หน่วยที่ 1 อาหารและการย่อยอาหาร
หน่วยที่ 1 อาหารและการย่อยอาหาร
ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย รวมถึงการสร้างกล้ามเนื้อและเอนไซม์ โปรตีนยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในบางสถานการณ์แหล่งโปรตีนที่ดี โดยโปรตีน 1 กรัมให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ไข่ ชีส โยเกิร์ต ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และถั่วแดง เป็นต้น
หมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต
คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย โดยเฉพาะสำหรับการทำงานของสมองและระบบประสาท การรับประทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอสำหรับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน แหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ เช่น ข้าวสวย ข้าวกล้อง ข้าวเหนียว ขนมปัง แป้ง มันฝรั่ง มันเทศ ข้าวโอ๊ตและควินัว เป็นต้น
หมู่ที่ 3 วิตามิน
วิตามินมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบย่อยอาหาร และการเจริญเติบโตของร่างกาย การรับประทานผักที่หลากหลายจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินเพียงพอ แหล่งวิตามินที่ดี โดยวิตามินไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว แครอท มะเขือเทศ ผักกาด เป็นต้น
หมู่ที่ 4 เกลือแร่
เกลือแร่ หรือ แร่ธาตุ ถึงแม้ว่าร่างกายจะต้องการ “เกลือแร่หรือแร่ธาตุ” ในปริมาณไม่มากนัก แต่ก็ไม่สามารถขาดได้อยู่ดี เพราะสารอาหารดังกล่าว เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ แหล่งเกลือแร่ที่ดี โดยเกลือแร่ไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เช่น ส้ม แตงโม และผลไม้อื่น ๆ เป็นต้น
หมู่ที่ 5 ไขมัน
ไขมันเป็นแหล่งพลังงานที่เข้มข้นที่สุดและช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน (วิตามิน A, D, E และ K) นอกจากนี้ ไขมันยังช่วยให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนและเซลล์ต่างๆ การรับประทานไขมันในปริมาณที่พอเหมาะจึงเป็นสิ่งสำคัญ แหล่งไขมันที่ดี โดยไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี่ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันเมล็ดพืช และน้ำมันจากสัตว์ เป็นต้น
ธงโภชนาการ
“เราได้ทำเป็นธงโภชนาการ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยอธิบายและทำความเข้าใจมากขึ้น โดยกำหนดเป็นสัญลักษณ์รูป “สามเหลี่ยมหัวกลับแบบธงแขวน” แสดงสัดส่วนอาหารในแต่ละกลุ่มเห็นภาพชัดเจน ด้านบนเน้นให้กินมาก และด้านล่างเน้นให้กินน้อย ๆ เท่าที่จำเป็น ซึ่งพูดง่าย ๆ เรามีแบ่งการกินที่เหมาะสมกับ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน ต้องการพลังงานวันละ 1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน กลุ่มผู้ชายวัยทำงานต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน และกลุ่มผู้ใช้แรงงาน/เกษตรกรต้องการพลังงานวันละ 2,400 กิโลแคลอรีต่อวัน ซึ่งการกินก็ต้องมาพิจารณาตามแต่แคลอรี ซึ่งธงโภชนาการมีกำหนดให้คร่าวๆ เพื่อให้เราไปบริหารจัดการให้เหมาะสมกับตัวเรา” นักโภชนาการ กล่าว
สำหรับธงโภชนาการจะกำหนดปริมาณที่ต้องรับประทาน อาทิ ข้าวหรือแป้งวันละ 8-12 ทัพพี ผักวันละ 4-6 ทัพพี ผลไม้ (รสไม่หวานจัด) วันละ 3-5 ส่วน นมพร่องมันเนย วันละ 1 แก้ว เนื้อสัตว์ไม่ติดมันวันละ 6-12 ช้อนกินข้าว น้ำมัน น้ำตาล เกลือ วันละน้อย ๆ เป็นต้น
การย่อยอาหาร
การย่อยอาหาร (Digestion) หมายถึง กระบวนการสลายอนุภาคอาหารให้มีขนาดเล็กสุด จนสามารถดูดซึมเข้าไปในเซลล์ได้ เมื่อมนุษย์รับประทานอาหารเข้าสู่ร่างกาย จะผ่านระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System) ระบบย่อยอาหารมีหน้าที่ย่อยอาหารให้ละเอียด แล้วดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้ ปาก > หลอดอาหาร > กระเพาะอาหาร > ลำไส้เล็ก > ลำไส้ใหญ่ > ของเสียออกทางทวารหนัก
ประเภทของการย่อยอาหาร แบ่งได้ 2 ประเภท
การย่อยเชิงกล (Mechanical digestion) เป็นกระบวนการทำให้อาหารมีขนาดเล็กลง เพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนที่และการเกิดปฏิกิริยาเคมีต่อไป โดยการบดเคี้ยว รวมทั้งการบีบตัวของทางเดินอาหาร ยังไม่สามารถทำให้อาหารมีขนาดเล็กสุด จึงไม่สามารถดูดซึมเข้าเซลล์ได้
การย่อยทางเคมี (Chemical digestion) เป็นการย่อยอาหารให้มีขนาดเล็กที่สุด โดยการเกิดปฏิกิริยาเคมีระหว่าง อาหาร กับ น้ำ โดยตรง และจะใช้เอนไซม์หรือน้ำย่อยเข้าเร่งปฏิกิริยา
ระบบย่อยอาหาร
เริ่มต้นจากการเคี้ยวอาหารโดยการทำงานร่วมกันของ ฟัน ลิ้น และแก้ม ซึ่งถือเป็นการย่อยเชิงกล ทำให้อาหารกลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ มีพื้นที่ผิวสัมผัสกับเอนไซม์ได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันต่อมน้ำลายก็จะหลั่งน้ำลายออกมาช่วยคลุกเคล้าให้อาหารเป็นก้อนลื่นสะดวกต่อการกลืน เอนไซม์ในน้ำลาย คือ เอนไซม์อะไมเลส จะย่อยแป้งในระยะเวลาสั้น ๆ ในขณะที่อยู่ในช่องปากให้กลายเป็นเดกซ์ทริน (Dextrin) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กกว่าแป้ง แต่ใหญ่กว่าน้ำตาล และถูกย่อยต่อไปจนเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ คือ มอลโตส
กระเพาะอาหารประกอบขึ้นด้วยกล้ามเนื้อเรียบที่อัดกันหนามาก ด้านในมีลักษณะเป็นสันช่วยในการบดอาหารให้มีขนาดเล็กลงอีก ผนังด้านในสามารถสร้างเอนไซม์เพปซิโนเจน (Pepsinogen) และกรดไฮโดรคลอริกหรือกรดเกลือ (HCI) เพปซิโนเจนจะถูกกรดเกลือเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นเอนไซม์เพปซิน (Pepsin) ซึ่งมีความสามารถในการย่อยเนื้อให้มีโมเลกุลเล็กลง เรียกว่า เพปไทด์ (Peptide) แต่ยังไม่สามารถดูดซึมได้
การย่อยในกระเพาะอาหาร
อาหารจะถูกคลุกเคล้าอยู่ในกระเพาะด้วยการหดตัว และคลายตัวของกล้ามเนื้อที่แข็งแรงของกระเพาะ โปรตีนจะถูกย่อยในกระเพาะ โดยน้ำย่อยเพปซิน ซึ่งย่อยพันธะบางชนิดของเพปไทด์เท่านั้น ดังนั้นโปรตีนที่ถูกเพปซินย่อยส่วนใหญ่จึงเป็นพอลิเพปไทด์ที่สั้นลง ส่วนเรนนินช่วยเปลี่ยนเคซีน (Casein) ซึ่งเป็นโปรตีนในน้ำนมแล้ว รวมกับแคลเซียมทำให้มีลักษณะเป็นลิ่ม ๆ จากนั้นจะถูกเพปซินย่อยต่อไป
ในกระเพาะอาหาร น้ำย่อยลิเพสไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากมีสภาพเป็นกรด โดยปกติอาหารจะอยู่ในกระเพาะอาหารนาน 30 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารนั้น ๆ
กระเพาะอาหารก็มีการดูดซึมอาหารบางชนิดได้ แต่ปริมาณน้อยมาก เช่น น้ำ แร่ธาตุ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว กระเพาะอาหารดูดซึมแอลกอฮอล์ได้ดี
อาหารโปรตีน เช่น เนื้อวัว ย่อยยากกว่าเนื้อปลา ในการปรุงอาหารเพื่อให้ย่อยง่าย อาจใช้การหมักหรือใส่สารบางอย่างลงไปในเนื้อสัตว์เหล่านั้น เช่น ยางมะละกอ หรือสับปะรด
ลำไส้เล็กเป็นทางเดินอาหารส่วนที่ยาวมาก แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ดูโอดีนัม เจจูนัม และไอเลียม ที่ผนังลำไส้เล็กสามารถสร้างน้ำย่อยขึ้นมาได้ ซึ่งมีหลายชนิด นอกจากนั้นที่ลำไส้เล็กส่วนดูโอดีนัม ยังได้รับน้ำย่อยจากตับอ่อน และน้ำดีมาจากตับ น้ำย่อยจากตับอ่อนมีหลายชนิดที่สามารถย่อยคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมันได้ และลำไส้เล็กเป็นอวัยวะที่ดูดซึมสารอาหารได้มากที่สุดในระบบย่อยอาหาร
การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก
ย่อยน้ำตาลโมเลกุลคู่ ให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ดังนี้
- มอลโทส โดยเอนไซม์มอลเทส ได้กลูโคส 2 โมเลกุล
- ซูโครส โดยเอนไซม์ซูเครส ได้กลูโคส และฟรักโทส
- แลกโทส โดยเอนไซม์แลกเทส ได้กลูโคส และกาแลกโทส
2. ย่อยสารอาหารโปรตีนต่อจากกระเพาะอาหาร ได้แก่ เพปไทด์โดยเอนไซม์ทริปซินได้กรดอะมิโน ซึ่งเป็นโปรตีนโมเลกุลเดี่ยว
3. ย่อยไขมัน (ลิพิด) โดยเอนไซม์ลิเพส จะย่อยไขมันโมเลกุลเล็ก ( emulsified fat ) ให้เป็นไขมันโมเลกุลเดี่ยว ได้แก่ กรดไขมันและกลีเซอรอล
การดูดซึมอาหารในลำไส้เล็ก
การดูดซึมอาหาร หมายถึง ขบวนการที่นำอาหารที่ผ่านการย่อยจนได้เป็นสารโมเลกุลเดี่ยว เช่น กลูโคส กรดอะมิโน กรดไขมัน กลีเซอรอล ผ่านผนังทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ลำไส้เล็ก เป็นบริเวณที่ดูดซึมอาหารเกือบทั้งหมดเพราะเป็นบริเวณที่มีการย่อยอาหารเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ และโครงสร้างภายในลำไส้เล็กก็เหมาะแก่การดูดซึม คือ ผนังลำไส้เล็กจะยาวพับไปมา และมีส่วนยื่นของกลุ่มของเซลล์ที่เรียงตัวเป็นแถวเดียวมีลักษณะคล้ายนิ้วมือ เรียกว่า วิลลัส (Villus) เป็นจำนวนมาก ในแต่ละเซลล์ของวิลลัสยังมีส่วนยื่นของเยื่อหุ้มเซลล์ออกไปอีกมากมาย เรียกว่า ไมโครวิลลัส (Microvillus) ในคน มีวิลลัสประมาณ 20-40 อันต่อพื้นที่ 1 ตารางมิลลิเมตรหรือประมาณ 5 ล้านอัน ตลอดผนังลำไส้ทั้งหมด
การดูดซึมในลำไส้ใหญ่
การดูดซึมอาหารที่ย่อยแล้วส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ผนังลำไส้เล็ก ส่วนอาหารที่ไม่ถูกย่อยหรือย่อยไม่ได้ เช่น เซลลูโลส ก็จะถูกส่งไปยังลำไส้ใหญ่ ส่วนต้นของลำไส้ใหญ่มีไส้เล็ก ๆ ปลายตัน เรียกว่า ไส้ติ่ง ไส้ติ่งของคนไม่ได้ทำหน้าที่อะไรแต่ก็อาจเกิดการอักเสบถึงกับต้องผ่าตัดไส้ติ่งออกไป ซึ่งอาจเกิดจากการอาหารผ่านช่องเปิดลงไป หรือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไส้ติ่งเกิดการอุดตัน อาหารที่เหลือจากการย่อยและดูดซึมแล้วจะผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่มีแบคทีเรียอยู่จำนวนมาก ซึ่งจะใช้ประโยชน์จากกากอาหารนี้ นอกจากนั้นแบคเทีเรียบางชนิดยังสังเคราะห์ วิตามินบางชนิด เช่น วิตามินเค วิตามินบี 12 เซลล์ที่บุผนังลำไส้ใหญ่สามารถดูดน้ำได้มากที่สุดในระบบย่อยอาหาร จึงทำให้กากอาหารข้นขึ้น จนเป็นก้อนกากอาหารจะผ่านไปถึงไส้ตรง ท้ายสุดของไส้ตรงเป็นกล้ามเนื้อหูรูดแข็งแรงมาก มีลักษณะเป็นวงรอบปากทวารหนักทำหน้าที่บีบตัวในการขับถ่าย และผนังภายในลำไส้ใหญ่จะขับเมือกออกมาหล่อลื่นก้อนอาหาร
น้ำดี (Bile) สร้างจากตับ (Liver) แล้วถูกนำไปเก็บไว้ที่ ถุงน้ำดี (Gall Bladder) ไม่ถือว่าเป็นเอนไซม์ เพราะจะเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม เมื่อปฏิกิริยาสิ้นสุดลงแล้ว (น้ำดีไม่มีน้ำย่อย) มีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
1. เกลือน้ำดี (Bile Salt) มีหน้าที่ตีให้ไขมัน (Fat) แตกตัวเป็นหยดเล็ก ๆ ไขมันที่ถูกตีให้แตกตัวเป็นหยดเล็ก ๆ เรียกว่า อีมัลชั่น (Emulsion) จากนั้นถูก Lipase ย่อยต่อให้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล
2. รงควัตถุน้ำดี (Bile Pigment) เกิดจากการสลายตัวของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) โดยตับเป็นแหล่งทำลายและกำจัด Hemoglobin ออกจากเซลล์ เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ โดยเก็บรวบรวมเข้าไว้เป็นรงควัตถุในน้ำดี (Bile Pigment) คือ บิริรูบิน (Bilirubin) จึงทำให้น้ำดีมีสีเหลืองหรือเขียวอ่อน และจะถูกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมน้ำตาลโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่เกิดเป็นใสในอุจจาระ
3. โคเรสเตอรอล (Cholesterol) ถ้ามีมาก ๆ จะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี เกิดการอุดตันที่ท่อน้ำดี เกิดโรคดีซ่าน (Janudice) มีผลทำให้การย่อยอาหารประเภทไขมันบกพร่อง
ที่มา https://www.samakkhi.ac.th
น้ำดี (Bile) สร้างจากตับ (Liver) แล้วถูกนำไปเก็บไว้ที่ ถุงน้ำดี (Gall Bladder) ไม่ถือว่าเป็นเอนไซม์ เพราะจะเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม เมื่อปฏิกิริยาสิ้นสุดลงแล้ว (น้ำดีไม่มีน้ำย่อย) มีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
1. เกลือน้ำดี (Bile Salt) มีหน้าที่ตีให้ไขมัน (Fat) แตกตัวเป็นหยดเล็ก ๆ ไขมันที่ถูกตีให้แตกตัวเป็นหยดเล็ก ๆ เรียกว่า อีมัลชั่น (Emulsion) จากนั้นถูก Lipase ย่อยต่อให้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล
2. รงควัตถุน้ำดี (Bile Pigment) เกิดจากการสลายตัวของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) โดยตับเป็นแหล่งทำลายและกำจัด Hemoglobin ออกจากเซลล์ เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ โดยเก็บรวบรวมเข้าไว้เป็นรงควัตถุในน้ำดี (Bile Pigment) คือ บิริรูบิน (Bilirubin) จึงทำให้น้ำดีมีสีเหลืองหรือเขียวอ่อน และจะถูกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมน้ำตาลโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่เกิดเป็นใสในอุจจาระ
3. โคเรสเตอรอล (Cholesterol) ถ้ามีมาก ๆ จะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี เกิดการอุดตันที่ท่อน้ำดี เกิดโรคดีซ่าน (Janudice) มีผลทำให้การย่อยอาหารประเภทไขมันบกพร่อง
ที่มา https://www.samakkhi.ac.th