ประวัติ แผนกวิชาการตลาดและธุรกิจค้าปลีก วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต
ประวัติ แผนกวิชาการตลาดและธุรกิจค้าปลีก วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต
ประวัติความเป็นมาของแผนกวิชาการตลาดและธุรกิจค้าปลีก
ปีการศึกษา 2531 เริ่มรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) แผนกวิชาการตลาด โดยมีครูประจำแผนกจำนวน 3 คน
มีนักศึกษาจำนวน 42 คน
ปีการศึกษา 2539 เปิดรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) แผนกวิชาการตลาดเพิ่มขึ้นอีก 1 ห้องเรียน
ภาพทำเนียบนักเรียนปวช. รุ่น 19
ภาพทำเนียบนักเรียนปวช. รุ่น 27
ตราประจำแผนกวิชา
ตราสัญลักษณ์แผนกวิชาการตลาดและธุรกิจค้าปลีก สื่อถึง "การตลาดและธุรกิจค้าปลีกในยุคดิจิทัล" ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการค้าขายแบบดั้งเดิมที่เน้นความมั่งคั่งและความรุ่งเรือง (represented by เรือสำเภาจีน บนถุงช้อปปิ้ง) เข้ากับการดำเนินธุรกิจและช่องทางที่ทันสมัย (represented by หน้าจอคอมพิวเตอร์)
ถุงช้อปปิ้ง (Shopping Bag): เป็นสัญลักษณ์หลักที่เด่นอยู่ตรงกลาง สี เขียว สดใส สื่อถึงความเจริญเติบโต ความสดใหม่ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม/ความยั่งยืน ถุงช้อปปิ้งนี้สื่อถึงกิจกรรม การค้าปลีก (Retail Business) การซื้อขายสินค้า และการบริโภคโดยตรง
เรือสำเภาจีน (Junk Ship): เป็นภาพสี ขาว อยู่บนถุงช้อปปิ้ง เรือสำเภาเป็นสัญลักษณ์สากลที่สื่อถึง การค้าขาย ความมั่งคั่ง ความอุดมสมบูรณ์ และการเดินทางไกลเพื่อทำการค้าขาย ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดดั้งเดิมของการ ตลาด (Marketing) เรือสำเภาเป็นที่รู้จักในฐานะเรือแห่งโชคลาภ
หน้าจอคอมพิวเตอร์/มอนิเตอร์ (Computer Monitor): เป็นโครงร่างสี ดำ ล้อมรอบถุงช้อปปิ้ง สื่อถึง แพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platform), อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce), และ การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดและธุรกิจค้าปลีกในยุคปัจจุบัน
สีประจำแผนกวิชาการตลาดและธุรกิจค้าปลีก
สีเขียว สดใส สื่อถึงความเจริญเติบโต ความสดใหม่ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม/ความยั่งยืน
ศูนย์รวมจิตใจแผนกวิชาการตลาดและธุรกิจค้าปลีก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า (รัชกาลที่ 3)
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความสนพระทัยและสั่งสมประสบการณ์ด้านการค้ามาตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ โดยทรงกำกับดูแล กรมท่า ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการค้าขายกับต่างประเทศ พระองค์ทรง แต่งสำเภาหลวงออกค้าขาย ทรงเป็นผู้นำในการ ค้าสำเภา ไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศจีน และทรงขยายเส้นทางไปถึงอินเดีย (เมืองกัลกัตตา) สินค้าหลักที่ทรงค้าขายมีหลากหลาย เช่น น้ำตาลทราย พริกไทย ดีบุก สร้างรายได้มหาศาล การค้าสำเภาของพระองค์ประสบความสำเร็จอย่างสูง นำมาซึ่งรายได้จำนวนมากเข้าสู่ พระคลัง จนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) พระราชบิดา ทรงเรียกพระองค์ว่า "เจ้าสัว" ซึ่งเป็นคำที่คนจีนใช้เรียกคหบดีผู้มั่งคั่ง
ในช่วงรัชสมัยของพระองค์ ทรงดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมการขยายตัวของการผลิตและการค้าอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการสร้างกลไกทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
ตั้งระบบเจ้าภาษีนายอากร ทรงริเริ่มและขยายการจัดเก็บภาษีอากรด้วยระบบ เจ้าภาษีนายอากร อย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นระบบที่ให้เอกชนเข้ามาประมูลผูกขาดการจัดเก็บภาษีในสินค้าหรือกิจการบางประเภท (เช่น อากรน้ำตาล, อากรบ่อนเบี้ย, อากรฝิ่น) ระบบนี้มีส่วนสำคัญในการ เพิ่มรายได้เข้าท้องพระคลัง อย่างมหาศาล ทำให้สยามมีความมั่นคงทางการเงินในยามที่ภัยคุกคามจากตะวันตกเริ่มเข้ามา กระตุ้นการผลิต เพื่อการตลาด โดยเฉพาะสินค้าที่ได้รับความนิยมในการส่งออก เช่น น้ำตาลทราย ซึ่งกลายเป็นสินค้าการตลาดที่สำคัญ
เกิดตลาดเสรี แม้จะมีระบบผูกขาดบางอย่าง แต่โดยรวมถือเป็นการ ผ่อนคลายการค้าแบบผูกขาดโดยพระคลังสินค้า และอนุญาตให้พ่อค้าเอกชนและชาวต่างชาติสามารถค้าขายกับราษฎรได้โดยเสรีมากขึ้น ภายใต้การเสียภาษีที่ชัดเจน (เช่น การทำ สนธิสัญญาเบอร์นี กับอังกฤษ)
ส่งเสริมแรงงานจีน ทรงสนับสนุนให้ชาวจีนเข้ามาเป็นแรงงานในกระบวนการผลิตและค้าขาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำตาล ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขยายตัวทางเศรษฐกิจในยุคนั้น
ความมั่งคั่งที่เกิดจากพระปรีชาสามารถทางการค้าของพระองค์ไม่ได้หายไปไหน แต่ได้กลายเป็น "เงินถุงแดง" ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ทรงเก็บไว้ในถุงผ้าสีแดง และต่อมาได้ถูกนำมาใช้เป็นทุนในการไถ่บ้านเมืองจากวิกฤตการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยพระราชกรณียกิจอันเป็นเลิศในการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ การปฏิรูปการค้า และการบริหารจัดการที่ชาญฉลาด ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นดุจ "ศูนย์รวมจิตใจของแผนกวิชาการตลาดและธุรกิจค้าปลีก วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต" ที่เป็นแบบอย่างในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าอย่างยั่งยืน