสี่ยงจากตัวแมว
● แมวที่น้ำหนักเกิน
● แมวที่เคยเป็นโรคไตเรื้อรังหรือมีปัญหาการทำงานในระบบทางเดินปัสสาวะ
● แมวเพศผู้ที่ทำหมันแล้วมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะเกิดก้อนผลึกหรือเป็นโรคนิ่วอุดตันท่อปัสสาวะ
ปัจจัยเสี่ยงจากอาหารหรือโภชนาการ
● การได้รับแร่ธาตุบางอย่างในปริมาณมาก เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม (มักมีอยู่ในอาหารเกรดไม่ได้มาตรฐาน)
● อาหารที่มีผลต่อค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของปัสสาวะ
● การดื่มไม่เพียงพอสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคระบบทางเดินปัสสาวะในแมวได้
ปัจจัยเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมที่บ้าน
ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการแนวโน้มให้เกิดโรคหรือกลุ่มอาการนี้
● บ้านที่มีสัตว์เลี้ยงหลายตัว
● ความเครียดจากตัวแมว จากพฤติกรรมของเจ้าของที่เปลี่ยนไป มีคนหรือสัตว์แปลกหน้าเข้ามา ความขัดแย้งกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ไม่มีที่หลบซ่อน เป็นต้น
สัญญาณบ่งบอกโรคทางเดินปัสสาวะส่วนล่างในแมว
● เดินเข้า-ออกกระบะทรายบ่อย ๆ
● ปัสสาวะในบริเวณที่ไม่เคยขับถ่ายมาก่อนในบ้าน หรือปัสสาวะกระปริดกระปรอย
● ทำท่าเบ่งปัสสาวะหรือปวดเวลาปัสสาวะ (มักส่งเสียงร้องขณะปัสสาวะ)
● เลียบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์มากกว่าปกติ
● ปัสสาวะมีเลือดปนอาจเป็นสีชมพูหรือสีเข้ม
● ปัสสาวะน้อยหรือไม่มีเลยหลังเบ่ง
● ซึมและเบื่ออาหาร
การรักษาโรคทางเดินปัสสาวะส่วนล่างในแมว
● หากแมวของคุณมีภาวะอุดตันของท่อปัสสาวะ สัตวแพทย์จะต้องนำสิ่งที่อุดตันออกอย่างรวดเร็วและอาจต้องสอดสายสวนปัสสาวะเข้าไปในท่อปัสสาวะ เพื่อให้ปัสสาวะสามารถไหลผ่านได้
● หากเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ อาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนชนิดของอาหารหรืออาจต้องผ่าตัดนำนิ่วออกมา
แม้ว่าการรักษาจะช่วยบรรเทาอาการ แต่เจ้าของก็จำเป็นปรับเปลี่ยนการจัดการเพื่อลดโอกาสการเกิดโรคในระยะยาวร่วมด้วย
การจัดการน้ำและอาหาร
● การให้อาหารเปียก
● การเพิ่มปริมาณแหล่งน้ำที่แมวสามารถเข้าถึงได้
● ภาชนะที่ใส่น้ำก็มีส่วนสำคัญต่อการกินน้ำของแมวเป็นอย่างยิ่ง (ภาชนะควรมีลักษณะกว้างและตื้น)
● ควรวางภาชะให้น้ำและอาหารแยกกัน
● ส่วนอาหารในการรักษาโรคนี้มักจะกระตุ้นให้แมวกินน้ำมากขึ้นเพื่อช่วยเจือจางความเข้มข้นของปัสสาวะ นอกจากนี้ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยลดการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ
การจัดการอื่นๆและสภาพแวดล้อมภายในบ้าน
● วางกระบะทรายไว้บริเวณที่เงียบสงบ
● มีกระบะทรายเพียงพอกับจำนวนแมว (ควรมีมากกว่าจำนวนแมวอย่างน้อย 1 อัน)
● มีอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อช่วยลดความเครียดของแมว เช่น ที่ลับเล็บ ชั้นวาง คอนโดแมว เป็นต้น
● การใช้ฟีโรโมนสังเคราะห์หรือ catnip ก็เป็นอีกทางที่ช่วยลดความเครียดและคลายความกังวลของแมวได้
โดยปกติแล้วข้อสะโพกในสุนัขมีลักษณะคล้ายกับลูกบอลที่อยู่ในเบ้า ซึ่งทำให้สุนัขเคลื่อนที่หรือขยับขาในท่าทางต่างๆได้หลายทิศทาง โดยปกติความแข็งแรงของข้อต่อนี้จะประกอบด้วย สองส่วน ส่วนแรกคือ เอ็นที่ยึดระหว่างข้อสะโพกและกระดูกต้นขา (round ligament) กับเยื่อหุ้มข้อ (joint capsule) และส่วนที่สองที่ทำให้เกิดความแข็งแรงคือ กล้ามเนื้อที่อยู่โดยรอบและแรงดันระหว่างของเหลวภายในข้อ (ภาพที่ 1)
ในสุนัขภาวะสะโพกหลุดมักเกิดการขาดของเอ็นที่ยึดระหว่างข้อสะโพกและกระดูกต้นขาทั้งจากการกระแทกที่รุนแรง เช่น รถชน หรือตกบันได หรือแรงกระชากอย่างรุนแรงจากการกัดกัน หรือในบางกรณีอาจเป็นเพียงการกระแทกหรืออุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยเช่น โดดลงจากโซฟา สะดุดล้ม ซึ่งการขาดนั้นอาจเกิดจากเสื่อมของข้อสะโพกและเอ็นก่อนหน้า
การหลุดของข้อสะโพกนั้นเกิดขึ้นได้กับสุนัขทุกสายพันธ์ุ ทุกเพศ ทุกช่วงอายุโดยมีอาการเหล่านี้
สุนัขไม่ลงน้ำหนักขาข้างที่ข้อสะโพกหลุด
ขาบิดเข้าหรือออกในทิศทางที่ผิดปกติและสั้นกว่าปกติ
เจ็บและร้องครางเวลามีการขยับหรือสัมผัสบริเวณสะโพก
ปกติแล้วการหลุดของข้อสะโพกมีหลักๆ 2 แบบ คือ
Craniodorsal luxation หรือ การหลุดออกของหัวกระดูกต้นขาหลุดจากข้อสะโพกไปทางด้านหน้าและขึ้นข้างบนของเบ้าสะโพก ซึ่งการหลุดแบบนี้พบได้มากที่สุด
Caudoventral luxation เป็นการหลุดที่จะพบว่าหัวกระดูกต้นขาหลุดจากข้อสะโพกลงมาด้านหลังและลงด้านล่างของเบ้าสะโพก (ภาพที่ 2)
- การวินิฉัยและการแก้ไข -
การวินิจฉัยสามารถทำได้ด้วยการตรวจทางกระดูก (orthopedic exam) โดยคุณหมอจะคลำในตำแหน่งที่เป็น landmark ปกติ หากมีการเปลี่ยนแปลงไป อาจบ่งบอกถึงข้อสะโพกหลุด หรือการทำ thumb method คุณหมอจะทำการขยับกระดูกต้นขาสุนัขหรือไม่พบการหนีบสามารถบ่งบอกได้ว่ามีการเคลื่อนของข้อสะโพก (ภาพที่ 3)
ทั้งนี้การเอ็กซเรย์มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยเพิ่มเติมเช่นบางรายมีการแตกของหัวกระดูกการแตกของกระดูกเชิงกรานร่วมด้วย ซึ่งทำให้แผนการรักษาเปลี่ยนไป
- การรักษา - (ภาพที่ 4)
จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่นด้วยเช่นการมีข้อสะโพกเสื่อม การแตกหักของหัวกระดูกและเบ้า ซึ่งส่งผลต่อกระดูกอ่อน และมีแนวโน้มทำให้เกิดข้อสะโพกอักเสบ การทำการตัดหัวกระดูกหรือการเปลี่ยนข้อสะโพกจะเป็นตัวเลือกในการรักษา แต่หากยังไม่มีความเสียหายสามารถทำการดันกลับทั้งแบบปิดและแบบเปิดได้
การดันข้อสะโพกกลับเข้าที่แบบปิด(closed reduction)ใช้เวลาในการวางยาสั้น แต่มีปัจจัยเรื่องของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้การดึงเข้านั้นสำเร็จโดยปกติมักไม่เกิน 48-72 ชั่วโมง โดยหลังจากทำการดึงเข้าจะมีการพันขาด้วยสลิงเพื่อให้มีการพักการใช้งานและหวังผลให้เกิดการหายของเยื่อหุ้มข้อเพื่อไม่ให้เกิดการหลุดซ้ำ
การดันข้อสะโพกกลับเข้าที่แบบเปิด(opened reduction) วิธีนี้จะทำการผ่าตัดเปิดเข้าข้อสะโพกเพื่อนำกระดูกกลับเข้าเบ้าแล้วยึดเบ้าด้วยเอ็นเทียมหรือเยื่อหุ้มข้อเทียม เช่น toggle rod, prothesis capsule replacement, extracapsular iliofemoral suture และทำการเย็บซ่อมแคปซูลของข้อ โดยจะทำเมื่อไม่สามารถดันกระดูกเข้าเบ้าด้วยวิธีการดันข้อสะโพกเข้าที่แบบปิด
กรณีมีการหลุดซ้ำ ข้อสะโพกเสื่อมหรือการแตกหักของกระดูกเชิงกรานหรือหัวกระดูก
การตัดหัวกระดูก(Femoral head and neck excision) โดยการตัดหัวกระดูกของกระดูกต้นออก และหวังให้สุนัขเกิดลักษณะของข้อเทียม(false joint) มักใช้ในการทำให้สุนัขปราศจากจากความเจ็บปวด
การเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม(total hip replacement) เป็นวิธีที่ทำการแทนที่ข้อสะโพกและหัวกระดูกด้วยข้อเทียม ทำให้การเดินกลับมาเหมือนปกติ
ทั้งนี้ขั้นตอนและการผ่าตัดขึ้นอยู่กับสถานะของสัตว์และดุลยพินิจของสัตวแพทย์ในการเลือกการจัดการดูแลที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด
โรคลำไส้อักเสบในสุนัข (Canine Parvovirus) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Canine Parvovirus type 2 (CPV-2) โดยติดจากการกินเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ในอุจจาระ, สารคัดหลั่ง หรือตามสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ดิน ทราย ภาชนะอาหาร กรง ที่นอน และอุปกรณ์ต่างๆ เชื้อไวรัสชนิดนี้มีความคงทนมากและสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายเดือน
สุนัขที่จัดเป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่
ลูกสุนัขเล็กๆ และสุนัขอายุเยอะ
สุนัขที่ยังไม่ได้ทำวัคซีน
สุนัขที่ถูกเลี้ยงกันอย่างแออัด เกิดความเครียดจนภูมิคุ้มกันตก
สุนัขจะแสดงอาการป่วยภายใน 3-7 วันหลังจากได้รับเชื้อ ส่วนใหญ่อาการจะเริ่มจากซึม เบื่ออาหาร อาจมีไข้ ตามมาด้วยอาเจียน ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำสีดำ ไปจนถ่ายเป็นเลือด มีกลิ่นคาว ซึ่งในระยะนี้หากสุนัขไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้ ในลูกสุนัขอายุน้อยๆอาจมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจร่วมด้วย
การตรวจวินิจฉัย
นอกจากคุณหมอจะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายสุนัขแล้ว สิ่งที่ใช้ยืนยันได้ดี คือ การตรวจหาเชื้อไวรัสจากอุจจาระด้วยวิธี ELISA โดยใช้ Test kit CPV หรือการตรวจด้วยวิธี PCR ร่วมกับการตรวจเลือด เพื่อประเมินความรุนแรงและวางแนวทางการรักษาให้ทันท่วงที
แนวทางการปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคลำไส้อักเสบ
• หากมีสุนัขตัวใหม่เข้ามา ควรแยกเลี้ยงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนนำมาเลี้ยงรวมกับสุนัขตัวอื่นๆ
• หลีกเลี่ยงการเลี้ยงที่จะทำให้น้องหมาเครียด เช่น การเลี้ยงรวมกันจำนวนมาก การให้อาหารไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสม เป็นต้น เพราะจะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงได้
• หลีกเลี่ยงการปล่อยสุนัขในสภาพแวดล้อมภายนอกหรือแหล่งที่มีความเสี่ยง
• หลีกเลี่ยงการเล่นกับน้องหมาแปลกหน้าที่ไม่ทราบประวัติการทำวัคซีน
• หากมีสุนัขที่ป่วยต้องแยกเลี้ยงโดยทันที เพื่อง่ายต่อการดูแลและป้องกันการแพร่เชื้อ
• ควรล้างมือ และทำความสะอาดเสื้อผ้า รองเท้าด้วย หากไปสัมผัสสุนัขที่ป่วยมา
• ทำความสะอาดบริเวณพื้นกรง และอุปกรณ์ต่างๆของสุนัขที่ป่วย ด้วยสารฟอกขาว (Sodium hypochlorite)
• หากสุนัขหายป่วยแล้ว ต้องแยกเลี้ยงต่อไปอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และก่อนนำมาเลี้ยงรวมกันควรต้องอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายป้องกันเชื้อที่ยังอยู่ตามขนและผิวหนัง
• แนวทางสุดท้ายเป็นวิธีป้องกันสุนัขจากเชื้อที่ดีที่สุด คือ การทำวัคซีนให้สุนัขมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ โดยเริ่มทำวัคซีนให้สุนัขได้ตั้งแต่อายุ 8 สัปดาห์ แล้วให้กระตุ้นซ้ำอีก 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2-4 สัปดาห์ รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง จากนั้นให้กระตุ้นซ้ำเป็นประจำทุกๆ ปี
เจ้าของน้องแมวหลายๆท่าน คงสงสัยกันแล้วสินะว่าทูนหัวของบ่าวนั้น แก่ตัวไปกระดูกกระเดี๊ยวจะเป็นอย่างไร ข้อเสื่อมเหมือนคนไหม บทความนี้ เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะทำให้ เจ้าของแมวสามารถสังเกตอาการหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเพื่อเข้าถึงการรักษาหรือการจัดการปัญหาข้อเสื่อมในแมว
--------------------------------------------------------
หากกล่าวถึงสาเหตุหรือโรคที่ทำให้มีอาการเจ็บเรื้อรังในแมวมักพบได้จากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็น ช่องปากอักเสบ เหงือกอักเสบ กระเพราะปัสสาวะอักเสบ หูอักเสบและสิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็คือ " ข้อเสื่อม"
การเกิดโรคข้อเสื่อมในแมว มักพบในแมวที่อายุมาก จากการศึกษาพบว่าอุบัติการณ์การเกิดโรคในแมวมักมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 6.5 ปี คิดเป็น 34 % และแมวที่อายุมากกว่า 12 ปี ขึ้นไป กว่า 90 % ที่มีอาการข้อเสื่อม อย่างไรก็ตามโรคข้อเสื่อมนี้มักไม่ถูกสังเกตจากผู้เลี้ยง มีเพียง 13 % เท่านั้นที่ถูกวินิจฉัย สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้เจ้าของสัตว์สามารถสังเกตอาการเหล่านี้ได้คือการที่สัตวแพทย์บอกเจ้าของถึงอาการต่างๆ
ทั้งนี้เนื่องจากข้อเสื่อมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การตรวจคัดกรองหรือการวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็วที่สามารถระบุอาการข้อเสื่อมระยะแรกได้ จะช่วยให้น้องแมวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หายทรมาณจากความเจ็บปวดและการเคลื่อนไหวที่ลดลง
อาการข้อเสื่อม
ข้อเสื่อมกับความเจ็บปวดอาจไม่ได้สัมพันธ์กันชัดเจนนัก จนเจ้าของสังเกตได้ แต่ความเจ็บปวดจะสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเคลื่อนที่ที่เปลี่ยนไป โดยธรรมชาติแล้วแมวมักออกหากินเวลากลางคืน ดังนั้นเจ้าของอาจไม่เห็นขณะที่แมวแสดงอาการ เมื่อเปรียบเทียบกันในสุนัข สุนัขมักแสดงอาการเดินกะเผลกการเดินกะเผลกแต่เราจะไม่พบอาการเหล่านี้ในแมว นอกจากนี้แมวยังใช้เวลาเคลื่อนไหวในแนวตั้งมากกว่า (เช่น กระโดด, ปีน) เมื่อเทียบกับสุนัข สำหรับแมวตำแหน่งที่สูงๆ เช่น บนตู้เย็นหรือบนตู้หนังสือเป็นสถานที่ปลอดภัย มีจุดชมวิวที่ดี การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหว โดยที่แนวดิ่งกลายเป็นแนวนอนมากขึ้น เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของความเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับข้อเสื่อมซึ่งเจ้าของส่วนใหญ่ไม่ทราบ
เครื่องมือสำหรับเจ้าของแมว
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมหลายอย่างบ่งบอกถึงความสามารถในการเคลื่อนไหวของข้อที่เปลี่ยนไปโดยหมอสรุปให้สั้น 7 ดังนี้
1.กระโดดขึ้นที่สูงทีละขั้น แทนที่จะกระโดดทีเดียว: หลายครั้งที่น้องแมวลังแลที่จะกระโดดขึ้นพยายามจะเข้าไปเช็คความสูงของโต๊ะ แล้วตัดสินใจกระโดดไปในที่ที่เตี้ยกว่าก่อน เนื่องจากการทำงานของข้อที่ผิดปกติ
2.กระโดดลง โดยพยายามไต่ลงให้ต่ำที่สุดก่อน: เช่นเดียวกับการกระโดดขึ้นหลายตัวลังเลที่จะลงจากโต๊ะหรือจากตู้ ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อนที่ขึ้นและลงได้โดยไม่ต้องคิด
3.สนใจของเล่นหรืออยากเคลื่อนไหวน้อยลง: เมื่อมีอาการข้อเสื่อมแมวมักใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอนมากกว่าพฤติกรรมที่เคยเล่น ไม้ตบ หรือลับเล็บก็หายไป
4.มีพฤติกรรมทำความสะอาด ตัวเองลดลง: การกรูมมิ่งหรือพฤติกรรมในการดูแลตัวเองมักหายไปเมื่อแมวไม่สบายหรือรู้สึกเจ็บที่ต้องเอี้ยวตัวเนื่องจากข้อเสื่อมในแมวไม่ได้เกิดขึ้นแค่รยางค์แขนขา กระดูกสันหลังเองก็เป็นจุดหนึ่งที่เจอได้
5. เจ็บหรือสะดุ้งเมื่อสัมผัสตัว: ในรายที่อาการเจ็บของข้อพัฒนาเป็นการเจ็บเรื้อรัง เพียงการสัมผัสก็กระตุ้นความเจ็บปวดได้
6.ไม่อยากเข้ากระบะทราย อึฉี่นอกกระบะทราย: การปีนเข้ากระบะทรายขอบสูง หรือต้องกระโดดเข้าไปในแมวที่มีข้อเสื่อมเป็นสิ่งที่แมวไม่อยากทำเนื่องจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับข้อ หลายๆตัวเลยเลี่ยงที่จะเข้ากระบะและอาศัยการอึฉี่นอกกระบะ
7.ขึ้นลงบันไดลำบาก ความสามารถในการเคลื่อนไหวใน: แนวตั้งลดลงการขึ้นลงบันไดทำได้ช้า มีหยุดพักเป็นช่วงๆ
ซึ่งหากทูนหัวของบ่าวท่านใดมีอาการข้างต้นดังนี้ มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคข้อเสื่อมในแมวการตรวจร่างกาย การถ่ายรังสีเอกซเรย์ เป็นอีกทางเลือกนึงที่จะทำให้ทูนหัว หรือน้องแมวของท่านได้รับการรักษาตั้งแต่ในระยะแรก เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หายทรมานจากความเจ็บปวดและการเคลื่อนไหวที่ลดลง
เป็นหนึ่งในโรคที่เจอบ่อยในสุนัขอายุมาก โดยมีอุบัติการณ์อยู่ที่ 56% ซึ่งเมื่อเกิดการขาดของเอ็นแล้วจะส่งผลต่อการเกิดข้อเสื่อมตามมาไม่ช้าก็เร็วได้ที่หัวเข่า โดยส่วนมากน้องสุนัขที่มีความเสี่ยงกับเอ็นไขว้หน้าขาดนั้นมักเป็นสุนัขอายุมาก น้ำหนักตัวเยอะ ทำหมันแล้ว โดยมักพบในพันธุ์ Rottweiler, Labrador Retriever, Bulldog และ boxer ซึ่งมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 5.5 ปีในสุนัขพันธ์ใหญ่(มากกว่า 15 กิโลกรัม) ในขณะที่พันธ์ุเล็กมีอายุราว 7.4 ปี
การวินิจฉัยเบี้องต้นสามารถใช้การคลำตรวจ จะพบข้อบวม กล้ามเนื้อผ่าลีบ พิสัยข้อที่ลดลง ข้อขรุขระ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความรุนแรงที่เป็น การตรวจที่เฉพาะเจาะจงเช่นการทำ Cranial drawer sign test, Tibial compression test จะช่วยให้สามารถตรวจได้ว่าเกิดการขาดของเอ็นหรือไม่ นอกจากนี้การถ่ายภาพทางรังสี ยังสามารถช่วยประเมินข้อเสื่อมได้อีกด้วย
การรักษาปัจจุบันการรักษาที่ทำให้สุนัขกลับมาเดินได้อย่างปกติจะเป็นการผ่าตัดปรับมุมกระดูก หรือการใช้เอ็นเทียม หากแต่สุนัขบางตัวมี condition หรือภาวะโรคทางร่างกายที่ยังไม่สามารถผ่าตัดได้ การให้ยาบำรุงข้อ ยาลดอักเสบก็เป็นอีกทางเลือกนึงในการประคับประคองอาการ หากแต่ยาลดอักเสบ หากใช้ในระยะเวลานานหรือในรายที่มีปัญหาของระบบร่างกาย เช่น ค่าตับ ค่าไต ที่สูงขึ้นก็อาจเป็นอันตรายได้ การใช้เภสัชโภชนาหรือที่เรารู้จักในชื่อกลุ่มยาบำรุงข้อ สามารถลดอักเสบได้ระดับนึง การเพิ่ม alternative therapy อย่าง LASER therapy สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการอักเสบ ลดปวดและประคับประคองให้น้องสุนัขที่คุณรักกลับมาเดินได้เช่นกัน
สุดท้ายนี้หมอขอฝากไว้ว่าปัญหากระดูกและข้ออาจจะดูเป็นปัญหาหาที่ไม่ถึงกับชีวิต แต่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต การหายทุกข์ ทรมานจากความเจ็บปวดและการเคลื่อนไหวที่ลดลงทำให้เขากลับมามีความสุข และใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้ง
เป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์หน้าสั้น เช่น French Bulldog, English Bulldog, Pug, Boston Terrier, Chihuahua, Pomeranian เป็นต้น ซึ่งเป็นความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดครับ แต่จะเริ่มแสดงอาการในสุนัขช่วงอายุประมาณ 6 เดือนจนถึง 5 ปีครับ โดยความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดเช่น เพดานอ่อนยาว (Elongated soft palate) จมูกตีบแคบ (Stenotic nares) หลอดลมขนาดเล็ก (Hypoplastic trachea) ซึ่งความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดสามารถส่งผลให้เกิดความผิดปกติที่ตามมาซึ่งส่งผลให้สุนัขแสดงอาการที่รุนแรงมากขึ้น เช่น ภาวะกล่องเสียงตีบแคบ (Laryngeal collapse) หลอดลมตีบ (Tracheal collapse) ทอนซิลบวม (Everted tonsils) หรือ ฮีทสโตรก
คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักเห็นอาการทางคลินิกเหล่านี้ เช่น อาการทางระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ อาการกรน, เสียงหายใจดัง, จมูกตีบแคบ เหนื่อยง่าย, ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ เป็นต้น ในส่วนของอาการของทางระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อาการขย้อน, อาเจียน, กลืนอาหารลำบาก เป็นต้น ซึ่งถ้าลูกๆของเรามีอาการเหล่านี้แล้วคาดเดาได้เลยว่าน่าจะมีปัญหากลุ่มอาการทางเดินหายใจอุดกั้นในสุนัขพันธุ์หน้าสั้น
การรักษากลุ่มอาการทางเดินหายใจอุดกั้นในสุนัขพันธุ์หน้าสั้น ทำอย่างไร?
เนื่องจากภาวะนี้ เป็นความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดในเรื่องของโครงสร้าง ดังนั้นการรักษาจึงต้องอาศัยการผ่าตัดเป็นหลักครับ โดยทำการผ่าตัดเพดานอ่อนยาว (Staphylectomy) กับแก้ไขจมูกตีบแคบ (Alaplasty) เป็นหลักครับ ในส่วนของการผ่าตัดเสริม เช่น การผ่าตัดทอนซิล (Tonsillectomy) จะทำในกรณีที่เกิด ภาวะทอนซิลบวม (Everted tonsils) ซึ่งบวมมาปิดหรือบดบังทางเดินหายใจ เราถึงจะทำการผ่าตัดนะครับซึ่งสามารถทำพร้อมกันกับการตัดเพดานอ่อน และการผ่าตัดแก้ไขจมูกตีบแคบได้เลยครับ
ทางด้านการรักษาทางยา สามารถช่วยบรรเทาอาการทางคลินิกต่างๆได้ เช่น การลดน้ำหนัก การให้สุนัขอยู่ในที่อากาศเย็นสบาย อากาศถ่ายเท หยุดหรือลดการออกกำลังกายในช่วงที่มีอากาศร้อนหรือแดดจัด การให้ยาในกลุ่มลดกรดของระบบทางเดินอาหาร หรือการให้ยาต้านอาการอักเสบ เป็นต้น แต่ไม่สามารถรักษาทำให้กลุ่มภาวะนี้หายขาดได้นะครับ เนื่องจากภาวะนี้เป็นความผิดปกติที่โครงสร้างครับ จึงต้องเน้นการผ่าตัดแก้ไขเป็นหลักครับ
คยสงสัยกันไหมว่าการทำหมันให้สัตว์เลี้ยงนั้น
มีข้อดียังไงทำไมต้องทำอันตรายไหม
วันนี้ 𝗠𝗼𝘁𝗶𝘃𝗲𝘁 𝗔𝗻𝗶𝗺𝗮𝗹 𝗛𝗼𝘀𝗽𝗶𝘁𝗮𝗹 จะมาตอบข้อสงสัย
ที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงหลาย ๆ ท่านถามเข้ามากัน
การทำหมัน เป็นวิธีการคุมกำเนิดถาวรที่ดีที่สุด
สามารถทำได้ทั้งสัตว์เลี้ยงเพศผู้ และ เพศเมีย
โดยอายุที่สามารถเริ่มทำได้คือช่วงอายุตั้งแต่ 6 เดือน
ขึ้นไปหรือก็คือช่วงที่สัตว์เลี้ยงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เเล้วนั่นเอง (Puberty period)
นอกจากนี้การทำหมันยังมีประโยชน์อื่นๆ ดังนี้
- ลดการปัสสาวะไม่เป็นที่ เพื่อแสดงอาณาเขต
ที่ทำให้เกิดความสกปรก และ มีกลิ่นเหม็น
- ลดการหนีเที่ยวนอกบ้าน เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
และ ระยะเป็นสัด (Estrus) สัตว์เลี้ยงมักจะมีพฤติกรรม
การหนีออกไปนอกบ้านเพื่อผสมพันธุ์กับสัตว์เพศตรงข้าม
- ลดความก้าวร้าวทั้งการต่อสู้ระหว่างสัตว์ด้วยกัน
หรือกับคนในบ้าน การทำหมันช่วยลดฮอร์โมนเพศผู้
ทำให้สัตว์เลี้ยงเรียบร้อยขึ้น ลดความก้าวร้าวได้
- ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางระบบสืบพันธุ์ต่าง ๆ อาทิ
เช่น มดลูกอักเสบ ต่อมลูกหมากโต มะเร็งเต้านม มะเร็ง
อัณฑะ ฯลฯ
- ลดจำนวนประชากรสัตว์เลี้ยง เพราะไม่ได้มีการคุมกำเนิด
การทำหมันจึงเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ถาวรที่ดีที่สุด
เพื่อลดประชากรสัตว์เลี้ยงที่ไม่ต้องการได้
สำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่กำลังเป็นกังวลเรื่องการวางยาสลบ
ทาง 𝗠𝗼𝘁𝗶𝘃𝗲𝘁 𝗔𝗻𝗶𝗺𝗮𝗹 𝗛𝗼𝘀𝗽𝗶𝘁𝗮𝗹 ใช้การวางยาสลบด้วยเครื่องดม
ยาสลบที่ได้มาตรฐานร่วมกับเครื่องมอนิเตอร์สัญญาณชีพอย่างครบวงจร
สำหรับสัตว์เลี้ยงทุกตัวที่ทำการวางยาสลบ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจาก
การวางยาสลบให้ได้มากที่สุด และยังมีทีมสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการ
ผ่าตัด-วิสัญญีโดยเฉพาะเป็นผู้ดูแลตั้งเเต่ก่อนวางยาสลบไปถึงหลังการ
ผ่าตัดจนสัตว์เลี้ยงฟื้นจากยาสลบอีกด้วย
และนี่ก็คือ ข้อดี & ประโยชน์ของการทำหมันให้สัตว์เลี้ยง สำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่สนใจสามารถเข้ามาปรึกษากับทีมสัตว์แพทย์ของ 𝗠𝗼𝘁𝗶𝘃𝗲𝘁 𝗔𝗻𝗶𝗺𝗮𝗹 𝗛𝗼𝘀𝗽𝗶𝘁𝗮𝗹 เพิ่มเติมได้ ทางเราพร้อมให้คำปรึกษาเเละการดูแลโดย ทีมสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ครอบคลุมทุกปัญหาสุขภาพและการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงทุกประเภท
โดยปกติเเล้วระยะเวลาในการตั้งท้อง (𝗚𝗲𝘀𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗣𝗲𝗿𝗶𝗼𝗱)
ของสัตว์แต่ละชนิดหรือสายพันธุ์จะมีความเเตกต่างกัน
สุนัขจะมีการตั้งท้องโดยเฉลี่ยเเล้วประมาณ 𝟲𝟯 วัน
หรืออยู่ระหว่าง 𝟱𝟲 - 𝟳𝟮 วัน
และแมวจะมีระยะการตั้งท้องประมาณ 𝟲𝟱 วัน
หรืออยู่ระหว่าง 𝟱𝟮 - 𝟳𝟰 วัน โดยระยะเวลาการตั้งท้อง
สามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ จากหลายปัจจัยเช่นอายุ
พันธุ์ หรือ จำนวนลูกสัตว์ในท้อง เป็นต้น
การตรวจการตั้งท้อง (𝗣𝗿𝗲𝗴𝗻𝗮𝗻𝗰𝘆 𝗗𝗶𝗮𝗴𝗻𝗼𝘀𝗶𝘀)
ปัจจุบันการตรวจเช็คการตั้งท้องของสัตว์นั่นได้มีการ
พัฒนาเป็นอย่างมาก สัตวเเพทย์และเจ้าของจึงมีทางเลือก
และเครื่องมือในการตรวจการตั้งท้องที่มากขึ้น โดยการ
ตรวจแต่ละวิธีจะมีความจำเพาะ ความแม่นยำ จุดเด่น
เเละข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
- การคลำช่องท้อง (𝗔𝗯𝗱𝗼𝗺𝗶𝗻𝗮𝗹 𝗣𝗮𝗹𝗽𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻)
ใช้การคลำท้องเพื่อหาลักษณะถุงน้ำบริเวณปีกมดลูก
วิธีการนี้สามารถมักทำได้ในแมวและสุนัขที่รูปร่างไม่อ้วน
จนเกินไปโดยการตรวจด้วยวิธีนี้ในสุนัขจะสามรถตรวจ
ได้ที่อายุการตั้งท้องประมาณ 𝟮𝟭 - 𝟮𝟴 วัน และสำหรับ
ในแมวจะสามารถ ตรวจได้ที่อายุการตั้งท้องประมาณ
𝟮𝟲 - 𝟯𝟬 วัน
- เอกซเรย์ช่องท้อง (𝗫-𝗥𝗮𝘆)
การเอกซ์เรย์ช่องท้องเป็นวิธีการตรวจที่แม่นยำที่สุด
ในการบอกตำแหน่งและตรวจนับจำนวนลูกสัตว์ในท้อง
โดยในสุนัขจะสามารถตรวจได้เร็วที่สุดที่อายุการตั้งท้อง
ประมาณ 𝟰𝟮 วัน และ สำหรับในแมว จะสามารถตรวจได้
เร็วที่สุดที่อายุการตั้งท้องประมาณ 𝟰𝟬 วัน โดยที่วิธีนี้จะมี
ความแม่นยำมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่อายุการตั้งท้อง
เกิน 𝟰𝟱 วันขึ้นไป
- อัลตราชาวด์ช่องท้อง (𝗔𝗯𝗱𝗼𝗺𝗶𝗻𝗮𝗹 𝗨𝗹𝘁𝗿𝗮𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱)
การอัลตราซาวด์ช่องท้องป็นวิธีการตรวจที่สามารถตรวจ
การตั้งท้องของสัตว์ได้ตั้งแต่อายุการตั้งท้องยังน้อย
สามารถใช้เพื่อดูพัฒนาการของการตั้งท้อง และตรวจหา
ความผิดปกติต่าง ๆ ของลูกสัตว์ในท้องได้ อีกทั้งยัง
เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุดใน การใช้ทำนายวันคลอด
ของสัตว์ที่ตั้งครรภ์อีกด้วย โดยในสุนัข จะสามารถตรวจ
ได้ที่อายุการตั้งท้องประมาณ 𝟭𝟴 วัน สำหรับแมวจะ
สามารถตรวจได้ที่อายุการตั้งท้อง 𝟮𝟭 วัน โดยในแมว
มักจะนับจากการผสมพันธุ์ครั้งสุดท้าย (𝗟𝗮𝘀𝘁 𝗺𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴)
- การตรวจด้วยฮอร์โมน 𝗥𝗲𝗹𝗮𝘅𝗶𝗻 (𝗥𝗲𝗹𝗮𝘅𝗶𝗻 𝗔𝘀𝘀𝗮𝘆𝘀)
การตรวจระดับฮอร์โมน 𝗥𝗲𝗹𝗮𝘅𝗶𝗻 เป็นการตรวจที่ไม่เป็น
ที่นิยมมากนัก แต่ก็เป็นอีกทางเลือกที่สามารถใช้ในการ
ตรวจการตั้งท้องได้โดยสุนัขจะสามารถตรวจได้
ที่อายุการตั้งท้องประมาณ 𝟰𝟬 - 𝟱𝟬 วัน สำหรับแมว
จะสามารถตรวจได้ที่อายุการตั้งท้องประมาณ 𝟰𝟮 - 𝟱𝟬 วัน
- การดูแลสัตว์ตั้งท้อง
เมื่อเราทราบแล้วว่าสัตว์เลี้ยงของเราตั้งท้อง เราจำเป็น
จะต้องดูเเลสัตว์ของเรามากขึ้น เริ่มจากการปรับอาหารที่
ให้เป็นสูตรที่มีโปรตีนเเละให้พลังงานที่มากขึ้น เช่น
สูตรแม่เลี้ยงลูกหรือสูตรอาหารสำหรับลูกสัตว์ เป็นต้น
และเรายังสามารถเพิ่มอาหาร เสริมจำพวกกรดโฟลิค
(𝗙𝗼𝗹𝗶𝗰 𝗔𝗰𝗶𝗱) โดยการทานกรดโฟลิคมีรายงานว่า
สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเพดานโหว่
ในลูกสัตว์ได้แต่มักจะมีความเข้าใจผิดสำหรับเจ้าของ
สัตว์เลี้ยงในการให้ทาน อาหารเสริม จำพวกแร่ธาตุ
แคลเซียม โดยในระยะการตั้งท้องของ สัตว์เรายังไม่มี
ความจำเป็นในการให้ทานแคลเซียม นอกจากนั้น
การทานเเคลเซียมอาจทำให้เกิดผลเสียโดยอาจจะ
ไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนกลุ่มที่ควบคุมสมดุล
แคลเซียม-ฟอสฟอรัส อีกด้วย
สุดท้ายนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์กำลังจะทำการคลอด
หรือไม่ (𝗣𝗿𝗲𝗱𝗶𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗢𝗳 𝗧𝗵𝗲 𝗗𝗮𝘆 𝗢𝗳 𝗣𝗮𝗿𝘁𝘂𝗿𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻) โดย
เราจะสามารถคาดเดาได้คร่าวๆจากการสังเกต
พฤติกรรม รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ของสัตว์เลี้ยง
- พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป (𝗕𝗲𝗵𝗮𝘃𝗶𝗼𝘂𝗿𝗮𝗹 𝗖𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲𝘀)
สัตว์ที่กำลังจะคลอดมักจะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยมักจะมีอาการดังต่อไปนี้ก่อนการคลอดประมาณ
𝟭𝟮 - 𝟮𝟰 ชม. เจ้าของมักจะสังเกตเห็นอาการดังต่อไปนี้
เช่น เบื่ออาหาร ทานน้อยลง,กระวนกระวาย หนีไปหาที่
สงบ หรือแยกไปอยู่ตัวเดียว ,พยายามทำรัง, หลั่งน้ำนม
เป็นต้น
- อุณหภูมิร่างกาย (𝗕𝗼𝗱𝘆 𝗧𝗲𝗺𝗽𝗲𝗿𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲)
อุณหภูมิของสัตว์ที่กำลังจะคลอดมักจะลดต่ำลงอย่าง
รวดเร็ว ในช่วงก่อนการคลอด เจ้าของสามารถทำการ
วัดอุณหภูมิของสัตว์เลี้ยงโดยการสอดปรอทวัดไข้เข้าไป
ทางรูทวารหนักของสัตว์เพื่อวัดอุณหภูมิได้ หากอุณหภูมิ
ของสัตว์เลี้ยงลดต่ำลงมาถึง 𝟯𝟱 - 𝟯𝟳 𝗖 (𝟵𝟱 - 𝟵𝟲.𝟴 𝗙)
สัตว์เลี้ยงมักจะต้องเริ่มเข้าสู่ระยะการคลอดภายใน
𝟭𝟮 ชั่วโมง
- ตรวจระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
(𝗦𝗲𝗿𝘂𝗺 𝗣𝗿𝗼𝗴𝗲𝘀𝘁𝗲𝗿𝗼𝗻𝗲)
ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะลดต่ำลงในสัตว์ที่
ใกล้คลอดหากระดับฮอร์โมนลดต่ำลงจนถึง 𝟮 𝗻𝗴/𝗺𝗹
สัตว์จะต้องเริ่มการคลอดภายใน 𝟮𝟰 ชั่วโมง โดยวิธีนี้
จะเป็นอีกวิธีที่มีความแม่นยำสูงมากและมักจะใช้ใน
การวางแผนเพื่อทำการผ่าคลอด
- การอัลตราชาวด์ช่องท้อง (𝗔𝗯𝗱𝗼𝗺𝗶𝗻𝗮𝗹 𝘂𝗹𝘁𝗿𝗮𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱)
สามารถใช้การอัลตราซาวด์ในการวัดอัตราการเต้นหัวใจ
ของ ลูกสัตว์ในท้อง (𝗙𝗲𝘁𝗮𝗹 𝗵𝗲𝗮𝗿𝘁 𝗿𝗮𝘁𝗲) โดยปกติ
อัตราการเต้นหัวใจ จะต้องมากกว่า 𝟮𝟬𝟬 ครั้งต่อนาที
และสัตว์จะเริ่มเข้าสู่ระยะการคลอด เมื่ออัตราการเต้น
หัวใจลดลงต่ำกว่า 𝟭𝟴𝟬 ครั้งต่อนาที
ใครที่ไม่มั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงกำลังอยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือไม่
สามารถปรึกษาคุณหมอที่ 𝗠𝗼𝘁𝗶𝘃𝗲𝘁 𝗔𝗻𝗶𝗺𝗮𝗹 𝗛𝗼𝘀𝗽𝗶𝘁𝗮𝗹 ก่อนได้
ทางเราพร้อมให้คำปรึกษาเเละการดูแลโดย ทีมสัตวแพทย์
ผู้เชี่ยวชาญ ในด้านต่างๆ ครอบคลุมทุกปัญหาสุขภาพ
และการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงทุกประเภท