โขน
โขน คือการแสดงท่ารำเต้นกับจังหวะดนตรี ประกอบด้วย ตัวละครที่เป็นยักษ์ ลิง มนุษย์ และเทวดา ผู้แสดงสวมหัวโขนไม่ร้องและเจรจาเอง แต่ปัจจุบันผู้แสดงเป็นมนุษย์กับเทวดาไม่สวมหัวโขน และเพิ่มการขับร้องประกอบการแสดงแบบละครใน
โขนเป็นนาฏศิลป์ไทยชั้นสูงที่มีมาแต่สมัยโบราณ การแสดงโขนได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สืบทอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน คำว่า โขน มีที่มาและความหมายอยู่หลายประการ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายซึ่งได้กล่าวไว้ ดังนี้
1. โขน หมายถึง การเล่นอย่างหนึ่งคล้ายละครรำแต่สวมหัวจำลองต่าง ๆ เรียกว่า หัวโขน
2. โขน หมายถึง ไม้ที่ต่อเสริมหัวเรือท้ายเรือให้งอนเชิดขึ้นไปเรียกว่า “โขนเรือ”
3. เป็นชื่อเรื่อ เช่น เรือโขน
4. โขน หมายถึง ส่วนสุดทั้ง 2 ข้าง ของรางระนาด หรือ ฆ้องวง
ที่มาของคำว่าโขน
โขน เป็นมหานาฏกรรมที่มีศิลปะเป็นแบบฉบับหนึ่งของไทย ซึ่งไม่ปรากฏคำนี้แน่ชัดในจารึกหรือเอกสารยุคโบราณของไทย แต่คำว่า โขนปรากฏกล่าวไว้ในหนังสือของชาวต่างประเทศ ซึ่งกล่าวถึงศิลปะแห่งการเล่นของไทยใน รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ดูจะเป็นศิลปะการเล่นที่นิยมและยึดถือเป็นแบบแผนกันมาแล้วจึงเชื่อว่านาฏกรรมชนิดนี้น่าจะมาก่อนสมัยนั้นเป็นเวลานาน
ส่วนทางด้านภาษานั้น คำว่า โขน อาจเป็นคำซึ่งบัญญัติใช้ขึ้นในภาษาไทย หรือยืมจากภาษาอื่น ๆ ก็ยังไม่พบหลักฐานแต่อย่างใด แต่ภายหลังได้ค้นพบหลักฐานที่อ้างอิงได้บ้างว่าจะเป็นคำที่มีรากฐานมาจากภาษาอื่น จึงมีลักษณะหรือความหมายคล้ายคลึงกับคำว่า โขน ซึ่งเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงของไทยอย่างน้อยก็มีความหมายต่างกัน 3 ทาง คือ
1. คำว่า โขละ หรือ โขล ในภาษาเบงกาลีหมายถึงเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งขึงด้วยหนังและใช้ตีได้ดี ซึ่งมีรูปร่างคล้ายตะโพนของไทย
2. คำว่า โกล หรือ โกลัม ในภาษาทมิฬมีความหมายถึง การแต่งตัว หรือตกแต่งประดับประดาร่างกายผู้แสดงให้ทราบถึงเพศว่าเป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิงหรือผู้ชาย
3. คำว่า คาน หรือ โขน ในภาษาอิหร่าน หรือเปอร์เซีย หมายถึง ผู้อ่านหรือหรือผู้ขับร้องแทนตัวตุ๊กตาหรือหุ่นหรือหมายถึง ผู้พากย์ ผู้เจรจา แทนหรือตุ๊กตา
ส่วนที่มาของการแสดงโขน ซึ่งเป็นนาฏกรรมของไทย และได้มีการเล่นมานานแล้ว นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้กล่าวถึงเรื่องศิลปะการมหรสพของไทยในอดีตไว้ ดังต่อไปนี้
“คนไทยเราศิลปะการเล่นหลายอย่างสืบมาแต่โบราณ และการเล่นที่มาปรากฏเป็นมหรสพสำคัญในภายหลัง ก็น่าจะได้แก่การเล่นที่เรียกกันเป็นคำรวม ๆ ว่า ระบำรำเต้น” เต้น คำนี้ นายธนิต อยู่โพธิ์ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ศิลปะแห่งการยกขาขึ้นลงให้เป็นจังหวะ” เช่น เต้นขา เต้นโขน เต้นรำ เป็นต้น และมีหลักบานสมัยโบราณกล่าวถึงไว้อย่างชัดเจนทั้งในจารึกสมัยกรุงสุโขทัย หลักที่8 ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง และกฎหมายมนเทียรบาลว่าดังนี้
จารึกหลักที่ 8 “ย่อมเรียงขันหมากขันพูลบูชาพิลม ระบำรำเต้นเล่นทุกฉัน”
ไตรภูมิพระร่วง “บ้างเต้น บ้างรำ บ้างฟ้อน ระบำ บันลือเพลงดุริยดนตรี”
กฎมนเทียรบาล “ให้มีระบำรำเต้น พิณพาทย์ฆ้องกลองประโคมทั้ง 4ประตู”
ที่มาของศิลปะแห่งการเล่นโขน
โขน เป็นศิลปะการแสดงที่รวมเอาลักษณะเอกลักษณ์แห่งการแสดงที่พัฒนาการเล่นต่าง ๆ เข้ามารวมกันไว้ได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน สันนิษฐานว่ามาจากการเล่น 3 อย่างด้วยกัน คือ
1. ชักนาคนึกดำบรรพ์ การทำพิธีกรรมในเรื่องพระนารายณ์กวนน้ำอมฤต
ประกอบด้วยฝ่ายเทวดา อสูร วานรมีอิทธิพลทางด้านการแต่งกาย แต่งหน้า
การสร้างหัวโขน การกำหนดสถานที่แสดงที่เป็นรูปแบบของโขนกลางแปลง
2. หนังใหญ่ ศิลปะการแสดงที่ประกอบด้วยตัวหนังที่ทำมาจากหนังวัว
แกะสลักเป็นภาพในเรื่องรามเกียรติ์ ผู้เชิดหนังจะต้องแสดงลีลาการเต้นประกอบ
ดนตรีที่หน้าจอ โดยใช้แสงไฟฟ้าส่องจากด้านหลังจอ ทำให้เกิดเงาภาพหน้าจอหนัง
มีคนพากย์ และเจรจา มีอิทธิพลต่อโขนในด้านของเรื่องที่ใช้แสดง บทพากย์เจรจา
ท่าเต้น ท่าเชิด ดนตรี สถานที่แสดงที่เป็นต้นกำเนิดของการแสดงโขนหน้าจอ
3. กระบี่กระบองศิลปะการต่อสู่ของคนไทยโบราณที่มีการหลบหลีก
ยั่วยุคู่ต่อสู้ด้วยการชิงไหวชิงพริบโดยใช้อาวุธทำเลียนแบบอาวุธจริง เป็นไม้ โลหะ
หนังสัตว์ มีทั้งอาวุธสั้น เช่น ดาบ โล่ และอาวุธยาว เช่น พลอง กระบอง หอก เป็นต้น
ได้ให้รูปแบบวิธีการรำใช้อาวุธ ท่าต่อสู้ กระบวนลีลา ท่ารบต่าง ๆ ในการแสดงโขน
ซึ่งการละเล่นทั้ง 3 นี้ ล้วนมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งก่อนและร่วมยุคสมัยกับ
การแสดงโขนของไทยมาในอดีต
รูปแบบและลักษณะของการแสดงโขน
โขน เป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงอย่างหนึ่งของไทย เดิมผู้แสดงโขนทุกตัวจะต้องสวมหัวโขนปิดหน้าทั้งหมด จึงต้องมีผู้ทำหน้าที่พากย์เจรจา แทนเรียกว่าคนพากย์โขน ต่อมาได้วิวัฒนาการด้านการแต่งหน้านิยมให้ตัวพระและตัวนางใช้การแต่งหน้าอย่างละครแทนการสวมหัวโขนปิดหน้าทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่พูดส่งเสียงเจรจาด้วยตัวเองและที่น่าสังเกตคือ โขนจะเป็นศิลปะการแสดงที่เน้นรูปแบบของการเต้นเป็นหลัก นิยมจัดแสดงเฉพาะงานพิธีสำคัญ รูปแบบที่เป็นเฉพาะตัวอย่างหนึ่งก็คือ การแต่งกายเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ หรือที่เรียกว่าแต่งกายยืนเครื่อง มีระเบียบธรรมเนียมในการแสดงที่เคร่งครัด ดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า
ประเภทของโขน
ศิลปะแห่งการแสดงโขนนั้น เข้าใจว่าเดิมคงจะแสดงกันกลางสนามหญ้า จึงเรียกกันว่าโขกลางแปลง ครั้นต่อมาจึงวิวัฒนาการขึ้นโดยมีการยกพื้นทำเวที ปลูกโรงสำหรับเล่นขึ้นและพัฒนามาเป็นลำดับ ซึ่งวิวัฒนาการของโขนจากอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ สามารถจำแนกประเภทของการแสดงโขนออกเป็น 5 ประเภทด้วยกัน คือ
1. โขนกลางแปลง
โขนกลางแปลง คือ การแสดงโขนบนพื้นดินกลางสนามหญ้า นิยมแสดงกลางแจ้ง
ไม่มีเวที เชื่อว่าในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้จัดให้มีการแสดงโขนกลางแปลงขึ้นเนื่องในงานฉลองพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมชนกาธิราช และมีการสันนิฐานว่า โขนกลางแปลงคงจะมีแต่การยกทัพและการรบกันเป็นพื้น พลงดนตรีก็มีแต่เพลงหน้าพาทย์ และมีบทพาทย์เจรจาเท่านั้นไม่มีการขับร้อง
2. โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว
โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราวคือ โขนที่จัดแสดงบนโรงไม่มีเตียงนั่ง แต่มีราวไม้กระบอกพาดตามส่วนยาวของโรงตรงหน้าฉากออกมามีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราวนั้นตัวโรงมักมีหลังคากันแดดกันฝน เมื่อตัวโขนที่เป็นตัวเอกออกมาแสดง
จะนั่งบนราวไม้กระบอกแทนนั่งเตียง ปี่พาทย์ประกอบการแสดงใช้ 2 วงเนื่องจากต้องบรรเลงเพลงหน้าพาทย์มาก ตั้งอยู่บนหัวโรงวงหนึ่ง และท้ายโรงวงหนึ่ง การดำเนินเรื่องโดยการพากย์เจรจา ไม่มีบทขับร้อง
โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว ยังมีวิธีแสดงเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือ
ในตอนบ่ายก่อนถึงวันแสดงปี่พาทย์ทั้ง 2 วงจะโหมโรง และเมื่อโหมโรงถึง
เพลงกราวใน พวกโขนที่เล่นเป็นตัวเสนาจะออกมากระทุ้งเสา (เส้าหรือเสาไม้) แล้วจับเรื่องแสดงตอนพระราม นางสีดา และพระลักษณ์หลงเข้าไปในสวนพะวาทองของพิราพ พิราพกลับมารู้เรื่องก็โกรธ ยกไพร่พลติดตามไป เมื่อจบตอนนี้ก็เลิกแสดง ผู้แสดงโขนต้องพักนอนเฝ้าโรงโขนคือหนึ่ง รุ่งขึ้นจึงแสดงในชุดที่กำหนดไว้ด้วยเหตุที่ผู้แสดงโขนต้องนอนเฝ้าโรงโขนนี่เองจึงเกิดมีชื่อเรียกการแสดงโขนตอนนี้ว่า โขนนอนโรง
3. โขนโรงใน
โขนโรงใน เกิดขึ้นเมื่อมีผู้นำการแสดงโขนกับละครในเข้าผสมกัน
มีทั้งการแสดงออกท่ารำเต้นและการฟ้อนรำตามแบบละครใน
การดำเนินเรื่องมีพากย์เจรจาตามแบบโขน และมีเพลงร้องเพลงระบำ
ตามแบบละครในผสมผสานกันไป และในตอนนี้คงเป็นตอนที่กำหนดให้
ผู้แสดงดขนเป็นตัวเทพบุตร เทพธิดา และมนุษย์ชายหญิงที่เคยสวมหัวโขน
ปิดหน้าทั้งหมด เปลี่ยนมาสวมเครื่องประดับศีรษะ เช่น มงกุฎ รัดเกล้า ฯลฯ
ตามแบบละครใน โดยเฉพาะในตอนที่นิยมนำเรื่องรามเกียรติ์ไปแสดง
เป็นละครใน ดังเช่น บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ในรัชกาลที่ 1 และ
รัชกาลที่ 2 แสดงให้เห็นว่าโขนกับละครในคลุกเคล้าปะปนกันมาตั้งแต่สมัยนั้น ทั้งได้มีการปรับปรุงขัดเกลา บทพากย์เจรจาให้ไพเราะสละสลวยขึ้นอีก จึงทำให้ศิลปะการแสดงโขนภายในพระราชสำนักงดงามยิ่งขึ้นและภายหลังนำมาแสดงในโรงอย่างละครในจึงเรียกว่า โขนโรงใน
4. โขนหน้าจอ
โขนหน้าจอ คือ โขนที่แสดงตรงหน้าจอ ซึ่งแต่เดิมขึงไว้
สำหรับแสดงหนังใหญ่ ทำด้วยผ้าโปร่งสีขาวสองข้างทั้งซ้าย
และขวาเจาะช่องทำเป็นประตูสำหรับผู้แสดงเข้าออก ต่อจากประตูออก
ไปทางขวาของเวทีเขียนเป็นภาพพลับพลาของพระราม ทางด้านซ้าย
ของเวทีเป็นภาพปราสาทราชวัง สมมุติเป็นกรุงลงกาหรือเมืองยักษ์
ปี่พาทย์ประกอบการแสดงใช้ปี่พาทย์เครื่องใหญ่ หรือเครื่องคู่ มีพากย์เจรจา
และขับร้อง ในปัจจุบันจะเป็นโขนที่แสดงตามงานต่าง ๆ เช่น ที่สนามหลวง
กรุงเทพมหานคร หรือตามงานวัดทั่วไป การแสดงโขนหน้าจอนำเอาศิลปะ
แบบโขนโรงในไปแสดง คือ การขับร้องและการจัดระบำรำฟ้อนแทรกอยู่บางตอน เช่น ตอนศึกพรหมาสตร์ เป็นต้น
5. โขนฉาก
สันนิษฐานว่า โขนฉากเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยมีผู้คิดสร้างฉาก
ประกอบการแสดงโขนบนเวทีขึ้นคล้ายกับละครดึกดำบรรพ์
ผู้ที่เป็นต้นคิดนั้นเข้าใจว่าจะเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์วิธีแสดงแบ่งฉากแสดง
แบบละครดึกดำบรรพ์ ใช้ศิลปะการแสดงแบบโขนโรงใน
มีพากย์เจรจาและขับร้อง แต่ปรับปรุงบทให้กระชับขึ้น อาจจะ
ตัดทอนเรื่องราวลงบ้างเป็นบางตอนเพื่อให้พอเหมาะกับฉาก
และเวลาแสดง โขนที่กรมศิลปากรจัดแสดง ณ โรงละครแห่งชาติ เช่น
ท้าวมาลีราชว่าความ ชุดพาลีสอนน้อง ฯลฯ ก็เป็นการแสดงแบบโขนฉากทั้งสิ้น
โขนฉากยังรวมไปถึงโขนทางโทรทัศน์อีกด้วย เพราะการแสดงโขนทางโทรทัศน์มีฉากประกอบตามท้องเรื่อง
ลักษณะการแสดงโขนแต่ละประเภท
1.โขนกลางแปลง
2.โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว
3.โขนหน้าจอ
4.โขนโรงใน
5.โขนฉาก
โขน นาฏศิลป์ไทยชั้นสูง
มหรสพ การละเล่น และการแสดงของไทยเรานั้นมีมากมายหลายรูปแบบ และสามารถตอบสนองความต้องการและรสนิยมของผู้ชมได้หลากหลายประเภท ดังนั้น การที่ผู้ชมจะชื่นชอบและเลือกชมมหรสพ การละเล่น หรือการแสดงประเภทใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ชมด้วย เช่น ถ้าหากต้องการความสนุกสนาน ตลกขบขัน ดูรวดเร็วไม่เยิ่นเย้อ
ก็อาจเลือกดูลิเก ละครชาตรี หรืละครนอก แต่ถ้าหากชื่นชอบในกระบวนรำที่งดงาม มีระเบียบแบบแผนในการรำ ดนตรี และเพลงขับร้องที่ไพเราะก็อาจเลือกดูละครใน เป็นต้น
การแสดงนาฏศิลป์ไทย ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงกว่าการแสดงนาฏศิลป์อื่น ๆ ด้วยกัน และมีมาแต่สมัยโบราณ ก็คือโขน นั่นเอง สาเหตุที่ทำให้เชื่อได้ว่า โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงของไทยอย่างแท้จริงน่าจะมาจากประเด็น ดังนี้
1. เรื่องที่แสดง เรื่องที่นำมาแสดงดขน เป็นวรรณคดีที่สำคัญของไทย คือ เรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งพระมหากษัตริย์
ของไทยหลายพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์เป็นวรรณคดีที่เรียบเรียงจากเค้าโคลงและเนื้อหาของ
มหากาพย์รามายณะของอินเดีย ซึ่งกล่าวถึงพระนารายณ์ เทพเจ้าสำคัญในศาสนาฮินดูที่อวตารมาเป็นพระราม เพื่อปราบปรามทศกัณฐ์ในกลียุค และยังถือว่ารามายณะนี้เป็นคัมภีร์ชั้นรองที่มีความสำคัญของชาวฮินดูด้วย ดังนั้นเรื่องที่
นำมาแสดงโขนจึงเป็นเรื่องของเทพเจ้า และพระมหากษัตริย์เป็นผู้พระราชนิพนธ์จึงเหมาะสมที่จะกล่าวได้ว่าโขนเป็นนาฏศิลป์ไทยชั้นสูง
2. เครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกายในการแสดงโขน คือ เครื่องแต่งตัวซึ่งเรียกว่าแต่งกายยืนเครื่องโขนได้จำลอง
รูปแบบเครื่องต้นอันเป็นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ที่ใช้ทรงในเวลาประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ และหัวโขน เป็นเครื่องแต่งกายที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง มีกรรมวิธีการสร้างที่ต้องอาศัยความชำนาญ ความประณีต และฝีมือในการปั้นหุ่นติดพิมพ์เขียนลวดลาย ปิดทองประดับเพชร เป็นงานหัตถศิลป์อย่างหนึ่งในงานช่างสิบหมู่ของไทยที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ
3. ผู้แสดงโขนจัดเป็นราชูปโภคสำหรับกษัตริย์อย่างหนึ่ง เป็นการแสดงของราชสำนักซึ่งชาวสามัญทั่วไป สามัญ
ชนไม่ได้รับพระราชบรมราชานุญาติให้มีโขนเล่นเป็นของตนเองได้ ดังนั้นผู้ที่มีโอกาสได้ฝึกหัดเป็นผู้แสดงโขนแต่เดิมจึงเป็นเฉพาะบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ เจ้านายและขันนางในราชสำนักเท่านั้น นอกจากนี้การฝึกหัดเป็นผู้แสดงโขนนั้นมีขั้นตอน จารีต และแบบแผนที่ผู้เรียน ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ต้องมีความอดทนและใช้เวลาในการฝึกที่ยาวนานจึงจะสามารถออกโรงแสดงได้จึงมิใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกหัดเป็นผู้แสดงโขน
4. ดนตรีประกอบการแสดง วงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงโขน คือ วงปี่พาทย์ซึ่งจัดเป็นวงดนตรีที่เป็น
เอกลักษณ์ประจำชาติของเรานอกจากนี้ นักดนตรีจะต้องเป็นผู้มีความสามารถและประสบการณ์สูง เพราะในการแสดงโขนนั้นจะต้องบรรเลงเพลงประกอบการขับร้อง บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบอากัปกิริยาของตัวโขน ในตอนที่สำคัญ เช่น พระรามเข้าสวนพระพิราพจะต้องมีตัวแสดงที่ออกรำเพลงหน้าพาทย์สูงสุดของนาฏศิลป์และดนตรีไทย คือ เพลงหน้าพาทย์องค์พระพิราพ ซึ่งมีใช้เฉพาะในการแสดงโขนและประกอบพิธีไหว้ครูเท่านั้น
5. ภาษาที่ใช้ในการแสดงโขน บทการแสดงโขนซึ่งปรมาจารย์ด้านนาฏศิลป์ไทยได้ประพันธ์ขึ้นใช้สำหรับแสดง มี
รูปแบบเป็นงานร้อยกรอง ได้แก่ กลอนแบบบทละคร บทพากย์ที่แต่งเป็นกาพย์ และคำเจรจาที่แต่งเป็นร่าย การเลือกใช้คำจะใช้คำที่มีความหมายลึกซึ้ง คำยากที่ต้องแปลและมีการใช้คำราชาศัพท์มาก และโดยเฉพาะผู้พากย์เจรจาแทนตัวโขนนั้นจะต้องมีความสามารถมีไหวพริบปฏิภาณอย่างสูงที่จะเจรจาโต้ตอบ กระทู้ และด้นสดได้อีกด้วย
6. โอกาสและสถานที่แสดง โขนเป็นนาฏศิลป์ไทยที่หาชมได้ยาก เนื่องจากแต่เดิมมีได้เฉพาะพระมหากษัตริย์เท่านั้นและมีเล่นกันแต่ในพระราชฐานโอกาสที่ประชาชนทั่วไปจะได้ชมจึงมีน้อย หากจะได้ชมโขนแต่ละครั้งก็ต้องเป็นโอกาสสำคัญ ๆ เช่น ในงานพระราชพิธีโสกันต์ งามสมโภชพระราชเศวตคชาธารหรือในงานอวมงคล เช่น ในงานพระราชพิธีพระบรมศพ เป็นต้น
ด้วยเหตุผลที่ยกมากล่าวนี้นับว่ามีน้ำหนักมากพอที่ยอมรับได้ว่า โขนของไทยเรานั้นเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงของชาติโดยแท้ถึงแม้ปัจจุบันเรามีโอกาสได้ชมง่ายขึ้นกว่าในอดีตก็ยังปรากฏว่านาฏศิลป์โขนอันเป็นสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งของชาติ ยังไม่ได้รับความสนใจ และเข้าใจในการแสดงโขนดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนที่ฝักใฝ่ในค่านิยมตามยุคสมัย
ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนลืมและไม่รู้จักมรดกรากเหง้าและภูมิปัญญาที่บรรพชนรุ่นก่อนสืบทอดรักษาไว้คืออะไร มี
ความสำคัญอย่างไร จึงอยากให้เราตระหนักว่าสิ่งนี้คือเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยที่นานาประเทศไม่มีและอยากจะมีโอกาสได้ชมเพราะมองเห็นคุณค่าความสำคัญในสิ่งที่ประเทศของเรามีอยู่