Milan หรือ Milano ในภาษาอิตาลี เป็นเมืองหลวงของแคว้น Lombardy เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองรองลงมาจากกรุงโรมเมืองหลวงของอิตาลี มิลานได้รับการยกย่องว่าเป็น Alpha Global City หรือเมืองชั้นนำของประเทศ โดยมีจุดแข็งหลายด้าน ทั้งในด้านศิลปะพาณิชยศาสตร์ การออกแบบการศึกษา ความบันเทิง แฟชั่น การเงิน การดูแลสุขภาพ การสื่อสาร การบริการ การวิจัยและการท่องเที่ยว เป็นเมืองย่านธุรกิจของบริษัทที่เป็นเจ้าภาพในตลาดหุ้นอิตาลีและสำนักงานใหญ่ของธนาคารและบริษัทในประเทศและต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด ส่วนในแง่ของ GDP ก็เป็นเมืองที่ไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสามในหมู่เมืองในยุโรปและร่ำรวยที่สุดในยุโรปอีกด้วย
มิลานถือว่าเป็นส่วนหนึ่งใน Four motors for Europe ที่เป็นที่รู้จักมายาวนานแล้วว่าเป็นเมืองแห่งทุนการออกแบบของโลก ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยกิจกรรมและการจัดแสดงโชว์สินค้านานาชาติหลายแห่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เช่น Milan Fashion Week และ Milan Furniture Fair ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตมากที่สุดและมีรายได้มากที่สุดในโลก ด้วยสิ่งเหล่านี้เองทำให้มิลานได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางขอบนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวชมเมืองเป็นจำนวนมากมาย โดยเฉลี่ยมากถึงแปดล้านคนต่อปี มีสิ่งที่น่าสนใจที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ซึ่งจัดแสดงคอลเลคชั่นที่สำคัญที่สุดในโลกรวมไปถึงผลงานที่สำคัญของ Leonardo Da Vinci อีกทั้งยังมีโรงแรมหรูหราจำนวนมากและยังเป็นที่ตั้งของที่ติดอันดับห้าของโลกอย่าง Michelin Guide อีกด้วย ส่วนชื่อเสียงในด้านกีฬานั้น มิลานเป็นเมืองที่ตั้งของทีมบาสเกตบอลทีมชาติอิตาลีอย่าง Olimpia Milano toponymy และที่สำคัญยังเป็นที่ตั้งของทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกและประสบผลสำเร็จมากที่สุดในยุโรปถึงสองทีมด้วยกันคือ F.C. Internazionale และ A.C. Milan ที่มีแฟนบอลอยู่ทั่วโลก
ชาวเซลต์ที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของอิตาลีเป็นผู้เริ่มก่อตั้งเมืองมิลานเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมา 222 ปีก่อนคริสตกาล โรมันมีชัยชนะเหนือเซลติกส์ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมดิโอลานัม ในช่วงศตวรรษที่ 4 มิลานเติบโตเจริญรุ่งเรืองและกลายเป็นเมืองใหญ่อันดับสองในยุโรปด้วยประชากรมากกว่า 300,000 คน
หลังจากศตวรรษที่ 4 ศาสนาคริสต์เริ่มเข้ามาเผยแผ่และขยายตัวอย่างรวดเร็วไปทั่วเมือง ทำให้มิลานกลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของคริสตจักร
หลังจากปีค.ศ. 1200 มิลานเริ่มมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นและยกระดับจากเทศบาลขึ้นมาเป็นเมืองแห่งขุนนางศักดินา กำแพงเมืองถูกต่อเติมขยายเขตแดนออกไป มีการสร้างถนนและอาคารต่างๆ มากมาย
ขุนนางจากตระกูลวิสคอนติขึ้นมามีอำนาจในปีค.ศ. 1300 และเป็นช่วงเวลาของความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ในมิลาน ช่วงเวลาเดียวกันนี้มหาวิหารแห่งมิลานได้ถูกสร้างขึ้นและกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่มีเสน่ห์
หลังจากการทำสงครามอันยาวนานกับฟลอเรนซ์และเวนิส มิลานได้พบความสงบสุขอีกครั้งหลังจากตระกูลสฟอร์เซมีอำนาจในการปกครองแทนตระกูลวิสคอนติเดิม ในช่วงเวลาแห่งความสงบสุขนี้ มิลานได้กลายเป็นศูนย์กลางความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และวรรณกรรม และเลโอนาร์โด ดา วินชี ถูกเรียกตัวเพื่อไปถวายงานลุโดวิโค ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นดยุคแห่งมิลานของตระกูลสฟอร์ซา
หลังจากที่จักรพรรดิชาลส์ที่ 5 ขึ้นครองราชย์ในปีค.ศ. 1535 มิลานก็เริ่มต้นยุคแห่งการใช้กฏแห่งสเปนเป็นเวลาเกือบ 200 ปี หลังจากการเริ่มต้นศตวรรษที่สิบแปดไม่นาน ชาวออสเตรียเดินทางเข้ามาในมิลาน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างหยั่งลึกภายใต้การปกครองของออสเตรีย และเป็นยุคเริ่มต้นของการก่อสร้างอาคารด้วยสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิคซึ่งเป็นศิลปะสมัยใหม่
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 กำหนดให้มิลานเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐอิตาลีในปีค.ศ. 1802 และเป็นสถานที่ในการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระองค์เอง ในฐานะกษัตริย์ของอิตาลีและมิลานในปีค.ศ. 1805
ในปีค.ศ. 1859 ชาวออสเตรียถูกขับไล่ออกจากมิลานและเมืองถูกยึดไปอยู่ภายใต้อาณาจักรของแคว้นปีเอมอนเต ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนเป็นราชอาณาจักรอิตาลีในปีค.ศ. 1861 ซึ่งมิลานได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงศูนย์กลางแห่งเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของอิตาลี
มิลานได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการถูกทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่นับว่าโชคดีมากที่สมบัติที่มีคุณค่าทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมหลายชิ้น เช่น งานจิตรกรรมฝาผนังพระกระยาหารมื้อสุดท้ายของเลโอนาร์โด ดา วินชี ไม่ถูกทำลายจนเสียหาย หลังสงครามโลกจบลงเมืองมิลานได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วและเติบโตเป็นเมืองทันสมัยดังที่เป็นอยู่เช่นปัจจุบัน