ภูมิคุ้มกันที่สมดุลกับการดูแล..โรคมะเร็ง..
มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เซลล์เจริญ(แบ่งตัว) อย่างผิดปกติ การที่เซลล์เปลี่ยนสภาพไปจากปกติจึงไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของร่างกายในเรื่องวัฏจักรการแบ่งตัว ทำให้เกิดการรุกรานเนื้อเยื่อข้างเคียง หรืออาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายซึ่ง แตกต่าง จากเนื้องอกธรรมดาที่ไม่รุกราน หรือแพร่กระจาย และขนาดจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มะเร็งมีสาเหตุมาจากยีนซึ่งควบคุมการทำงานของเซลล์ผิดปกติไป โดยอาจเป็นผลมาจากสารก่อมะเร็งเช่น ยาสูบ ควัน รังสี สารเคมี หรือเชื้อโรค นอกจากนั้นความอ้วนยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งมดลูก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งที่ไต มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งทรวงอก มะเร็งไขกระดูก มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮอดจ์กิ้น และมะเร็งรังไข่ จากสถิติของผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยเมื่อจำแนกตามเพศพบว่า
เพศชายเสียชีวิตจากมะเร็งปอดมากที่สุด รองลงมาคือมะเร็งตับ ส่วนผู้หญิงเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกมากที่สุด รองลงมาคือมะเร็งเต้านม โดยปกติมะเร็งทุกชนิดมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ ยกเว้นมะเร็งเม็ดเลือดขาว นักภูมิคุ้มกันวิทยาพบว่าการกระตุ้นประสิทธิภาพของ Th1 และ Th17 ให้มากขึ้น จะทำให้เม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตสามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้รวดเร็วขึ้น คณะนักวิจัย Operatiom BIM ได้วิจัยและพัฒนาสารเสริมประสิทธิภาพจากการสกัดมังคุด งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่งและบัวบก จนได้แคปซูลเสริมอาหาร ที่พิสูจน์โดยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์ แล้วว่าสามารถกระตุ้นการทำงานของ Th1 ได้ชัดเจน และกระตุ้น Th17 เพิ่มขึ้นได้หลายเท่า และแพทย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้พิสูจน์แล้วว่า สารเสริมประสิทธิภาพนี้สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัดแล้วอย่างน้อย 2 สูตรได้อย่างปลอดภัยและไร้ผลข้างเคียง
**ผลจากการใช้ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล**
#ศูนย์นวัตกรรมค้ำชีวิตbyBIM
ให้คำปรึกษาการสร้างภูมิสมดุล เพื่อช่วยดูแลอาการโรคมะเร็ง ซีสต์และเนื้องอก
โทร.096-245-2646 และโทร.081-457-4056 ไอดีไลน์ : 0962452646
คลิ๊กลิ้งค์เพื่อปรึกษาที่ https://line.me/R/ti/p/%40fyf0237a
คลิ๊กลิ้งค์เพื่อสอบถามเพิ่มเติมที่ https://line.me/R/ti/p/%40fyf0237a
หรือติดตามข้อมูลได้ที่ https://www.facebook.com/LonglifebyBIM/ได้นะคะ
10 สัญญาณเตือน ”โรคมะเร็งตับ”
เช็คก่อน! รู้ก่อน! ดีกว่า..สายเกินแก้!!
“โรคมะเร็งตับ” เป็นโรคที่มีความร้ายแรงต่อสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นมะเร็งที่พบได้มากเป็นอันดับต้น ๆ ของทั้งเพศชายและเพศหญิง ซึ่งโรคมะเร็งชนิดนี้มีอาการลุกลามค่อนข้างรวดเร็วและมีโอกาสหายขาดน้อยมาก กว่าที่ผู้ป่วยจะรู้ว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งตับก็แทบจะอยู่ในระยะที่รุนแรงมากแล้ว แต่ใช่ว่าโรคนี้จะไม่สามารถรับมือได้ เพราะถ้าหากเรารู้สัญญาณเตือนหรืออาการเริ่มแรกของโรคมะเร็งตับ ก็จะช่วยให้เราได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและเพิ่มอัตราการอยู่รอดได้
นี่คือ 10 สัญญาณเตือน”โรคมะเร็งตับ” ที่สังเกตได้ง่าย ๆ เช็คก่อน! รู้ก่อน! ดีกว่าสายเกินแก้!!
และไม่ควรละเลย เพราะสุขภาพของเราเป็นเรื่องสำคัญ!!
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://sites.google.com/view/longlifebybim
และ https://www.facebook.com/LonglifebyBIM/
1. คลื่นไส้บ่อย ๆ
อาการคลื่นไส้บ่อย ๆ จนผิดปกติ ถือว่าเป็นสัญญาณแรก ๆ ของโรคมะเร็งตับ เพราะเมื่อระบบการทำงานของตับเริ่มล้มเหลว ร่างกายก็จะไม่สามารถขจัดสารพิษในร่างกายออกไปได้ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียน อีกทั้งเนื้องอกที่เกิดขึ้นบริเวณตับก็จะผลิตฮอร์โมนบางชนิดที่ทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง อันเป็นสาเหตุให้อาการคลื่นไส้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีกด้วย
2. ปวดท้องด้านขวาผิดปกติ
โรคมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น อาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องด้านขวาอย่างรุนแรงได้ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดจากเนื้องอกที่เป็นมะเร็งเจริญเติบโตขึ้นในช่องท้องและทำให้เกิดความดันในช่องท้องมากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้รู้สึกปวดท้องและอาการเจ็บที่ช่องท้องร่วมกับอาการสะอึกเรื้อรัง นอกจากนี้ยังอาจพบอาการตับบวมโตที่สามารถส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณไหล่ขวา เนื่องจากตับไปทับเส้นประสาทบริเวณกระบังลมที่เชื่อมโยงกับระบบประสาทบริเวณไหล่ด้วย
3. อิ่มเร็ว เบื่ออาหาร
โรคมะเร็งตับจะส่งผลให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วขึ้นกว่าปกติ เพราะเมื่อตับถูกจู่โจมด้วยเซลล์มะเร็ง ประสิทธิภาพในการทำงานของตับก็จะลดลง จึงส่งผลให้ของเหลวไหลเข้าสู่ช่องท้องทำให้กินได้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งเซลล์มะเร็งยังไปทำให้ร่างกายเผาผลาญได้น้อยลง แล้วเมื่อร่างกายไม่ได้รับการเผาผลาญที่เป็นปกติ ความอยากอาหารก็จะลดลงตามด้วยเช่นกัน
4. น้ำหนักลด
เมื่อเซลล์มะเร็งเริ่มจู่โจมร่างกายจนทำให้ความอยากอาหารลดลง สิ่งที่จะตามมาก็คือน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายไม่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอ แต่ทั้งนี้การที่น้ำหนักลดก็ไม่ได้เป็นสัญญาณของโรคมะเร็งเพียงอย่างเดียว แต่ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตับ ดังนั้นจึงควรสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย และควรไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยให้ชัดเจน
5. มีอาการคัน
อาการคันเป็นอาการที่มักเกิดขึ้นกับโรคมะเร็งหลาย ๆ ชนิด แม้ว่าจะไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญก็สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากสารบางชนิดที่แพร่กระจายออกมาจากเนื้องอกที่เป็นมะเร็ง แต่ในกรณีของโรคมะเร็งตับ ได้มีการคาดการณ์ว่าอาการคันน่าจะเกิดจากน้ำดีในร่างกาย ซึ่งอาการคันของโรคมะเร็งตับจะเริ่มทุเลาลงเมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม
6. อ่อนเพลีย
อาการอ่อนเพลียเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคมะเร็งหลายชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโรคมะเร็งตับ นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นในร่างกาย บรรดาเซลล์เหล่านั้นก็จะเข้าไปก่อกวนการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย อีกทั้งอาการเจ็บปวดและไม่สบายเนื้อสบายตัวที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลียอีกด้วย ดังนั้นถ้าหากคุณเกิดมีอาการอ่อนเพลียในระหว่างวัน หรือไม่มีแรงแม้แต่จะทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ นั่นก็เป็นสัญญาณให้คุณได้ทราบแล้วว่าคุณควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
7. ตาเหลือง ตัวเหลือง
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าอาการตัวเหลืองนั้นเป็นอาการของดีซ่าน ซึ่งเป็นอีกอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นได้กับตับ แต่รู้หรือไม่ว่าอาการดีซ่านก็อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งตับได้เช่นกัน นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อตับของเราอ่อนแอลงเพราะโรคมะเร็ง ตับก็จะไม่สามารถกำจัดสารบิลิรูบิน (Bilirubin) ที่ถูกกรองออกมาจากกระแสเลือดได้ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้สารดังกล่าวตกค้างและกระจายไปตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ จนทำให้เกิดอาการดีซ่านนั่นเอง
8. ตับโต
ตับที่บวมโตมากกว่าปกติเป็นอาการที่แสดงให้เห็นในเบื้องต้นว่าอาจเกิดความผิดปกติกับตับ อย่างเช่น โรคตับอักเสบ โรคเลือดหรือโรคมะเร็งตับ แต่ทั้งนี้จะสันนิษฐานว่าเป็นมะเร็งตับได้หรือไม่ ก็ต้องวินิจฉัยร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น เนื้องอก หรืออาการที่เกิดขึ้นเฉียบพลันอื่น ๆ
9. เป็นท้องมาน
อาการท้องมานคืออาการที่เกิดจากความผิดปกติในหลอดเลือดและต่อมน้ำเหลืองทำให้มีของเหลวคั่งในช่องท้องเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำ ซึ่งสำหรับโรคมะเร็งตับแล้ว อาการท้องมานเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายจะเข้าไปทำให้เกิดแรงดันในหลอดเลือดมากขึ้น หรือเข้าไปทำให้ระบบน้ำเหลืองทำงานผิดปกติจนมีของเหลวจำนวนมากในช่องท้อง ซึ่งอาการนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์เท่านั้น โดยแพทย์จะต้องเจาะช่องท้องเพื่อระบายของเหลวออกมา
10. เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี หรือ ซี
โรคไวรัสตับอักเสบบี และโรคไวรัสตับอักเสบซี ล้วนสามารถเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับได้ จึงทำให้ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบทั้ง 2 ชนิดนี้ หรือผู้ที่เป็นพาหะ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติกว่า 200 เท่า ดังนั้นหากคุณเคยมีประวัติเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี หรือซี ควรตรวจเลือดอย่างน้อยปีละครั้ง และหมั่นดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ