ThaiLIS
1. Title ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารและทัศนคติต่อผู้บริหารกับการทำงานเป็นทีมของครู
Title Alternative : Relationship between Administrator Participative Management Attitudes Toward Administrator and Teachers' Team Working
Creator
Name: สุวรรณา สุยะวงค์
Address: 2/49 พหลโยธิน 2/1 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
Subject
keyword: การบริหารแบบมีส่วนร่วม
; Attitudes toward administrator
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร และทัศนคติต่อผู้บริหารกับการทำงานเป็นทีมของครู ศึกษาการทำงานเป็นทีมของครู ด้วยการรับรู้การบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร และทัศนคติต่อผู้บริหาร กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา เป็นครูที่ปฏิบัติการสอนประจำปีการศึกษา 2560 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 (กลุ่มอำเภอบ้านฉาง) จำนวน 136 คน จาก 5 โรงเรียน เลือกโดยสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือวิจัย เป็นแบบวัดมาตรประมาณรวมค่า ใช้วัดตัวแปรสำคัญ 3 ตัวแปร มีค่าความเที่ยงของคะแนนจากการวัดที่หาโดยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาตั้งแต่ 0.764 ถึง 0.918 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติพื้นฐาน และสถิติอ้างอิง โดยสถิติที่ใช้เพื่อทดสอบสมมุติฐาน คือ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์อย่างง่าย และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร และทัศนคติต่อผู้บริหาร กับการทำงานเป็นทีมของครูอยู่ในระดับสูง (r=0.744, 0.829; P<0.001) การรับรู้การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร และทัศนคติต่อผู้บริหารร่วมกันทำนายการทำงานเป็นทีมของครู ได้ร้อยละ 75.80 น้ำหนักการทำนายของตัวทำนาย ทั้งสองเป็น 0.400 ถึง 0.532 ตามลำดับ"
Abstract: This Relationship research was aim to study: the relationship between administrator’s participative management, attitudes toward administrators and teachers’ team working, prediction of teacher’s team working by administrators and attitudes toward administrator. Samples were 136 teachers in the academic year 2017 from 5 schools in Rayong Primary Educational Service Area Office 1 (Ban Chang Group), selected by multi-stage sampling. Research instruments were summated rating scales, measured 3 important variables. Their score reliability were .764 to .918. The data was analyzed by basic and inferential statistics. The statistics for hypothesis testing were simple correlation and stepwise multiple regression. The findings indicated that the relationship between administrator’s participative management, attitudes toward administrator and teachers’ team working were at high level (r=.744, .829; P<.001), the administrator’s participative management and attitudes toward administrators could predict teachers’ team working for 75.8%, beta (ß) of the predictors were .400 and .532 respectively.
Publisher
มหาวิทยาลัยพะเยา.ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา
Address: พะเยา
Email: clm@up.ac.th
Contributor
Name: โกศล มีคุณ
Role: อาจารย์ที่ปรึกษา
Date
Created: 2561
Modified: 2563-03-10
Issued: 2562-10-03
Type
วิทยานิพนธ์/Thesis
Format
application/pdf
Language
tha
Thesis
DegreeName: Master of Education
Level: Master's Dedree
Descipline: Educational Administration
Grantor: University of Phayao
Rights
©copyrights มหาวิทยาลัยพะเยา
RightsAccess:
สุวรรณา สุยะวงค์. (2561). ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารและทัศนคติต่อผู้บริหารกับการทำงานเป็นทีมของครู . วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยพะเยา. ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา.
................................................................................................................................................................................................................................................................................
2. Title การบริการแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 10
Creator
Name: ดวงสุดา ผาติอภินันท์
Description
Abstract: บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 10 2) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 10 3) วิเคราะห์การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 10 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและข้าราชการครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 10 จำนวน 338 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนกระจายตามสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่สร้างขึ้นโดยผู้วิจัย มีค่าความตรงด้านเนื้อหาระหว่าง 0.67-1.00 ค่าความเที่ยงของแบบสอบถามด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วม เท่ากับ 0.96 และด้านคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู เท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร อยู่ในระดับมากทั้งภาพรวมและรายด้าน ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมด้านการดำเนินงาน การมีส่วนร่วมด้านการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมด้านการรับผลประโยชน์ และการมีส่วนร่วมด้านการตั้งเป้าหมายร่วมกัน ตามลำดับ 2. คุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู อยู่ในระดับมากทั้งภาพรวมและรายด้าน ประกอบด้วย ด้านความก้าวหน้าและความมั่นคงในงาน ด้านการพัฒนาศักยภาพของผู้ปฏิบัติงาน ด้านสังคมสัมพันธ์ ด้านภาวะอิสระจากงาน ด้านสถานที่ทำงานปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรม ตามลำดับ 3. การบริหารแบบมีส่วนร่วม ได้แก่ การมีส่วนร่วมด้านการตัดสินใจ (X1) การมีส่วนร่วม ด้านการตั้งเป้าหมายร่วมกัน (X2) การมีส่วนร่วมด้านการดำเนินงาน (X3) และการมีส่วนร่วมด้านการรับผลประโยชน์ (X4) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครูโดยสามารถร่วมกันทำนายได้ร้อยละ 68 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสมการวิเคราะห์การถดถอย คือ = 0.51 + 0.38(X4) + 0.34(X2) + 0.09(X3) + 0.06(X1)
Publisher
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
Address: นครปฐม
Email: libnpru55@gmail.com
Contributor
Name: ดวงใจ ชนะสิทธิ์
Name: อรพรรณ ตู้จินดา
Date
Modified: 2563-06-19
Issued: 2563-06-19
Type
วิทยานิพนธ์/Thesis
Format
application/pdf
Language
tha
Thesis
DegreeName: Master of Education
Level: ปริญญาโท
Grantor: Nakhon Pathom Rajabhat University
Rights
©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม
RightsAccess:
ดวงสุดา ผาติอภินันท์. (2563). การบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 10. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม]. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.
................................................................................................................................................................................................................................................................................
3. Title การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 และเขต 2
Title Alternative The Participative Administration of Administrators Affecting the Effectiveness of Schools under Chanthaburi Primary Educational Service Area Office 1 and 2
Creator
Name: พรเทพ เหมรานนท์
Subject
keyword: การบริหารแบบมีส่วนร่วม
ThaSH: การบริหารการศึกษา -- วิจัย
Classification :.DDC: 372.12
ThaSH: การบริหารแบบมีส่วนร่วม -- วิจัย
ThaSH: ผู้บริหารสถานศึกษา -- วิจัย
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร สถานศึกษา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหาiแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา 4) สร้างสมการพยากรณ์การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 และเขต 2 ปี การศึกษา 2562 จำนวนทั้งสิ้น 331 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษามีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย
Abstract: This research intended to: 1) study the participative administration of administrators of schools, 2) study the effectiveness of schools, 3) study the relationship between the participative administration of administrators and the effectiveness of schools, and 4) perform a regression analysis on the participative administration of administrators affecting the effectiveness of schools. The sample was group of 331 teachers and educational personnel of administrators of schools under Chanthaburi Primary Educational Service Area Office 1 and 2 in the academic year 2019. The research instrument was a five-level rating scale questionnaire for the participative administration of administrators affecting the effectiveness of schools. The alpha coefficient was analyzed using the Cronbach method. The reliability of the whole questionnaire was at 0.99. The statistics used for analyzing data were: percentage, mean, standard deviation, Pearsons product moment correlation coefficient and simple regression analysis.
Publisher
มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
Address: จันทบุรี
Email: library@rbru.ac.th
Contributor
Name: ธีรังกูร วรบำรุงกุล
Role: ประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์
Name: เริงวิชญ์ นิลโครต
Role: กรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์
Date
Created: 2564
Modified: 2565-02-17
Issued: 2565-02-17
Type
วิทยานิพนธ์/Thesis
Format
application/pdf
Thesis
DegreeName: ครุศาสตรมหาบัณฑิต
Level: ปริญญาโท
Descipline: การบริหารการศึกษา
Grantor: มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี
Rights
©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี
RightsAccess:
พรเทพ เหมรานนท์. (2565). การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 และเขต 2. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี.
................................................................................................................................................................................................................................................................................
4. Title การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ
Title Alternative
Principals’ Participatory Administration Affecting Effectiveness of Schools under the Bangkok Metropolitan Administration, North Thonburi Group
Creator
Name: ศิริพร ไชยช่อฟ้า
Address: โรงเรียนวัดสุวรรณาราม สำนักงานเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
Organization : โรงเรียนวัดสุวรรณาราม สำนักงานเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
Subject
keyword: การบริหารงานแบบมีส่วนร่วม
Description
Abstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษา 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ 3) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ผู้บริหาร และครูในสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ ในปีการศึกษา 2564 จำนวน 302 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ด้วยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกัน รองลงมา คือ ความเป็นอิสระในการปฏิบัติงาน ส่วนการไว้วางใจกัน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก รองลงมา คือ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาสถานศึกษา ส่วนความสามารถในการแก้ไขปัญหาในสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ โดยภาพรวมและรายด้าน มีความสัมพันธ์กันเชิงทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 4) การบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้านความยึดมั่นผูกพัน (X2) ด้านการไว้วางใจกัน (X4) และด้านการตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกัน (X1) สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือได้ โดยมีค่าอำนาจพยากรณ์เท่ากับ 85.90 เปอร์เซ็นต์ สามารถเขียนเป็นสมการณ์พยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการทำนายในรูปของคะแนนดิบ ได้แก่ Y = 10.673 + 1.727(X2) + 1.880(X4) + 0.884(X1) สมการรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่ Zy' = .433 Zx2 + .368 Zx4 + .181 Zx1
Publisher
มหาวิทยาลัยธนบุรี. สำนักวิทยบริการ.
Address: กรุงเทพมหานคร
Email: library@thonburi-u.ac.th
Contributor
Name: ดร.นิษฐ์สินี กู้ประเสริฐ
Role: อาจารย์ที่ปรึกษาการศึกษาค้นคว้าอิสระ
Date
Created: 2565
Modified: 2025-01-20
Issued: 2567-03-25
Type
วิทยานิพนธ์/Thesis
Format
application/pdf
Language
tha
Thesis
DegreeName: ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
Level: ปริญญาโท
Descipline: การบริหารการศึกษา
Grantor: มหาวิทยาลัยธนบุรี
Rights
©copyrights มหาวิทยาลัยธนบุรี
RightsAccess:
ศิริพร ไชยช่อฟ้า. (2567). การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงธนเหนือ. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธนบุรี]. สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยธนบุรี.
................................................................................................................................................................................................................................................................................
แก้วภัทรา จิตรอักษร
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
พัชราวลัย สังข์ศรี
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
พรศักดิ์ สุจริตรักษ์
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
Keywords: คุณลักษณะผู้นำ, การบริหารแบบมีส่วนร่วม
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี 1. 2 การจัดการแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี 1.และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะผู้นำ และการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี
กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียนและครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี 1 จำนวน 338 คน ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนการให้คะแนน 5 แบบ มีความน่าเชื่อถือ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์โมเมนต์ผลิตภัณฑ์เพียร์สัน
ผลการวิจัยมีดังนี้
คุณสมบัติผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี 1.อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับสูงทุกด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ความรวดเร็ว ความพอใจ ความมีสติ สติปัญญา และความมั่นคงทางอารมณ์
การจัดการการมีส่วนร่วมของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี 1. ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับสูงทุกด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยดังนี้ เอกราช ความมุ่งมั่น ความไว้วางใจ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์
ลักษณะผู้นำระหว่างการจัดการแบบมีส่วนร่วมของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี 1.ภาพรวมและแต่ละด้านมีความสัมพันธ์กัน (r= .78) โดยมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .01
แก้วภัทรา จิตรอักษร, พัชราวลัย สังข์ศรี, & พรศักดิ์ สุจริตรักษ์. (2564). ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะผู้นำกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1. มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง.
................................................................................................................................................................................................................................................................................
2. ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับธรรมาภิบาลของผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2
Published: Aug 30, 2017
Keywords:การบริหารแบบมีส่วนร่วม ธรรมาภิบาลของสถานศึกษา ผู้บริหาร
นิษฐ์วดี จิรโรจน์ภิญโญ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 2) ระดับการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับ ธรรมาภิบาลของผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) ใช้สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 จำนวน 113 โรง เป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) โดยการสุ่มแบบชั้นภูมิตามสัดส่วน ซึ่งใช้อำเภอเป็นชั้นภูมิในการแบ่ง จากนั้นใช้วิธีการจับฉลากให้ได้จำนวนตัวอย่างที่ต้องการในแต่ละชั้นภูมิ ผู้ให้ข้อมูลได้แก่ ครูในโรงเรียน โรงเรียนละ 4 คน รวมทั้งสิ้น 452 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สัมพัทธ์ของเพียร์สัน (Person’s Product Moment Correlation Coefficient)
ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ราชบุรี เขต 2 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมาก 4 ด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ การไว้วางใจกัน ความผูกพันที่จะปฏิบัติ การตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกัน และความเป็นอิสระต่อความรับผิดชอบในงาน ตามลำดับ 2) ระดับธรรมาภิบาลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทั้ง 6 ด้าน โดยมีค่าเฉลี่ยเรียงมากไปหาน้อย ดังนี้ หลักคุณธรรม หลักคุณธรรม หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักนิติธรรม หลักความคุ้มค่า และหลักความโปร่งใส่ ตามลำดับ และ 3) การบริหารแบบมีส่วนร่วมกับธรรมาภิบาลของผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .01 ทั้งโดยภาพรวมและรายด้าน
นิษฐ์วดี จิรโรจน์ภิญโญ. (2560). ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับธรรมาภิบาลของผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง, 9(2), 76–88.
...............................................................................................................................................................................................................................................................................
3. รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารในโรงเรียนอนุบาลเอกชน
นิสสากร พิมพ์ทอง
นักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
Keywords: การบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยา, การบริหารแบบมีส่วนร่วม, psychological strategy management, participative management
Abstract
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารแบบมีส่วนร่วมของ ผู้บริหาร ครูและผู้ปกครอง ในโรงเรียนอนุบาลเอกชน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเอกชน และ3) เพื่อประเมินประสิทธิผลการใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเอกชน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย แบ่งเป็น กลุ่มที่1 เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนอนุบาลเอกชนที่ได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายจากประชากรประกอบด้วย 1) ผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนอนุบาลเอกชน จำนวน 309คน 2) ครูที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนอนุบาลเอกชน จำนวน113คนและ 3) ผู้ปกครองของนักเรียนในโรงเรียนอนุบาลเอกชน จำนวน103 คน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเอกชนเป็นผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเอกชน จำนวน 30คนที่ได้มาจากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากผู้บริหารในกลุ่มที่ 1 และสมัครใจเข้าร่วมการทดลองแล้วสุ่มอย่างง่ายเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ15คนโดยกลุ่มทดลองเข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการการใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเอกชน ส่วนกลุ่มควบคุมไม่ได้รับการกระทำ (Treatment) รูปแบบใด ๆ
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ สภาพปัจจุบันในการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารครูและผู้ปกครอง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากปานกลาง และน้อยตามลำดับ สภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารครูและผู้ปกครอง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากมากที่สุด และมากที่สุดตามลำดับ รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเอกชน เป็นรูปแบบที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นจากหลักการการบริหารเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ 3 ประการ คือ การกำหนดกลยุทธ์การแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติและการประเมินผลการดำเนินงานตามกลยุทธ์ โดยมีกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่ใช้ในการประชุมเชิงปฏิบัติการดังนี้ กลยุทธ์การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กลยุทธ์การจัดการความรู้และ กลยุทธ์การบริหารแบบยึดวัตถุประสงค์
การประเมินประสิทธิผลการใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนของผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเอกชน พบว่า ผู้บริหารกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการหลังการทดลอง และหลังการติดตามผลเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการทดลอง และผู้บริหารกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการการใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนร่วม มีการบริหารแบบมีส่วนร่วมหลังการทดลองและหลังการติดตามผลเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการประเมินความพึงพอใจของผู้บริหารกลุ่มทดลองที่มีต่อรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยวิธีการสนทนากลุ่มเฉพาะ พบว่า ผู้บริหารกลุ่มทดลองมีความพึงพอใจมากและเห็นคุณค่าของรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยา และจะนำรูปแบบดังกล่าวไปใช้ในการเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนร่วมต่อไป
The purposes of this research were: 1) To study the current and expected situations of participative management of administrators, teachers, and parents of private kindergarten schools; 2) To develop a psychological strategy management model for enhancing the participative management of the administrators of private kindergarten schools; and 3) To evaluate the effectiveness of the psychological strategy management model for enhancing the participative management of the administrators of private kindergarten schools.
The sample was divided into two groups. The first group of the study of the current and expected situations of participative management at private kindergarten schools was randomly selected from the population comprised of: 1) 309 administrators of private kindergarten schools; 2) 113 teachers; and 3) 103 private kindergarten students’ parents. The second group of the study of the enhancement of the participative management through psychological strategy management consisted of 30 administrators divided into 2 groups—an experimental group and a control group.
The research findings were as follows: The total mean scores of the current situations of participative management of the administrators, teachers, and parents of the private kindergarten school were high, average, and low, respectively. The total mean scores of the expected situations of participative management of the administrators, teachers, and parents of the private kindergarten school were high, very high, and very high, respectively; The psychological strategy management model for enhancing participative management of the administrators in private kindergarten schools was developed by the researcher, based on the three principles of strategic management—strategic formulation (problem based learning), strategic implementation (knowledge management), and strategic evaluation (management by objective). Administrators’ participative management of the experimental group revealed significantly higher after the experiment and the follow-up and also higher than that of the control group at a .05 level. Besides, the evaluation of the focus group revealed that the kindergarten’s administrators, in the experimental group were very satisfied with the psychological strategy management model and would apply it for enhancing participative management .
นิสสากร พิมพ์ทอง. (2566). รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ทางจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารในโรงเรียนอนุบาลเอกชน. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต.
...............................................................................................................................................................................................................................................................................
รูปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง
Suparporn Suksri
Keywords: การบริหารการเปลี่ยนแปลงที่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง, การส่งเสริมประสิทธิภาพ
งานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสม ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ เสนอรูปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการเรียนรวม โดยการเก็บข้อมูล แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมิน จากผู้บริหาร ครูการสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนรวม ครูปกติสอนเด็กที่เรียนรวม ผู้ปกครองนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษเรียนรวม และผู้ปกครองนักเรียนปกติเรียนรวม ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร จำนวน 37 โรงเรียน รวมจำนวน 555 คน วิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่เน้นการส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการเรียนรวม ประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 องค์ประกอบ คือองค์ประกอบรูปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่เน้นการส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง โดยผู้เกี่ยวข้องมีความพร้อมการเปลี่ยนแปลง การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ และมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์กับผลความสำเร็จ ส่วนผลประกอบการส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการเรียนรวม มี 4 ด้านคือ ด้านนักเรียน ด้านอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อม ด้านหลักสูตรและจัดการเรียนการสอน ด้านเครื่องมือและเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเกิดความตระหนักและมีเจตคติที่ดีต่อการจัดการเรียนรวมเกิดความพึงพอใจและมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และส่งผลให้การจัดการเรียนรวมได้รับการสนับสนุนการส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการเรียนรวม อย่างเต็มที่จากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
สุภาภรณ์ สุขศรี. (2566). รูปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการเรียนรวม. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต.
...........................................................................................................................................................................................................................................................................
http://www.thaiedresearch.org/
1.รูปแบบบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
นางสาว ณัฐพิมล ธรรมสรางกูร ผู้อำนวยการโรงเรียน
ประถม - มัธยมศึกษา 2566
บทคัดย่อ (Abstract)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ
1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
2) เพื่อสร้างและตรวจสอบรูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
4) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1) การศึกษาองค์ประกอบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
2) การสร้างและตรวจสอบรูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
3) การทดลองใช้รูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
4) การประเมินรูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง (ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
ผลการวิจัยพบว่า
1) องค์ประกอบรูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 มี 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบ ที่ 1 ปัจจัยการบริหารเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู องค์ประกอบที่ 2 กระบวนการบริหาร ด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู และองค์ประกอบที่ 3 ความสามารถในการจัดการเรียนรูเชิงรุกของครู
2) รูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 มี 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบ ที่ 1 ปัจจัยการบริหารเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู 1องค์ประกอบที่ 2 กระบวนการบริหาด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู และองค์ประกอบที่ 3 ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู
3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 พบว่า หลังเข้าร่วมกระบวนการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มเป้าหมายมีค่าเฉลี่ยความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ในระดับปฏิบัติมากที่สุด
4) ผลการประเมินรูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1ที่พัฒนาขึ้นมีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ประเมินโดยผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบการบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง(ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 ไปใช้ ประเมินโดยคณะครูและบุคลากรทางการศึกษาและผู้ปกครองนักเรียน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
ณัฐพิมล ธรรมสรางกูร. (2566). รูปแบบบริหารด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โรงเรียนบ้านวังช้าง (ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1. โรงเรียนบ้านวังช้าง (ธีรราษฎร์รังสฤษฎ์).
...........................................................................................................................................................................................................................................................................
2. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
นางสาว ปรียานุช ทับหนองฮี
บทคัดย่อ (Abstract)
หัวข้อการค้นคว้าอิสระ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็น
ของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
ชื่อผู้วิจัย ปรียานุช ทับหนองฮี
ปริญญา/คณะ/มหาวิทยาลัย ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก
อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.สมชาย เทพแสง
ปีการศึกษา 2566
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูโรงเรียนในสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 จำนวน 136 คน จาก 15 โรงเรียน โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นนำไปสุ่มอย่างง่ายแบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขต บ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมขององค์กร รองลงมาด้านการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร ด้านการกำหนดทิศทาง ขององค์กร และด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ตามลำดับ
2. ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน
Thesis Topic Strategic Leadership of School Administrators according to the teacher's opinion of Ban Bueng 1 Campus, under the Office of Chonburi Primary Educational Service Area 1
Researcher's name Preeyanud Thapnonghee
Degree/Faculty/University Master of Education in Education Administration,
Faculty of Liberal Arts, Krirk University
Advisor Dr. Somchai Thepsaeng
Academic year 2023
Abstract
The purpose of this research was to study the strategic leadership of school administrators according to the teachers’ opinions of Ban Bueng 1 Campus, under the Office of Chonburi Primary Educational Service Area 1 classified by level of education and work experience. The sample group was 136 teachers from 15 schools in Ban Bueng 1 campus, under the Office of Chonburi Primary Educational Service Area 1. The sample size was determined according to Krejcie and Morgan's table Then take a simple proportional randomization. Tools used to collect this information as a questionnaire. Data was analyzed using a packaged program. The mean, standard deviation, and t-test for independent samples were determined.
The results showed that
1. Strategic leadership of school administrators according to the teachers’ opinions of Ban Bueng 1 Campus, under the Office of Chonburi Primary Educational Service Area 1 in overall was at a high level. When considering each aspect, it was found that all are at a high level. In descending order as follows: Organizational culture, followed by organizational strategy, direction setting of the organization and strategy implementation, respectively.
2. Government teachers with different educational backgrounds found that there were no different opinions on the strategic leadership of school administrators according to the teachers’ opinions of Ban Bueng 1 Campus, under the Office of Chonburi Primary Educational Service Area 1 in overall and each aspect.
3. Government teachers with different work experience found that there were opinions on the strategic leadership of school administrators according to the teachers’ opinions of Ban Bueng 1 Campus, under the Office of Chonburi Primary Educational Service Area 1 as a whole and different aspects.
ปรียานุช ทับหนองฮี. (2566). ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยเกริก.
..........................................................................................................................................................................................................................................................................................
3. เเนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
นาย วสันต์ ศักดาศักดิ์ ครู 2565
บทคัดย่อ (Abstract)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 332 คน คัดเลือกโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าความเชื่อมั่น .98 2) แบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวก ในระดับสูง (r = .862**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำแห่งการเรียนรู้ พัฒนาบุคลากรให้มีศาสตร์ทางวิชาชีพ
สร้างวิสัยทัศน์ กระจายอำนาจให้บุคลากรอย่างเหมาะสม คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผลประโยชน์ของทุกภาคส่วน สร้างความสมดุลของทรัพยากรทางการศึกษา และให้ความสำคัญกับความรู้ ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
วสันต์ ศักดาศักดิ์. (2565). แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต.
........................................................................................................................................................................................................................................................................................
4. การพัฒนาตัวบ่งชี้วัฒนธรรมคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ธนิต ปุ่นประโคน ครูและบุคลากรทางการศึกษา 2562
บทคัดย่อ (Abstract)
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบหลัก องค์ประกอบย่อย วัฒนธรรมคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อสร้างและพัฒนาตัวบ่งชี้วัฒนธรรมคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง ตัวบ่งชี้วัฒนธรรมคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปีการศึกษา 2560 จำนวน 390 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นสถิติเชิงพรรณนา และสถิติอ้างอิง โดยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติและโปรแกรมลิสเรล
ผลการวิจัยพบว่า
1. วัฒนธรรมคุณภาพ ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 4 องค์ประกอบหลัก องค์ประกอบย่อย 13 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) องค์ประกอบหลัก ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องมี 4 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ (1) ด้านการวางแผน (2) ด้านการปฏิบัติตามแผน (3) ด้านการตรวจสอบ (4) ด้านการปรับปรุงแก้ไข 2) องค์ประกอบหลักด้านการมีส่วนร่วมมี 3 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ (1) ด้านการดำเนินงาน
(2) ด้านการตัดสินใจ (3) ด้านการประเมินผล 3) องค์ประกอบหลักด้านภาวะผู้นำมี 4 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ (1) ด้านการบริหารจัดการที่ดี (2) ด้านความรับผิดชอบ (3) ด้านความสามารถ (4) ด้านการสร้างเครือข่าย 4) องค์ประกอบหลักด้านการมุ่งเน้นนักเรียนมี 2 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ (1) ด้านการรับฟังนักเรียน (2) ด้านความผูกพันของนักเรียนและตัวบ่งชี้วัฒนธรรมคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สร้างและพัฒนาขึ้นมีจำนวน 70 ตัวบ่งชี้ ประกอบด้วย ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จำนวน 20 ตัวบ่งชี้ ด้านการมีส่วนร่วม จำนวน 14 ตัวบ่งชี้ ด้านภาวะผู้นำ จำนวน 23 ตัวบ่งชี้ และด้านการมุ่งเน้นนักเรียน จำนวน 13 ตัวบ่งชี้
2. ผลการทดสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์โครงสร้าง ตัวบ่งชี้การพัฒนา ตัวบ่งชี้วัฒนธรรมคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยใช้ค่าสถิติ ไค-สแควร์ ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน และค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้ว ทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่าโมเดลความสัมพันธ์โครงสร้างตัวบ่งชี้วัฒนธรรมคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (X2 = 64.49, df = 50, p = 0.082, RMSEA = 0.027, GFI = 0.98, AGFI= 0.95)
ธนิต ปุ่นประโคน. (2562). การพัฒนาตัวบ่งชี้วัฒนธรรมคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.
.......................................................................................................................................................................................................................................................................................
ERIC - Education Resources Information Center
ความแตกต่างในนัยของการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมและความเป็นผู้นำแบบอุปถัมภ์ต่อความเครียดที่ครูรับรู้ในระบบการศึกษาของชนกลุ่มน้อยอาหรับ ในอิสราเอล
นัสเซอร์, มิซา ; เบโนลีเอล, ปาสคาล
วารสารการบริหารการศึกษา , ฉบับที่ 61 ฉบับที่ 6 หน้า 623-645 2023
วัตถุประสงค์: การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับรู้และความคาดหวังของครูเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในการทำงานนั้นกำหนดความเครียดที่พวกเขารับรู้ การศึกษาวิจัยนี้ใช้ทฤษฎีความเป็นผู้นำโดยปริยายและสร้างแบบจำลองการควบคุมตามความต้องการของงาน (JD-C) เพื่อตรวจสอบว่าการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมและความเป็นผู้นำแบบอุปถัมภ์มีความแตกต่างกันหรือไม่สำหรับความเครียดที่พวกเขารับรู้ในระบบการศึกษาอาหรับของอิสราเอล การออกแบบ/ระเบียบวิธี/แนวทาง: ข้อมูลรวบรวมจากแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบแล้วซึ่งส่งกลับมาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบคลัสเตอร์สองขั้นตอนจากครู 350 คนที่ได้รับการคัดเลือกแบบสุ่มจากโรงเรียนประถมศึกษาอาหรับของอิสราเอล 70 แห่ง ความเป็นผู้นำแบบอุปถัมภ์และการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมถือเป็นตัวแปรระดับกลุ่มเพื่อลดความเสี่ยงของความแปรปรวนของวิธีการทั่วไป แบบจำลองที่เสนอได้รับการทดสอบผ่านการวิเคราะห์การถดถอยแบบลำดับชั้น ในที่สุด เพื่อทดสอบสมมติฐานที่ว่าภาวะผู้นำแบบอุปถัมภ์และการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมนั้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงประมาณช่วงความเชื่อมั่น 95% ที่สอดคล้องกันโดยใช้การสุ่มตัวอย่างซ้ำ 1,000 ครั้งโดยแก้ไขอคติ ผลการศึกษา: ผลการศึกษาบ่งชี้ความแตกต่างในระดับภาวะผู้นำแบบอุปถัมภ์และการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมของผู้อำนวยการโรงเรียนตามที่ครูชาวอาหรับในอิสราเอลรับรู้ นอกจากนี้ ผลการศึกษายังบ่งชี้ว่าการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมมีความสัมพันธ์เชิงลบกับความเครียดที่ครูรับรู้เกินกว่าอิทธิพลของภาวะผู้นำแบบอุปถัมภ์ ความคิดริเริ่ม/คุณค่า: การตรวจสอบสภาพการทำงานและทรัพยากรของครูอาจมีความสำคัญเนื่องจากส่งผลต่อความเครียดที่ครูรับรู้ ซึ่งอาจส่งผลต่อผลการเรียนในระบบการศึกษาอาหรับในอิสราเอล การศึกษานี้สามารถมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับครูเพื่อปรับปรุงและปรับแนวทางการเป็นผู้นำของผู้อำนวยการโรงเรียนให้เข้ากับบริบททางสังคมวัฒนธรรมของระบบการศึกษาอาหรับในอิสราเอล
The Differences in the Implications of Participative Decision-Making and Paternalistic Leadership for Teachers' Perceived Stress in the Education System of the Israeli Arab Minority
Nassir, Misaa; Benoliel, Pascale
Journal of Educational Administration, v61 n6 p623-645 2023
Purpose: Studies have shown that teachers' perceptions and expectations of their working environment shape their perceived stress. The present study draws upon implicit leadership theory and builds on the job demands-control (JD-C) model to investigate whether there are differences in the implications of participative decision-making and paternalistic leadership for teachers' perceived stress in the Israeli Arab education system. Design/methodology/approach: Data were collected through validated questionnaires returned by a two-stage cluster random sampling of 350 teachers randomly chosen from 70 Israeli Arab elementary schools. Paternalistic leadership and participative decision-making were considered as group-level variables to lower the risk of common method variance. The proposed model was tested through hierarchical regression analysis. Finally, to test the hypothesis that paternalistic leadership and participative decision-making standardized beta weights were statistically significantly different from each other, their corresponding 95% confidence intervals were estimated via bias corrected bootstrap (1000 re-samples). Findings: The findings indicated differences in the levels of the principal's paternalistic leadership and participative decision-making as perceived by the Israeli Arab teachers. Also, the results indicated that participative decision-making was negatively correlated with teachers' perceived stress beyond the influence of paternalistic leadership. Originality/value: Examining teachers' working conditions and resources can be important since they affect teachers' perceived stress, which may in turn affects school results in the Arab education system in Israel. This study can contribute to the development of training programs for teachers to improve and adapt principals' leadership practices to the sociocultural context of the Arab education system in Israel.
นัสเซอร์, ม., & เบโนลีเอล, ป. (2023). ความแตกต่างในนัยของการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมและความเป็นผู้นำแบบอุปถัมภ์ต่อความเครียดที่ครูรับรู้ในระบบการศึกษาของชนกลุ่มน้อยอาหรับในอิสราเอล. วารสารการบริหารการศึกษา, 61(6), 623–645.
.......................................................................................................................................................................................................................................................................................
การพัฒนาระบบการจัดการแบบมีส่วนร่วมในการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก
เหินไทสง, ประเสริฐศักดิ์; สิริสุทธิ, ชัยยุทธ; วิเศษรินทอง, กาญจนา
การศึกษาด้านการศึกษานานาชาติเล่ม 10 ฉบับที่ 2 หน้า 166-173 2560
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยของระบบการจัดการแบบมีส่วนร่วมในการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ 2) ศึกษาสถานการณ์ปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ และความต้องการเพิ่มเติมในการพัฒนาระบบการจัดการแบบมีส่วนร่วมในการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ 3) พัฒนาระบบการจัดการแบบมีส่วนร่วมที่ใช้งานได้ และ 4) ประเมินความยั่งยืนของระบบโดยศึกษาผลที่ได้จากการใช้งานระบบในบริบทของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก กระบวนการวิจัยและพัฒนาได้ดำเนินการโดยวิเคราะห์เอกสาร แนวทางทฤษฎี และวรรณกรรมวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากนั้น ปัจจัยที่เลือกมาใช้ในระบบได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 7 คน ศึกษาสถานการณ์ปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ และความต้องการเพิ่มเติมในการพัฒนาระบบการจัดการแบบมีส่วนร่วมในการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก โดยใช้แบบสอบถามที่ถามความคิดเห็นของผู้เข้าร่วม โดยใช้มาตราส่วนลิเคิร์ต 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยคำนวณค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ (PNI[subscript modified]) การพัฒนาระบบได้ดำเนินการโดยดำเนินการศึกษาดูงานในโรงเรียนที่ได้รับการแนะนำสำหรับระบบการจัดการการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและการใช้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ระบบได้รับการร่างโครงร่างและจัดทำคู่มือเพื่อนำระบบไปใช้งาน นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญ 9 คนได้ศึกษาความเหมาะสมของระบบที่เสนอและคู่มือของระบบ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีการพิจารณาปัจจัยย่อย 21 ประการในการพัฒนาระบบการจัดการแบบมีส่วนร่วมในการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่ ปัจจัยนำเข้า 6 ประการ ปัจจัยกระบวนการ 6 ประการ ปัจจัยผลิตภัณฑ์ 7 ประการ และปัจจัยข้อเสนอแนะ 2 ประการ ซึ่งแต่ละปัจจัยได้รับการประเมินในระดับความเหมาะสมสูงสุดโดยคณะผู้เชี่ยวชาญ สถานการณ์ปัจจุบันโดยรวมได้รับการประเมินว่าอยู่ในระดับความเหมาะสม "ปานกลาง" และความรู้สึกถึงผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ได้รับการประเมินในระดับความเหมาะสมสูงสุด ความต้องการในการพัฒนาเพิ่มเติมได้รับการจัดอันดับตามลำดับจากสูงไปต่ำดังนี้ ปัจจัยข้อเสนอแนะ ปัจจัยนำเข้า ปัจจัยผลิตภัณฑ์ และปัจจัยกระบวนการ ตามลำดับ ผลการประเมินระบบโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่าโดยรวมแล้วได้รับการประเมินในระดับความเหมาะสมสูงสุด มาตรฐานด้านความเป็นไปได้ ความเหมาะสม ประโยชน์ใช้สอย และการออกแบบระบบล้วนได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับสูงสุด นอกจากนี้ คู่มือการนำระบบไปใช้งานยังพบว่าอยู่ในระดับเหมาะสมสูงสุดอีกด้วย
Development of Participative Management System in Learning Environment Management for Small Sized Primary Schools
Hernthaisong, Prasertsak; Sirisuthi, Chaiyuth; Wisetrinthong, Kanjana
International Education Studies, v10 n2 p166-173 2017
The research aimed to: 1) study the factors of a participative management system in learning environment management, 2) study the current situation, desirable outcomes, and further needs for developing a participative management system in learning management, 3) develop a working participative management system, and 4) assess the system's viability by studying the findings from usage of the system in the context of a small sized primary school. Research and Development process was implemented by analyzing the documents, theoretical approaches and related research literature. Then, the chosen factors used in the system were investigated by seven experts. The current situation, desirable outcomes, and further needs for developing a participative management system in learning environment management for small sized primary schools were studied by using a questionnaire that asked participants for their opinions, measuring using a 5-point Likert scale. Data were analyzed by calculating the Mean, Standard Deviation, and (PNI[subscript modified]). The development of the system was implemented by conducting field trip studies in schools recommended for their effective learning management system and use of best practices. The system was outlined, and the handbook was provided to implement the system. In addition, the propriety of both the proposed system and its handbook was investigated by nine experts. The results show that 21 sub-factors were considered in the development of the participative management system in learning environment management for small sized primary schools. These included six input factors, six process factors, seven product factors, and two feedback factors, each of which were assessed at the highest level of propriety by the panel of experts. The overall current situation was judged to be at a "Moderate" level of propriety, and the sense of desirable outcomes was assessed at the highest level of propriety. The needs for further development were ranked in order from high to low as follows: feedback factor, input factor, product factor, and process factor respectively. The system evaluative finding by experts found that in the overall propriety was assessed at the highest level. The standards of feasibility, propriety, utility, and system design were all rated at the highest level. In addition, the handbook for system implementation was also found to be at the highest level of propriety.
. เหินไทสง, ป., สิริสุทธิ, ช., & วิเศษรินทอง, ก. (2560). การพัฒนาระบบการจัดการแบบมีส่วนร่วมในการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก. การศึกษาด้านการศึกษานานาชาติ, 10(2), 166–173
.......................................................................................................................................................................................................................................................................................
การมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพการดำเนินงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐในจังหวัดนครนายก ประเทศไทย
กาปอร์, โรฮามินา ปาลาคัด; ดร.เทเรซิตา รูบัง
วารสารการศึกษาโลกฉบับที่ 10 ฉบับที่ 5 หน้า 29-44 2020
การศึกษาครั้งนี้ใช้การวิจัยเชิงพรรณนา-เชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับการมีส่วนร่วมในการทำงาน ประสิทธิภาพการทำงาน และเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการมีส่วนร่วมในการทำงานและประสิทธิภาพการทำงาน ผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ ผู้อำนวยการ/รองผู้อำนวยการ จำนวน 22 คน ผู้อำนวยการ/รองผู้อำนวยการ จำนวน 22 คน หัวหน้าแผนกและรองหัวหน้าแผนก จำนวน 176 คน ของโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐในจังหวัดนครนายก ประเทศไทย ข้อมูลทั้งหมดมาจากการรายงานตนเอง ผลการศึกษาพบว่าระดับการมีส่วนร่วมของผู้บริหาร (ค่าเฉลี่ย = 4.07) และระดับการปฏิบัติงาน (4.21) อยู่ในระดับสูงที่ระดับนัยสำคัญ 0.5 นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์อย่างมาก (r = 0.96) ระหว่างการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพการทำงาน การศึกษาครั้งนี้มีนัยสำคัญเพื่อช่วยให้ผู้บริหารรักษาหรือปรับปรุงการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อปรับปรุงตัวบ่งชี้ที่กล่าวถึงในการศึกษานี้อย่างต่อเนื่องเพื่อความสำเร็จในการบริหารจัดการโรงเรียน
Engagement and Performance among Administrators of Public Secondary School in Nakhon Nayok, Thailand
Gapor, Rohamina Palakad; Doctor, Teresita Rubang
World Journal of Education, v10 n5 p29-44 2020
This study used a descriptive-quantitative research method. The objectives were to assess administrators' level of work engagement, work performance, and to determine the correlation between work engagement and work performance. The respondents of this study were 22 principals/deputy principals, 22 directors/deputy directors, and one hundred seventy-six (176) department heads and deputy department heads of the public secondary schools of Nakhon Nayok, Thailand. All data were based on a self-report. The findings showed that the administrators' engagement level (mean =4.07) and performance level (4.21) was high at a 0.5 level of significance. There is also a strong correlation (r = 0.96) between engagement and performance. The implication of this study is to help administrators maintain or enhance engagement and performance for continuous improvement in the indicators mentioned in this study for the success of school management.
กาปอร์, ร. ป., & รูบัง, ท. (2020). การมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพการดำเนินงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐในจังหวัดนครนายก ประเทศไทย. วารสารการศึกษาโลก, 10(5), 29–44.
.......................................................................................................................................................................................................................................................................................
การเสริมสร้างภาวะผู้นำแบบร่วมมือของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาของไทย
ประภาพร สำเรียงจิต , โควัต เตสะปูตา , กนกกร สมประชา.
การศึกษาด้านการศึกษาระหว่างประเทศฉบับที่ 9 ฉบับที่ 4 หน้า 42-53 2559
วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ความเป็นผู้นำแบบร่วมมือของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา 2) เพื่อสำรวจสถานการณ์ปัจจุบันและสถานการณ์ที่ต้องการความเป็นผู้นำแบบร่วมมือของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา 3) เพื่อพัฒนาโปรแกรมเพื่อเสริมสร้างความเป็นผู้นำแบบร่วมมือของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา และ 4) เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาความเป็นผู้นำแบบร่วมมือของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาจากการใช้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้น โดยใช้การวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งออกแบบ 4 ขั้นตอน กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาและครู 753 คน ที่เลือกโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอนให้ข้อมูลเชิงปริมาณ และขอให้ผู้เชี่ยวชาญที่เลือกโดยเจาะจงให้ข้อมูลเชิงคุณภาพ สถิติที่ใช้ในการวิจัยนี้ ได้แก่ เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ความต้องการตามลำดับความสำคัญ (PNI [ตัวห้อยที่ปรับเปลี่ยนแล้ว]) และการทดสอบ t-test แบบพึ่งพา ผลการวิจัยพบว่ามี 7 องค์ประกอบ 65 ตัวบ่งชี้ โปรแกรมการฝึกอบรมที่ได้รับการพัฒนาและทบทวนประกอบด้วย 4 โมดูล ได้แก่ โมดูล 1 ลักษณะของความไว้วางใจและความมุ่งมั่น โมดูล 2 แนวคิดเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ร่วมและการตัดสินใจร่วมกัน โมดูล 3 ทักษะในการเปลี่ยนแปลง การเสี่ยง และการจัดการความขัดแย้ง โมดูล 4 การประเมินและการสะท้อนกลับเกี่ยวกับอิทธิพลของความเป็นผู้นำร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ ในการดำเนินการตามโปรแกรมการฝึกอบรมเป็นเวลา 12 สัปดาห์โดยใช้ชุดฝึกอบรม 8 ชุด ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา 30 คนที่สมัครใจเข้าร่วมมีคะแนนสอบดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการฝึกอบรมและรู้สึกพึงพอใจกับโปรแกรมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ความเป็นผู้นำร่วมมือของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาหลังการทดสอบอยู่ที่ระดับสูงกว่าการทดสอบก่อน ที่ระดับ 0.01
Strengthening Collaborative Leadership for Thai Primary School Administrators
Samriangjit, Prapaporn; Tesaputa, Kowat; Somprach, Kanokorn
International Education Studies, v9 n4 p42-53 2016
The objectives of this research were: 1) to investigate the elements and indicators of collaborative leadership of primary school administrators, 2) to explore the existing situation and required situation of collaborative leadership of primary school administrators, 3) to develop a program to enhance collaborative leadership of primary school administrators, and 4) to investigate the effect of development for collaborative leadership of primary school administrators, from the usage of developed program. Research and Development (R&D) was employed which designed 4 stages, a sample group of 753 primary school administrators and teachers, chosen by multi-stage sampling, gave quantitative data; and experts purposively chosen were asked to provide qualitative input. The statistics used in this research included the percentage, mean, standard deviation, the Priority Need Indicator (PNI [subscript Modified]), and Dependent t-test. The results found that 7 elements 65 indicators. The training program which was developed and reviewed consists of four modules: Module 1, Characteristics of trust and commitment; Module 2, Paradigms of shared vision and collective decision making; Module 3, Skills in transforming change, risk taking and conflict management; Module 4, Assessment and reflection on collaborative leadership influences in fulfilling duties. In the implementation of the training program for 12 weeks employing 8 training kits, the 30 primary school administrators who volunteered to join significantly improved their test scores after the training and felt very highly satisfied with the program. In addition, the collaborative leadership of primary school administrators posttest was at higher level than the pretest at 0.01 level.
ประภาภร สำเรียงจิต. (2559). การเสริมสร้างภาวะผู้นำแบบร่วมมือของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาของไทย. การศึกษาด้านการศึกษาระหว่างประเทศ, 9(4), 42–53.
.......................................................................................................................................................................................................................................................................................