อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
by ครูหวาน
by ครูหวาน
อารยธรรมเมโสโปเตเมียเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลก มีเอกลักษณ์โดดเด่นหลายด้าน เกิดจากการผสมผสานความรู้และวิทยาการจากหลายเผ่าพันธุ์เข้าด้วยกัน คนกลุ่มแรกที่สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นคือชาวซูเมอร์ หรือสุเมเรียน ที่รวมตัวกันตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่ระหว่างแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “เมโสโปเตเมีย” ในภาษากรีกโบราณ คือ "พื้นที่ระหว่างแม่น้ำ” ท่ามกลางภูมิประเทศอันแห้งแล้ง แม่น้ำได้พัดพาเอาตะกอนดินมาทับถมกันจนเกิดเป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการเพาะปลูกและอยู่อาศัย จนได้รับการขนานนามให้เป็น “ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์”
ชนชาติสุเมเรียน (Sumerian) เป็นชนชาติแรกที่สร้างความเจริญขึ้นในบริเวณเมโสโปเตเมีย มีความเชื่อกันว่า ชาวสุเมเรียนได้อพยพมาจากที่ราบสูงอิหร่าน และได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณตอนล่างสุดของลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสตรงส่วนที่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย โดยเรียกบริเวณนี้ว่า ซูเมอร์ นักประวัติศาสตร์ถือว่า ซูเมอร์ คือ แหล่งกำเนิดของนครรัฐ แห่งแรกของโลก ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุเมเรียนเริ่มแรกชีวิตแบบหมูบ้านเล็กๆ ต่อมาจึงเปลี่ยนมาเป็นชีวิตในเมืองที่มีการปกครองในรูปแบบนครรัฐ ระยะแรก ชาวสุเมเรียนมีพระเป็นผู้ดูแลและควบคุมกิจการต่างๆในนครรัฐ พระจะมีอำนาจในการปกครองแผ่นดินและเป็นประมุขสูงสุด เรียกว่า ปะเตชี ทำการปกครองในนามของพระเป็นเจ้า ทำหน้าที่ควบคุมตั้งแต่การเก็บภาษี ควบคุมการดูแลเกี่ยวกับการชลประทานและการทำไร่
3,500 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวสุเมเรียนได้สร้างอารยธรรมของตน เมืองที่ก่อตัวขึ้นในเขตซูเมอร์ระยะนี้ได้แก่เมืองออร์ เมืองริเรค เมืองอิริดู เมืองลากาซ และเมืองนิปเปอร์ เมืองเหล่านี้เป็นศูนย์กลางของระบบชลประทาน ก่อตัวขึ้นได้สำเร็จเพราะประสิทธิภาพของระบบการจัดการน้ำ เช่น การเก็บกักและการระบายน้ำ เมืองมีฐานะเป็นอิสระและเป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นตรงกันเรียกว่า นครรัฐ ชาวสุเมเรียนมีความเชื่อในการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่ละนครรัฐจะมีเทพเจ้าประทับอยู่ในวัดใหญ่ที่เรียกว่า ซิกกูแรต ชาวสุเมเรียนเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อจัดให้เป็นศูนย์กลางของนครรัฐระยะแรก พระจะเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆ ในนครรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษี อาหาร ตลอดจนควบคุมดูแลเกี่ยวกับการชลประทานและการทำไร่นา ต่อมาเมื่อเกิดการรบกันระหว่างนครรัฐ อำนาจการปกครองจึงเปลี่ยนมาอยู่ที่นักรบหรือกษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้เข้มแข็งสามารถปกป้องนครรัฐได้โดยจะทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการต่าง ๆ แทนพระ สุดท้ายแล้วชาวสุเมเรียนในสมัยของลูการ์ ซักกิซซี ก็ถูกซาร์กอนมหาราชผู้นำชาวอัคคาเดียนรุกรานจนต้องล่มสลายไป
หลังจากที่พวกสุเมเรียนเสื่อมอำนาจลงเพราะการทำสงครามกับชนเผ่าอื่นๆที่เข้ามารุกรานและแย่งชิงความเป็นใหญ่ในระหว่างพวกสุเมเรียนด้วยกันเอง ต่อมาพวกอามอไรต์ (Amorite) ได้ตั้งอาณาจักรบาบิโลเนีย (Babylonia Kingdoms) ขึ้นมา มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองบาบิโลน ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรทีส อาณาจักรบาบิโลเนียเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็ง มีการปกครองแบบรวมศูนย์ (Centralization) มีการเก็บภาษีอากรและการเกณฑ์ทหาร รัฐควบคุมการค้าต่างๆ อย่างใกล้ชิด ผลงานที่สำคัญของอาณาจักรบาบิโลเนีย ได้แก่ การประมวลกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ในสมัยพระเจ้าฮัมมูราบี (Hammurabi, 1792-1745 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งมีชื่อเรียกว่าประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี (The Code of Hammurabi) จารึกอยู่บนแผ่นศิลา หลักการของกฎหมายมีรากฐานมาจากกฎหมายของพวกสุเมเรียน แต่ได้จัดให้เป็นระบบ และให้อำนาจหน้าที่ในการลงโทษผู้กระทำผิดแก่ชนชั้นปกครองยิ่งขึ้น ประมวลกฎหมายของฮัมมูราบี ยึดถือหลัก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน (an eye for eye, atooth for a tooth) ในการลงโทษ กล่าวคือ ให้ใช้การทดแทนความผิดด้วยการกระทำอย่างเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายปกครองมีอำนาจได้ไม่นาน เพราะพวกพระกลับมีอิทธิพลเช่นเดิม อาณาจักรบาบิโลเนียจึงเริ่มอ่อนแอและถูกพวกฮิตไทต์ (Hittite) ซึ่งอพยพมาจากทางเหนือและใต้ (ซึ่งมาจากเทือกเขาซากรอส ) เข้าปล้นสะดมเมื่อ 1590ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาพวกฮิตไทต์ก็เสียอำนาจให้แก่พวกคัสไซต์และ เข้าครอบครองกรุงบาบิโลนเป็นเวลาถึง 400 ปี
เมื่อ 612 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกคาลเดียน (Chaldean) ซึงเป็นชนเผ่าฮีบรูทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทีสก็สามารถเข้ายึดกรุงนิเนเวห์ได้สำเร็จ และสถาปนากรุงบาบิโลนขึ้นเป็นเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่ง และจัดตั้งเป็นอาณาจักรบาบิโลเนียขึ้นมา อาณาจักรบาบิโลเนียใหม่เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาก ในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ (Nebuchadnezzar, 605-562 ปีก่อนคริสต์ศักราช) พวกคาลเดียนสามารถยกกองทัพไปตีได้เมืองเยรูซาเลม และกวาดต้อนเชลยชาวยิวมายังกรุงบาบิโลนได้เป็นจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการสร้างสวนขนาดใหญ่เรียกว่า สวนลอยแห่งบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณเพราะสามารถใช้ความรู้ในการชลประทาน ทำให้สวนลอยนี้เขียวขจีได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้นพวกคาลเดียนในบาบิโลเนียใหม่ยังปรับปรุงด้านเกษตรกรรม และเริ่มต้นงานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางดาราศาสตร์ มีการแบ่งสัปดาห์ออกเป็น 7 วัน แบ่งวันออกเป็น 12 คาบ คาบละ 120 นาที และยังสามารถพยากรณ์สุริยุปราคาตลอดจนคำนวณเวลาการโคจรของดวงอาทิตย์ในรอบปีได้อย่างถูกต้อง ชาวคาลเดียนเป็นชาติแรกที่ริเริ่มนำความรู้ทางดาราศาสตร์มาทำนายโชคชะตาของมนุษย์
เมื่อ 539 ปีก่อนคริสต์ศักราช อาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ถูกกองทัพเปอร์เซียโดยการนำของ พระเจ้าไซรัสมหาราช (Cyrus the Great, 559-530 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เข้ายึดครองและผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซียที่เรืองอำนาจอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันตก จึงนับได้ว่าประวัติศาสตร์ของดินแดนแถบเมโสโปเตเมียในยุคโบราณได้สิ้นสุดลงไปด้วย
งานสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวบาบิโลเนีย คือ ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี (Hummurabi) เป็นกฎหมายฉบับแรกของโลก มีบทลงโทษอย่างรุนแรงตามหลักตาต่อตา ฟันต่อฟัน
อาณาจักรแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรบาบิโลเนีย เริ่มตั้งแต่เทือกเขาเปอร์เซียนจรดทะเลเมดิเตอร์เรนเนียน โดยรวมทั้ง อียิปต์ตอนเหนือฟินิเซียและปาเลสไตน์
อาณาจักรอัสซีเรียได้รับอารยธรรมจากสุเมเรีย เช่นเดียวกับบาบิโลเนียเพราะฉะนั้น ศิลปกรรมของอาณาจักรเหล่านี้มีลักษณะ คล้ายคลึงกัน ชนเผ่าอัสซีเรียมีนิสัยที่โหดร้ายทารุณ ตรงข้ามกับชาวบาบิโลเนียมีนิสัยที่อ่อนโยนและสุภาพแต่เป็นสิ่งน่าแปลกมากที่ชาวอัส ซีเรียกลับเป็นพวกที่มีอารยธรรมสูงไม่แพ้ชาวเมโสโปเตเมียกลุ่มอื่น ๆ
จากแผ่นจารึกที่นักโบราณคดีได้ค้นพบนั้นแสดงให้เห็นว่าชนกลุ่มนี้มีความสามารถในการแต่งบทประพันธ์และตำนานต่าง ๆ โดย จารึกเป็นอักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) เก็บไว้ในสถานที่ที่เราอาจจะเรียกได้ว่าเป็นห้องสมุดการเขียนหนังสือของคนพวกนี้ใช้วิธีเดียวกับ ชาวสุเมเรียและชาวบาบิโลเนียโดยใช้เหล็กจารลงบนดินเหนียวแล้วนำไปเผาไฟแผ่นจารึกอักษรคูนิฟอร์มแบบนี้นอกจากจะเป็นบันทึกใน ทางประวัติศาสตร์ตำนานและคำประพันธ์แล้วบางชิ้นยังมีลักษณะเป็นจดหมายสื่อสารอีกด้วยเพราะเหตุว่าแผ่นจารึกที่เป็นจดหมายเหล่า นี้จะถูกเก็บไว้ในก้อนดินเผาซึ่งทำหน้าที่เหมือนกับซองจดหมายเวลาเขย่าจะมีเสียงดังเพราะฉะนั้นเวลาจะอ่านจดหมายเหล่านี้จำเป็นต้อง ทุบส่วนนอกก่อนแล้วจึงจะพบตัวจดหมาย
อาณาจักรอัสซีเรียมีความเจริญมาช้านานตราบจนกระทั่งสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้าอัสสุรบานิปาล (Assurbanipal) กรุงนิเนเวห์ (Nineveh) ได้ถูกทำลายลงโดยกองทัพร่วมของพวกมีเดีย และพวกบาบิโลเนียหลังจากนั้นอาณาจักรอัสซีเรียได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน อารยธรรมซึ่งเคยเจริญมาช้านานได้ดับวูบลงปล่อยให้อาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ของแคลเดียน (Neo Babylonian) ภาจใต้การนำของกษัตริย์ Nebuchadnezza ขยายพระราชอาณาจักรและจุดแสงแห่งอารยธรรมขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ศิลปกรรมของพวกอัสซีเรียส่วนใหญ่เป็นศิลปกรรมประเภทประติมากรรมและสถาปัตยกรรมมากกว่าศิลปกรรมในแขนงจิตรกรรม จากซากโบราณวัตถุที่ขุดพบได้จากอาณาจักรแห่งนี้เราพอจะสรุปได้ดังนี้
สถาปัตยกรรม : ที่สำคัญที่สุดและแสดงให้เป็นถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอัสซีเรีย เราสามารถดูได้จากพระราชวังของ พระเจ้าซาร์กอน (Sargon) ที่คอร์ซาบัด (Khorsabas) (คนละองค์กับพระเจ้า Sargon แห่ง Akkad) พระราชวังนี้สร้างประมาณ 2,340 2,180 B.C. ก่อเป็นกำแพงสูงทึบเป็นชั้น ๆ ขึ้นไปนักโบราณคดีหลายท่านสันนิษฐานว่าการที่ก่อสร้างตึกสูงเป็นชั้น ๆ โดยมีพระราชวังอยู่ชั้นบนนั้น เพื่อให้พ้นจากภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ ถึงแม้ว่าตัวตึกจะสูงมากแต่ก็สามารถเดินถึงขั้นบนสุดได้โดยทางบันไดหรือสามารถขี่รถม้า (Chariot) ขึ้น ไป โดยอาศัยทางลาดสำหรับตัวพระราชวังก่อด้วยอิฐเคลือบเพราะฉะนั้นพื้นผิวจึงมีลักษณะเป็นมันงดงามมากเป็นที่น่าสังเกตว่าประตูทาง เข้าซิกกูรัต ตัวกำแพงที่ทำหน้าที่ค้ำตัวอาคาร และบรรดาป้อมค่ายต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนมีรูปทรงเรขาคณิต โดยเฉพาะส่วนโค้งนับว่าเป็นรูป แบบที่สำคัญที่สุดในการสร้างพระราชวังพวกอัสซีเรีย พวกเขาสามารถสร้างให้ส่วนโค้งกับตัวอาคารอื่น ๆมีความสอดคล้องและสัมพันธ์กัน จากหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ขุดพบได้ในพระราชวังคอร์ซาบัด (Khorsabad) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการนำเอาส่วนโค้งเข้ามาใช้ คือ ซากของท่อ ระบายน้ำและส่วนประกอบอื่น ๆ ที่พบนั้นเป็นรูปครึ่งวงกลม การที่ชาวอัสซีเรียได้นำเอาลักษณะโค้งเข้ามาใช้ในสถาปัตยกรรมนี้เอง ทำให้ นักโบราณคดีส่วนมากเชื่อว่าศิลปกรรมของเมโสโปเตเมีย เป็นพื้นฐานทางศิลปกรรมของพวกอียิปต์ และยุโรปในสมัยต่อมา
ประติมากรรม : นิยมใช้สำหรับตกแต่งพระราชวังมี 3 แบบ คือ ใช้สำหรับตกแต่งหน้าประตูทางเข้าและทางออก ทำหน้าที่เสมือนเป็น ยามเฝ้าประตูคล้ายกับสฟิงซ์ (Sphinx) ของอียิปต์ซึ่งเฝ้าอยู่หน้าปิรามิด งานแบบนี้ขุดพบได้ที่พระราชวังอัสสุรบานิปาลที่ 2 (Assurbanirpal II) ที่เมืองนิมรัด (Nimrud) มีอายุประมาณ 884 859 B.C. แกะสลักเป็นแบบนูนสูง รูปวัว 5 ขา มีหัวเป็นคนและมีปีกคล้ายนก ใช้สำหรับตกแต่ง ประดับฝาผนังนิยมแกะสลักแบบนูนสูงเป็นพระราชประวัติของพระมหากษัตริย์ หรือเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา และรัฐพิธี ต่าง ๆ ภาพแกะสลักเหล่านี้ได้แก่ ภาพพระเจ้าอัสสุรบานิปาลที่ 2 ทรงทำสงครามขยายอาณาจักรงานชิ้นนี้พบที่พระราชวังของพระเจ้าอัสสุร บานิปาลที่ 2 และอีกชิ้นหนึ่ง คือ ภาพสิงโตถูกยิงด้วยลูกธนู (Dying Lion) ภาพนี้เป็นประติมากรรมนูนสูงอีกเช่นกัน พบที่พระราชวังของ พระเจ้าอัสสุรบานิปาลที่เมืองนินเนเวห์ (Nineveh) (ประมาณปี 668 662 B.C.)
ประติมากรรมแบบลอยตัว ส่วนมากจะสลักเป็นรูปพระมหากษัตริย์ จุดประสงค์ของศิลปินนั้น มิใช่เพื่อให้เหมือนกับองค์จริงแต่ เพียงอย่างเดียวหากมุ่งต้องการแสดงให้เห็นถึงอำนาจอันสูงสุดที่แฝงอยู่ในภาพนั้น เท่าที่ขุดพบได้คือภาพแกะสลักจากหินทรายแบบ ลอยตัวของพระเจ้าอัสสุรบานิปาลที่ 2 (Assurbanirpal II) พบที่เมืองนิมรัด (Nimmrud) งานชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะเด่นของพระเจ้าอัส สุรบานิปาลที่ 2 คือ พระพักตร์ชาเย็น ดวงตาแข็งกร้าว ท่าทางเด็ดขาดจนดูเหมือนไร้ความกรุณาและค่อนข้างเผด็จการ ประกอบกับดาบเคียว ที่ทางถืออยู่นั้น (Sickle Sword) เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์อัสซีเรียซึ่งแสดงถึงอำนาจอันมหาศาลของกษัตริย์ที่จะบันดาลชะตาชีวิตของ คนในอาณาจักรนั้น ๆ
เนื้อหา