พุทธประวัติ

เมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว มีราชธานีเมืองหนึ่งชื่อว่า กรุงกบิลพัสดุ์ ตั้งอยู่ในอาณาจักร ชมพูทวีป มีพระราชาพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ เป็นผู้ครองนคร และมีพระมเหสีพระนามว่า พระนางสิริมหามายา เมื่อพระนางสิริมหามายาทรงมีพระครรภ์ จึงได้ทูลขออนุญาตจากพระราชสวามี เพื่อเสด็จไปยังกรุงเทวทหะ อันเป็นถิ่นกำเนิดของพระนาง ครั้นเมื่อขบวนเสด็จผ่านมาถึงสวนลุมพินี พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หลังจากนั้นก็เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์  พระโอรสประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะทรงประกอบพิธีขนานพระนาม โดย เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน มาประชุมเพื่อทำพิธี ในครั้งนั้นทรงขนานพระนามว่า สิทธัตถะ แปลว่า ผู้สำเร็จตามความประสงค์ และยังได้ทำนายว่า ถ้าพระโอรสอยู่ครองเมืองจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าออกผนวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๗ วัน พระนางสิริมหามายาได้สิ้นพระชนม์ลง  เจ้าชายสิทธัตถะจึงได้อยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นน้องสาวของพระนางสิริมหามายา  เจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมพรรษาได้ ๗ พรรษา ดังนั้นพระราชบิดาให้ศึกษาศิลปวิทยาในสำนักครูวิศวามิตร เจ้าชายสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วจนสิ้นความรู้ของอาจารย์ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ได้อภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือ ยโสธรา และเมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา มีพระโอรสองค์หนึ่งพระนามว่า ราหุล ครั้งหนึ่ง เจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกประพาสอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๔ ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทำให้พระองค์คิดว่า คนทั้งหลายล้วนต้องประสบการเกิด แก่ เจ็บ และตายไม่มีใครรอดพ้น และคิดว่าการออกบวชจะช่วยให้พ้นทุกข์ได้ พระองค์จึงเสด็จออกบวชในคืนนั้นโดยมีม้ากัณฐกะ และมีนายฉันนะเป็นผู้ติดตามและบวชที่ฝั่งแม่น้ำอโนมา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะผนวชแล้ว ได้ไปศึกษาอยู่ในสำนักอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ศึกษาจนสำเร็จก็ไม่พบทางพ้นทุกข์ จึงเสด็จไปแสวงหาธรรมที่อื่นต่อไป ต่อมาพระองค์ได้บำเพ็ญทุกรกิริยากลั้นลมหายใจเข้าออก อดอาหาร จนพระวรกายผ่ายผอม ก็ยังไม่พบหนทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกวิธีทรมานร่างกายเป็นเหตุให้ปัญจวัคคีย์ที่เฝ้าปรนนิบัติอยู่เห็นว่าพระองค์ทรงเลิกบำเพ็ญเพียรแล้วจึงได้พากันหนีไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน  แขวงเมืองพาราณสี พระสิทธัตถะได้กลับมาเสวยอาหารเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แล้วบำเพ็ญเพียรด้วยการนั่งสมาธิ ทำจิตให้เกิดสมาธิแน่วแน่ พิจารณาความเป็นไปของธรรมชาติจึงเกิดความรู้แจ้งตรัสรู้ใน อริยสัจ ๔ ซึ่งถือเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์ ณ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ขณะที่มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา และได้รับการขนานพระนามใหม่ว่า พระพุทธเจ้า เพื่อพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่า ถ้าประกาศศาสนาให้รวดเร็วจะต้องทำให้ชฎิล ๓ พี่น้องนับถือเสียก่อน เพราะทั้งสามเป็นผู้มีหมู่ชนนับถือมากมาย พระองค์จึงได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพี่ชายคนโตก่อน และแสดงธรรมแก่คนที่สองและคนที่สามตามลำดับ  ด้วยพระเทศนาชื่อว่า อาทิตตปริยายสูตร จนชฎิล ๓ พี่น้องเกิดความเลื่อมใสศรัทธาและขอบวชในพระพุทธศาสนา  และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา ส่วนนักบวชที่เป็นสาวก จำนวน ๑,๐๐๐ คน ได้ขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วย  หลังจากที่พระพุทธเจ้าประกาศพระพุทธศาสนาเป็นเวลา ๙ เดือน ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๓ ได้มีพระสงฆ์สาวกจำนวน ๑,๒๕๐ รูป เดินทางมาเฝ้าพระองค์ที่เวฬุวนารามโดยมิได้นัดหมายกันมาก่อน  ในการประชุมครั้งนี้ พระพุทธเจ้าได้แสดง โอวาทปาฏิโมกข์  ซึ่งถือเป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

ความสำคัญของพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนามีความสำคัญมากมายหลายประเด็นมีหลักคำสอนสำหรับพัฒนาบุคคลให้บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งชีวิตบนพื้นฐานของเหตุผลและความถูกต้อง  ท่านได้กำหนดข้อปฏิบัติในการฝึกฝนอบรมตน ด้วยการให้ละความชั่ว ประพฤติแต่ความดี และทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส  ซึ่งในขั้นตอนของการพัฒนาตนนั้น ต้องเริ่มต้นด้วยมีศรัทธา คือมีความเชื่อที่ถูกต้องในหลักเหตุและผลโดยอาศัยปัญญาเข้าไปกำกับทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ  แต่การที่คนเราจะมีปัญญาได้นั้น ตนเองก็ต้องรู้จักคิด รู้จักอบรมปัญญาให้เกิดขึ้น ด้วยการฟังจากบุคคลอื่นบ้าง จากการอ่านตำราบ้าง จากการคิดค้นด้วยตนเองบ้าง จากการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมทั่วไปบ้าง จากประสบการณ์ต่างๆ บ้าง   เมื่อคนเรามีปัญญาความรอบรู้แล้ว จะสามารถใช้เป็นประทีปส่องทางไปสู่ความสำเร็จทั้งในด้านหน้าที่การงาน และการดำเนินชีวิตประจำวัน และยังสามารถที่จะพัฒนาจิตใจตนเองให้เข้าถึงความมีอิสรภาพอย่างแท้จริงอีกด้วย กล่าวคือ ทำให้จิตหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสและความทุกข์ทั้งปวงได้