ที่มาที่ไปของปัญหา: ปัญหาขยะมูลฝอยในอำเภอเขาสมิงมีที่มาจากหลายปัจจัยหลัก ประการแรกคือการเติบโตของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการค้าและการท่องเที่ยว ทำให้ปริมาณขยะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าขีดความสามารถในการจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประการที่สองคือพฤติกรรมการทิ้งขยะไม่เป็นที่ ไม่คัดแยกขยะตั้งแต่ครัวเรือน ทำให้ขยะปะปนกันจนยากต่อการนำไปรีไซเคิลหรือบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การขาดความตระหนักรู้ถึงผลกระทบของขยะต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ทำให้การลดปริมาณขยะและการจัดการขยะอย่างถูกวิธีไม่ได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังเพียงพอ ระบบการจัดเก็บและกำจัดขยะที่มีอยู่บางครั้งก็ไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด หรือมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร ส่งผลให้ขยะบางส่วนถูกทิ้งเกลื่อนกลาดหรือกำจัดด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม เช่น การเผาหรือการนำไปทิ้งในที่สาธารณะ ก่อให้เกิดมลภาวะและทัศนียภาพที่ไม่น่ามองตามมา
แนวทางแก้ไข:
ส่งเสริมการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง: รณรงค์และให้ความรู้แก่ครัวเรือน โรงเรียน และสถานประกอบการในเรื่องการแยกขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล ขยะอันตราย และขยะทั่วไป พร้อมจัดหาภาชนะรองรับที่เหมาะสมในแต่ละจุด
เพิ่มประสิทธิภาพระบบการจัดเก็บและกำจัด: องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรจัดเก็บขยะให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ตามตารางเวลาที่ชัดเจน และนำขยะไปกำจัดอย่างถูกวิธี เช่น การฝังกลบแบบถูกสุขลักษณะ หรือการนำไปแปรรูปเป็นพลังงาน
ส่งเสริมการลดปริมาณขยะ (3R): สนับสนุนการใช้ซ้ำ (Reuse) การนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และการลดการใช้ (Reduce) ผ่านกิจกรรมรณรงค์ สร้างแรงจูงใจให้คนใช้ถุงผ้า พกแก้วน้ำส่วนตัว และลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง
ที่มาที่ไปของปัญหา: การกัดเซาะชายฝั่งในอำเภอเขาสมิงเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ร่วมกัน ปัจจัยทางธรรมชาติคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คลื่นลมมีกำลังแรงขึ้นและซัดเข้าสู่ชายฝั่งมากขึ้น นอกจากนี้ รูปแบบของพายุที่รุนแรงและเกิดบ่อยขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยที่เร่งให้เกิดการกัดเซาะ อีกสาเหตุที่สำคัญคือการทำลายป่าชายเลน ซึ่งในอดีตเคยเป็นแนวป้องกันธรรมชาติที่ช่วยลดแรงปะทะของคลื่นและตรึงหน้าดินชายฝั่งไว้ แต่ปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนหลายแห่งถูกบุกรุกเพื่อการเกษตร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง หรือการพัฒนาที่ดิน ทำให้แนวป้องกันธรรมชาติเหล่านี้อ่อนแอลงหรือไม่เหลืออยู่เลย การก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำแนวชายฝั่ง การขุดลอกร่องน้ำ หรือการเปลี่ยนแปลงทางน้ำตามธรรมชาติก็อาจส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของตะกอน ทำให้ชายฝั่งบางพื้นที่ถูกกัดเซาะได้ง่ายขึ้นด้วย
แนวทางแก้ไข:
ฟื้นฟูและปลูกป่าชายเลน: จัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติมในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างแนวป้องกันธรรมชาติ และดูแลรักษาป่าชายเลนที่มีอยู่ให้คงสภาพสมบูรณ์
ศึกษาและก่อสร้างโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะ: ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะรุนแรง ควรมีการศึกษาและพิจารณาก่อสร้างโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะที่เหมาะสม เช่น กำแพงกันคลื่น หรือแนวหินกันคลื่น โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวม
วางแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งอย่างยั่งยืน: กำหนดเขตการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งอย่างชัดเจน และควบคุมการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในบริเวณชายฝั่งไม่ให้รุกล้ำหรือทำลายแนวป้องกันธรรมชาติ
ที่มาที่ไปของปัญหา: ปัญหาการบุกรุกและทำลายป่าไม้ในอำเภอเขาสมิงมีรากฐานมาจากความต้องการที่ดินเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ยางพารา หรือผลไม้ชนิดต่างๆ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มีการแผ้วถางป่าเพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของประชากรและการกระจายตัวของชุมชนทำให้ความต้องการที่ดินเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น นำไปสู่การบุกรุกพื้นที่ป่าในบางกรณี อีกทั้งการลักลอบตัดไม้เพื่อจำหน่ายเป็นไม้แปรรูปหรือฟืนถ่านก็ยังคงมีอยู่ แม้จะมีการบังคับใช้กฎหมายก็ตาม การขาดความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของป่าไม้ และการขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลรักษาป่าก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ปัญหาเหล่านี้ยังคงอยู่ บางครั้งการสำรวจและกำหนดแนวเขตพื้นที่ป่าที่ยังไม่ชัดเจนก็อาจทำให้เกิดข้อพิพาทและนำไปสู่การบุกรุกได้
แนวทางแก้ไข:
บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด: หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตรา ป้องกัน และจับกุมผู้กระทำผิดฐานบุกรุกและทำลายป่าไม้ เพื่อเป็นบทเรียนและป้องปราม
ฟื้นฟูและปลูกป่าทดแทน: จัดกิจกรรมปลูกป่าทดแทนในพื้นที่ป่าที่เสื่อมโทรม หรือพื้นที่ที่ถูกบุกรุกให้กลับมาเป็นป่าอีกครั้ง และส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อลดการพึ่งพิงป่าธรรมชาติ
สร้างความเข้าใจและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน: ให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับความสำคัญของป่าไม้ และส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า และเป็นหูเป็นตาแจ้งเบาะแสการทำลายป่า
ที่มาที่ไปของปัญหา: ปัญหาการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรมของอำเภอเขาสมิงเป็นผลพวงมาจากรูปแบบการทำเกษตรสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนแรงงาน เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้รวดเร็วและให้ผลผลิตสูง รวมถึงการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและวัชพืชเพื่อป้องกันความเสียหายต่อผลผลิต ปัจจัยที่ส่งเสริมการใช้สารเคมีคือการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรผสมผสานที่ยั่งยืน รวมถึงการที่สารเคมีเหล่านี้หาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีในปริมาณมากและไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดการสะสมของสารพิษในดิน น้ำ และในตัวเกษตรกรเอง รวมถึงผู้บริโภคที่อาจได้รับสารตกค้างจากผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ สารเคมีที่ถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้ำยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในน้ำและสัตว์น้ำ ทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
แนวทางแก้ไข:
ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย: สนับสนุนองค์ความรู้ เมล็ดพันธุ์ และช่องทางการตลาดสำหรับเกษตรกรที่ต้องการเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรปลอดภัยที่ลดการใช้สารเคมี
ให้ความรู้การใช้สารเคมีอย่างถูกวิธีและปลอดภัย: จัดอบรมให้เกษตรกรทราบถึงชนิดของสารเคมี วิธีการใช้ที่ถูกต้อง ปริมาณที่เหมาะสม และการป้องกันตนเองจากสารเคมี รวมถึงการกำจัดภาชนะบรรจุสารเคมีอย่างปลอดภัย
สนับสนุนการใช้ชีวภัณฑ์และวิธีธรรมชาติ: ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ และชีวภัณฑ์ในการควบคุมศัตรูพืช เพื่อลดการพึ่งพิงสารเคมีและสร้างความสมดุลของระบบนิเวศในไร่นา
ที่มาที่ไปของปัญหา: ปัญหาน้ำเสียในอำเภอเขาสมิงส่วนใหญ่มีที่มาจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปล่อยน้ำทิ้งลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรงหรือผ่านระบบบำบัดที่ไม่เพียงพอ แหล่งกำเนิดหลักคือน้ำเสียจากชุมชนและครัวเรือน ซึ่งมีทั้งน้ำจากการชำระล้าง ซักล้าง และน้ำทิ้งจากห้องสุขา ที่มักไม่มีระบบบำบัดขั้นต้นหรือบ่อเกรอะบ่อซึมที่ได้มาตรฐาน ทำให้สิ่งปฏิกูลและสารอินทรีย์ต่างๆ ไหลลงสู่แม่น้ำลำคลองโดยตรง นอกจากนี้ ภาคเกษตรกรรมก็เป็นอีกแหล่งกำเนิดสำคัญ โดยเฉพาะการใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีจำนวนมากในการเพาะปลูก เมื่อฝนตก สารเคมีเหล่านี้จะถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ เกิดเป็นปัญหาน้ำเสียจากสารพิษและภาวะน้ำเสียจากสารอาหารส่วนเกิน (eutrophication) ซึ่งส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง สัตว์น้ำไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ หรือเกิดปรากฏการณ์น้ำเน่าเสียตามมา ยิ่งไปกว่านั้น การขยายตัวของสถานประกอบการขนาดเล็กบางแห่งที่ยังขาดความรับผิดชอบในการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยทิ้งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ซ้ำเติมปัญหา
แนวทางแก้ไข:
ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียครัวเรือนและชุมชน: สนับสนุนให้ครัวเรือนติดตั้งบ่อบำบัดน้ำเสียเบื้องต้น (บ่อเกรอะบ่อซึม) ที่ได้มาตรฐาน และพิจารณาจัดสร้างระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูง
ควบคุมการปล่อยน้ำเสียจากภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม: ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และชีวภัณฑ์ในภาคเกษตรกรรม และบังคับใช้กฎหมายควบคุมการปล่อยน้ำเสียจากสถานประกอบการ โดยต้องมีระบบบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
ฟื้นฟูและดูแลแหล่งน้ำธรรมชาติ: จัดกิจกรรมทำความสะอาดแหล่งน้ำอย่างสม่ำเสมอ และรณรงค์ให้ประชาชนไม่ทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือสารเคมีลงในแม่น้ำลำคลอง เพื่อรักษาระบบนิเวศทางน้ำให้สมบูรณ์