งานวิจัย
ความสัมพันธ์สมรรถนะผู้บริหารกับคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
งานวิจัย
ความสัมพันธ์สมรรถนะผู้บริหารกับคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
ThaiLIS
เรื่องที่ 1
ชื่องานวิจัย คุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษาในการพัฒนาการเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียนของโรงเรียนมัธยมศึกษา
สุนทร คล้ายอ่ำ มหาวิทยาลัยพะเยา
บทคัดย่อ ในการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของคุณภาพผู้บริหารสถานศึกษาในการพัฒนาการเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียนของโรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มพญาวัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 35 จังหวัดลำปาง 2) เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาเกี่ยวกับคุณภาพของผู้บริหาร ประชากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 13 คน ครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสิ้น 263 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของค่าความถี่ ผลการศึกษาวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของคุณภาพผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความคิดเห็นมาก เรียงตามลำดับจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด ดังนี้ ด้านความสามารถในการประสานภาคีเครือข่ายเพื่อความร่วมมือในการจัดการเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียน ด้านความสามารถในการบริหารจัดการคุณภาพภายใต้สภาวการณ์จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้านทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และทักษะในการใช้ ICT ตามลำดับ 2) ความคิดเห็นของครูและบุคลากรทางการศึกษา พบว่า มีความคิดเห็นมาก เรียงตามลำดับจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด ดังนี้ ด้านความสามารถในการนิเทศติดตามผลการดำเนินงานจัดการเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียน ด้านความสามารถในการประสานภาคีเครือข่ายเพื่อความร่วมมือในการจัดการเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียน และด้านทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และทักษะในการใช้ ICT ตามลำดับ ปัญหาและข้อเสนอแนะของผู้บริหารสถานศึกษาและครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยภาพรวม คือ ผู้บริหารส่วนใหญ่ยังขาดทักษะทางด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ ข้อเสนอแนะ คือ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความรู้ความเข้าใจและมีทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และควรส่งเสริมให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงนักเรียนใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เพื่อยกระดับความสามารถด้านภาษาและควรมีนโยบายให้ครูผู้สอนภาษาอังกฤษเข้ารับการอบรม ดูงานทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำความรู้กลับมาถ่ายทอดให้เพื่อนครูและนักเรียน "
อ้างอิง สุนทร คล้ายอ่ำ (2563). คุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษาในการพัฒนาการเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียนของโรงเรียนมัธยมศึกษา
วิทยานิพนธ์มหาวิทยาลัยพะเยา.ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา
เรื่องที่ 2
ชื่องานวิจัย ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2
อนุวัฒน์ ทัศบุตร และ จิติมา วรรณศรี
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพในสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 297 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
อ้างอิง อนุวัฒน์ ทัศบุตร และ จิติมา วรรณศรี .(2566)ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยนเรศวร
เรื่องที่ 3
ชื่องานวิจัย ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะผู้บริหารกับประสิทธิผลตามมาตรฐาน การดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด
ธีระศักดิ์ อานจหาญ
บทคัดย่อ Abstract: "ผลการศึกษา การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ประสิทธิผลตามมาตรฐานการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด และความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกับประสิทธิผลตามมาตรฐานการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย ผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและครูผู้สอน จำนวน 260 คน โดยแบ่งเป็น ผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจำนวน 72 คน ครูผู้สอน จำนวน 188 คน ใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ซึ่งกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากการคำนวณโดยใช้สูตรของทาโร่ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และเป็นแบบปลายเปิด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผู้วิจัยได้ทำวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถนะหลักผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกับประสิทธิผลของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 7 ข้อ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ประสิทธิผลตามมาตรฐานการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 6 ข้อ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก กับประสิทธิผลตามมาตรฐานการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด พบว่าโดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง และมีความสัมพันธ์กันทางบวก โดยคู่ที่มีความสัมพันธ์กันสูงสุดคือ ด้านทักษะการคิดเชิงระบบกับด้านอาคาร สถานที่ สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
อ้างอิง ธีระศักดิ์ อานจหาญ (2564) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะผู้บริหารกับประสิทธิผลตามมาตรฐาน การดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ. กลุ่มงานวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ThaiJo
เรื่องที่ 1 สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2
เอกรินทร์ เขียวไปล่ โสภนา สุดสมบูรณ์และ สุทธิวรรณ สุทธิวรรณ
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาและการเสริมสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ รวมถึงศึกษาควมสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารกับการเสริมสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 1)สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การบริการที่ดี การสร้างวิสัยทัศน์ร่วม การพัฒนาการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีและการสื่อสาร การพัฒนาทีมงานและการมุ่งผลสัมฤทธิ์ 2)การเสริมสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยการเสริมสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ทางกายภาพและทางสังคมอยู่ในระดับมากที่สุด และเสริมสร้างพื้นที่แ่งการเรียนรู้เสมือนจริงอยู่ในระดับมาก 3)สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการเสริมสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้อยู่ในระดับข้องข้างสูงอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4)สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการพัฒนาทีมงาน การบริการที่ดี การสร้างวิสัยทัศน์ร่วม และการพัฒนาการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสาร ส่งผลต่อการเสริมสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาโดยมีอำนาจร่วมกันพยากรณ์อย่างมีนัยยะสำคัญ
อ้างอิง เอกรินทร์ เขียวไปล่, โสภนา สุดสมบูรณ์,และ สุทธิวรรณ สุทธิวรรณ. (2565). สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2. วารสารวิชาการสถาบันวิจัยพิมลธรรม, 9(3), 111–123.
เรื่องที่ 2 สมรรถนะของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม
สุทธิรัตน์ คนใหญ่, ปฐมพรณ์ อินทรางกูร ณ อยุธยา, และ วิเชียร อินทรสมพันธ์.
บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารโรงเรียน 2) ระดับการบริหารโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศ 3) สมรรถนะของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม เป็นงานวิธีวิจัยแบบเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครู จำนวน 331,2) การบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 3) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลสมรรถนะของผู้บริหารโรงเรียน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
อ้างอิง สุทธิรัตน์ คนใหญ่, ปฐมพรณ์ อินทรางกูร ณ อยุธยา, และ วิเชียร อินทรสมพันธ์. (2567). สมรรถนะของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม. วารสารสันติสุขปริทรรศน์, 5(2), 123–137.
เรื่องที่ 3 สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21: กรณีศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย
กรรณิกา ไวโสภา ชิษณพงศ์ ศรจันทร์ และ พิมพ์อร สดเอี่ยม
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่สอดคล้องกับบริบทของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2) ประเมินระดับสมรรถนะปัจจุบันของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา การวิจัยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน เก็บข้อมูลจากผู้บริหารสถานศึกษา,การเสริมสร้างทักษะการบริหารความเสี่ยง และการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการในบริบทท้องถิ่น ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมและกำหนดนโยบายการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
อ้างอิง กรรณิกา ไวโสภา, ชิษณพงศ์ ศรจันทร์, และ พิมพ์อร สดเอี่ยม. (2567). สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21: กรณีศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย. วารสารจินตปัญญา, 1(2), 45–61.
ThaiEd Research
เรื่องที่ 1 ความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของพนักงานครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่
นายสรวิศ จันพุ่ม
บทคัดย่อ หัวข้อวิทยานิพนธ์ ความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของพนักงานครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา การทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา และความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่ ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน จำนวน 331 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า
1. การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่ โดยภาพรวม และรายด้าน อยู่ ในระดับมากที่สุด
2. การทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่โดยภาพรวม และรายด้านอยู่ ในระดับมากที่สุด
3. การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา กับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01
อ้างอิง นายสรวิศ จันพุ่ม.(2561) ความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของพนักงานครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบี่
เรื่องที่ 2 การพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของเครือข่ายความร่วมมือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ศิราณี ศักรินพานิชกุล
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อสร้างพัฒนาและตรวจสอบความสอดคล้องรูปแบบเชิงสมมติฐานเบื้องต้นของความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้น ของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของเครือข่ายความร่วมมือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์และเพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพโปรแกรมพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการตรวจสอบความสอดคล้องของรูปแบบ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจำนวน 1,920 คน เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือสถิติพื้นฐานการวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงยืนยันและการตรวจสอบความสอดคล้อง นอกจากนี้การพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพโปรแกรมพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโดยใช้กลุ่มเป้าหมายคือผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 15 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกมาโดยเจาะจง
ผลการวิจัยพบว่า
รูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของเครือข่ายความร่วมมือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้นประกอบด้วยตัวแปรแฝงภายนอก
1. ตัวแปรคือภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและตัวแปรแฝงภายใน 3 ตัวแปร ได้แก่ การวางแผนกลยุทธ์ การติดต่อสื่อสารและประสิทธิผลของเครือข่ายความร่วมมือ
2. รูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของเครือข่ายความร่วมมือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ต่อโปรแกรมโดยรวมและทุกด้านสูงกว่าก่อนการพัฒนา
3. การประเมินประสิทธิภาพโปรแกรมพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่สร้างและพัฒนาขึ้นกลุ่มเป้าหมายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อโปรแกรมโดยรวมและทุกด้านสูงกว่าก่อนการพัฒนา
สรุปได้ว่าจากการพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของเครือข่ายความร่วมมือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพโปรแกรมพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโดยใช้กับผู้บริหารสถานศึกษาซึ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง
อ้างอิง ศิราณี ศักรินพานิชกุล.(2560) การพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของเครือข่ายความร่วมมือในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
เรื่องที่ 3 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดสถานศึกษากับผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (National Test: NT)
ดร.วรัญญถรณ์ ชาลีรักษ์
บทคัดย่อ การศึกษา เรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดสถานศึกษากับผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (National Test: NT) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดสถานศึกษา 5 ขนาด ประกอบด้วย ขนาดเล็กพิเศษ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่พิเศษ กับ ผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (National Test: NT) วิชาคณิตศาสตร์ วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2562 และเพื่อศึกษาน้ำหนักคาโนนิคอลของขนาดสถานศึกษาแต่ละขนาดที่มีอิทธิพลซึ่งกันและกันกับผลการประเมินคุณภาพผู้เรียนแต่ละวิชา ข้อมูลผลการประเมินคุณภาพผู้เรียนระดับชาติ (National Test: NT) ในระดับประเทศของของสถานศึกษาที่มีขนาดแตกต่างกันโดยใช้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ โดยจำแนกเป็น 5 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็กพิเศษ (มีจำนวนนักเรียน 1 - 60 คน) ขนาดเล็ก (มีจำนวนนักเรียน 61 - 120 คน) ขนาดกลาง (มีจำนวนนักเรียน 121 - 300 คน) ขนาดใหญ่ (มีจำนวนนักเรียน 301 - 500 คน) และขนาดใหญ่พิเศษ (มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 501 คนขึ้นไป ตัวแปรต้น คือ ขนาดของสถานศึกษา ได้แก่ ขนาดเล็กพิเศษ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่พิเศษ ตัวแปรตาม คือ ผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน(National Test: NT) ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ปีการศึกษา 2562
ผลการศึกษาปรากฏผล ดังนี้ จำนวนสถานศึกษาที่นำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์รวม 380 สถานศึกษา จำนวนนักเรียน 8,683 คน จำแนกเป็นสถานศึกษาขนาดเล็กพิเศษนักเรียน 337 คน ฐานนิยมเท่ากับ 4 พิสัย เท่ากับ 10 สถานศึกษาขนาดเล็กนักเรียน 662 คน ฐานนิยมเท่ากับ 8 พิสัยเท่ากับ 17 สถานศึกษาขนาดกลางนักเรียน 1,927 คน ฐานนิยมเท่ากับ 28 พิสัยเท่ากับ 20 สถานศึกษาขนาดใหญ่นักเรียน 2,072 คน ฐานนิยมเท่ากับ 25 พิสัยเท่ากับ 25 สถานศึกษาขนาดใหญ่พิเศษนักเรียน 3,685 คน ฐานนิยม เท่ากับ 49 พิสัยเท่ากับ 151 ตามลำดับ
ผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (National Test: NT) กลุ่มสถานศึกษาตัวอย่าง วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2562 คะแนนต่ำสุด 26.38 คะแนนสูงสุด 54.83 คะแนนเฉลี่ย 43.61 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5.19 และวิชาคณิตศาสตร์ คะแนนต่ำสุด 26.00 คะแนนสูงสุด 64.35 คะแนนเฉลี่ย 43.14 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 6.40
ผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (National Test: NT) กลุ่มสถานศึกษาตัวอย่าง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2562 วิชาภาษาไทย (Y1) และวิชาคณิตศาสตร์ (Y2) มีความสัมพันธ์กันระดับสูง (r= 0.793) สถานศึกษาขนาดใหญ่พิเศษมีความสัมพันธ์กับผลการประเมินคุณภาพวิชาคณิตศาสตร์ระดับปานกลาง (r=0.312) ส่วนตัวแปรอื่นมีความสัมพันธ์กันระดับต่ำ
สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์คาโนนิคอลระหว่างชุดตัวแปรขนาดสถานศึกษา และผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (National Test: NT) กลุ่มสถานศึกษาตัวอย่าง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2562 มีฟังชันคาโนนิคอล 1 ฟังก์ชัน ฟังก์ชันที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยฟังก์ชั่นที่ 1 มีค่าสหสัมพันธ์คาโนนิคอล (Rc) เท่ากับ 0.461 และมีค่าสหสัมพันธ์คาโนนิคอล กำลังสอง (Rc2) เท่ากับ 0.212 แสดงว่ามีความแปรปรวนร่วมกันระหว่างตัวแปรคาโนนิคอลทำนาย (Predictor Composite) กับตัวแปรคาโนนิคอลเกณฑ์ (Criterion Composite) อยู่ร้อยละ 21.20 ค่าไอเก็น Eigenvalues เท่ากับ 0.27 แสดงว่าค่าผันแปรตัวแปรเดิม สามารถอธิบายได้ด้วยตัวแปร คาโนนิคอล ร้อยละ 27.00
สัมประสิทธิ์โครงสร้างพบว่า ค่าน้ำหนักคาโนนิคอลของชุดตัวแปรขนาดสถานศึกษาที่มีค่าน้ำหนักสูงที่สุดคือ สถานศึกษาขนาดใหญ่ (0.642) รองลงมาคือ สถานศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ (-0.493) สถานศึกษาขนาดกลาง (0.435) สถานศึกษาขนาดเล็ก (0.386) และสถานศึกษาขนาดเล็กพิเศษ (0.259) และค่านำหนักชุดตัวแปรผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (National Test: NT) ที่มีค่าน้ำหนักสูงที่สุด คือ ผลการประเมินคุณภาพวิชาคณิตศาสตร์ (-0.805) รองลงมาคือ ผลการประเมินคุณภาพวิชาภาษาไทย (-0.276)
อ้างอิง ดร.วรัญญถรณ์ ชาลีรักษ์.(2563) ดร.วรัญญถรณ์ ชาลีรักษ์ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดสถานศึกษากับผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (National Test: NT)