1. ยุคกลาง (Middle Ages)
ยุคนี้คือ ช่วงเวลาระหว่างศตวรรษที่ 5-15 (ราว ค.ศ. 450-1450) บทเพลงที่สำคัญได้แก่เพลงโบสถ์ คือเพลงร้องเสียงเดียว ไม่มีอัตราจังหวะ ไม่มีดนตรีประกอบ และเพลงคฤหัสถ์คือเพลงขัยร้องเพื่อความรื่นเริง
ดนตรีในยุคนี้เป็น vocal polyphony คือ เป็นเพลงร้องโดยมีแนวทำนองหลายแนวสอดประสานกันซึ่งพัฒนามาจากเพลงสวด (Chant) และเป็นเพลงแบบมีทำนองเดียว (Monophony) เมื่อเพลงชานท์ได้ถูกนำไปร้องเป็นระยะเวลานาน จึงทำให้เกิดพัฒนาการขึ้น จากเพลงที่มีเสียงเดียว พัฒนาเป็นเพลงที่มี 2 แนวเสียง แนวเสียงใหม่ที่เพิ่มเข้ามาร้องคู่ขนานไปกับทำนองหลักเดิม เพลงสวดที่มีแนวเสียง 2 แนวนี้ถูกเรียกว่า ออร์แกนุ่ม (Organum) พัฒนาการนี้เกิดขึ้นราวศตวรรษที่ 9 เพลงร้องพบได้ทั่วไปและเป็นที่นิยมมากกว่าเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรี รูปแบบของเพลงเป็นแบบล้อทำนอง (Canon) นักดนตรีที่ควรรู้จักคือ มาโซท์และแลนดินี
2. ยุคเรเนซองค์ (Renaissance Period)
เป็นดนตรีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 (ราว ค.ศ. 1450-1600) การสอดประสาน(Polyphony) ยังเป็นลักษณะของเพลงในยุคนี้โดยมีการล้อกันของแนวทำนองเดียวกัน (Imitative style)ลักษณะบันไดเสียงเป็นแบบโหมด(Modes) ยังไม่นิยมแบบบันไดเสียง(Scales) การประสานเสียงเกิดจากแนวทำนองแต่ละแนวสอดประสานกัน มิได้เกิดจากการใช้คุณสมบัติของคอร์ด ลักษณะของจังหวะมีทั้งเพลงแบบมีอัตราจังหวะ และไม่มีอัตราจังหวะ ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อย ยังมีน้อยไม่ค่อยพบ ลักษณะของเพลงมีความนิยมพอๆกัน ระหว่างเพลงร้องและบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี เริ่มเกิดเพลงที่ประกอบด้วยเสียง 4 แนว ในลักษณะของโซปราโน อัลโต เทเนอร์ เบส เริ่มมีการผสมวงเล็กๆ เกิดขึ้น นักดนตรีที่ควรรู้จักคือ จอสกิน–เดอส์ เพรซ์ ปาเลสตรินา และเบิร์ด
3. ยุคบาโรค (Baroque Period)
เป็นยุคของดนตรีในระหว่างศตวรรษที่17-18 (ราว ค.ศ. 1600-1750) การสอดประสาน เป็นลักษณะที่พบได้เสมอในปลายยุค ช่วงต้นยุคมีการใช้ลักษณะการใส่เสียงประสาน(Homophony) เริ่มนิยมการใช้เสียงเมเจอร์ และไมเนอร์ แทนการใช้โหมดต่างๆ การประสานเสียงมีหลักเกณฑ์เป็นระบบ มีการใช้เสียงหลัก (Tonal canter) อัตราจังหวะเป็นสิ่งสำคัญของบทเพลง การใช้ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อย เป็นลักษณะของความดัง–ค่อย มากกว่าจะใช้ลักษณะค่อยๆ ดังขึ้นหรือค่อยๆลง (Crescendo, diminuendo)ไม่มีลักษณะของความดังค่อยอย่างมาก (Fortissimo, pianisso) บทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีเป็นที่นิยมมากขึ้น บทเพลงร้องยังคงมีอยู่และเป็นทีนิยมเช่นกัน นิยมการนำวงดนตรีเล่นผสมกับการเล่นเดี่ยวของกลุ่ม เครื่องดนตรี 2-3 ชิ้น(Concerto grosso) นักดนตรีที่ควรรู้จัก คือ มอนเมแวร์ดี คอเรลลี วิวัลดี บาค ฮันเดล
4. ยุคคลาสสิค (Classical period)
เป็นยุคที่ดนตรีมีกฎเกณฑ์แบบแผนอย่างมาก อยู่ในระหว่างศตวรรษที่ 18 และช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1750-1820) การใส่เสียงประสานเป็นลักษณะเด่นของยุคนี้ การสอดประสานพบได้บ้างแต่ไม่เด่นเท่าการใส่เสียงประสาน การใช้บันไดเสียงเมเจอร์ และไมเนอร์ เป็นหลักในการประพันธ์เพลงลักษณะของบทเพลงมีความสวยงามมีแบบแผน บริสุทธิ์ มีการใช้ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อยเป็นสำคัญ ลีลาของเพลงอยู่ในขอบเขตที่นักประพันธ์ในยุคนี้ยอมรับกัน ไม่มีการแสดงอารมณ์ หรือความรู้สึกของผู้ประพันธ์ไว้ในบทเพลงอย่างเด่นชัด การผสมวงดนตรีพัฒนามากขึ้น การบรรเลงโดยใช้วงและการเดี่ยวดนตรีของผู้เล่นเพียงคนเดียว( Concerto)เป็นลักษณะที่นิยมในยุคนี้ บทเพลลงประเภทซิมโฟนีมีแบบแผนที่นิยมกันในยุคนี้เช่นเดียวกับ เพลงเดี่ยว(Sonata) ด้วยเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ บทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่นิยมเป็นอย่างมาก บทเพลงร้องมีลักษณะซับซ้อนกันมากขึ้น เช่นเดียวกับบทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี นักดนตรีที่ควรรู้จักในยุคนี้ คือ กลุค ไฮเดิน โมทซาร์ท และเบโธเฟน
5. ยุคโรแมนติด(Romantic period)
เป็นยุคของดนตรีระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ราว ค.ศ. 1820-1900) ลักษณะเด่นของดนตรีในยุคนี้ คือ เป็นดนตรีที่แสดงความรู้สึกของนักประพันธ์เพลงเป็นอย่างมาก ฉะนั้นโครงสร้างของดนตรีจึงมีหลากหลายแตกต่างกันไปในรายละเอียด โดยการพัฒนาหลักการต่างๆ ต่อจากยุคคลาสสิก หลักการใช้บันไดเสียงไมเนอร์และเมเจอร์ ยังเป็นสิ่งสำคัญแต่ลักษณะการประสานเสียงมีการพัฒนาและคิดค้นหลักใหม่ๆ ขึ้นอย่างมากเพื่อเป็นการสื่อสารแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกของผู้ประพันธ์เพลง การใส่เสียงประสานจึงเป็นลักษณะเด่นของเพลงในยุคนี้ บทเพลงมักจะมีความยาวมากขึ้น เนื่องจากมีการขยายรูปแบบของโครงสร้างดนตรี มีการใส่สีสันของเสียงจากเครื่องดนตรีเป็นสื่อในการแสดงออกทางอารมณ์ ลักษณะการผสมวงพัฒนาไปมาก วงออร์เคสตร้ามีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าในยุคคลาสสิค บทเพลงมีลักษณะต่างๆกันออกไป เพลงซิมโฟนี โซนาตา และแชมเบอร์มิวสิก ยังคงเป็นรูปแบบที่นิยมนอกเหนือไปจากเพลงลักษณะอื่นๆ เช่น Prelude, Etude,Fantasia เป็นต้น นักดนตรีที่ควรรู้จักในยุคนี้มีเป็นจำนวนมาก เช่น เบโธเฟน ชูเบิร์ต โชแปง ลิสซท์ เมนเดลซอน เบร์ลิโอส ชูมานน์ แวร์ดี บราหมส์ ไชคอฟสี ริมสกี–คอร์สคอฟ รัคมานินอฟ ปุกซินี วากเนอร์ กรีก ริชาร์ด สเตราห์ มาห์เลอร์ และซิเบลุส เป็นต้น
6. ยุคศตวรรษที่ 20 (THE TWENTIETH CENTURY ค.ศ. 1900-ปัจจุบัน)
ดนตรีในยุคศตวรรษที่ 20 เป็นยุคของการทดลองสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ และนำเอาหลักการเก่าๆ มากพัฒนาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้เข้ากับแนวความคิดในยุคปัจจุบัน เช่น หลักการเคาเตอร์พอยต์ (Counterpoint) ของโครงสร้างดนตรีแบบการสอดประสาน มีการใช้ประสานเสียงโดย การใช้บันไดเสียงต่างๆ รวมกัน (Polytonatity) และการไม่ใช่เสียงหลักในการแต่งทำนองหรือประสานเสียงจึงเป็นเพลงแบบใช้บันไดเสียง 12 เสียง(Twelve-tone scale)ซึ่งเรียกว่า Atonality อัตราจังหวะที่ใช้ทีการกลับไปกลับมา ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การใช้การประสานเสียงที่ฟังระคายหูเป็นพื้น (Dissonance) วงดนตรีกลับมาเป็นวงเล็กแบบเชมเบอร์มิวสิก ไม่นิยมวงออร์เคสตรา มักมีการใช้อิเลกโทรนิกส์ ทำให้เกิดเสียงดนตรีซึ่งมีสีสันที่แปลกออกไป เน้นการใช้จังหวะรูปแบบต่างๆ บางครั้งไม่มีทำนองที่โดดเด่น ในขณะที่แนวคิดแบบโรแมนติกมีการพัฒนาควบคู่ไปเช่นกัน เรียกว่า นีโอโรแมนติก (Neo-Romantic) กล่าวโดยสรุปคือ โครงสร้างของเพลงในศตวรรษที่ 20 นี้มีหลากหลายมาก สามารถพบสิ่งต่างๆตั้งแต่ยุค ต่างๆมาที่ผ่านมา แต่มีแนวคิดใหม่ที่เพิ่มเข้าไป นักดนตรีที่ควรรู้จักในยุคนี้ คือ สตราวินสกี โชนเบิร์ก บาร์ตอก เบอร์ก ไอฟส์ คอปแลนด์ ชอสตาโกวิช โปโกเฟียฟ ฮินเดมิธ เคจ เป็นต้น
นักดนตรีซิมโฟเน่ระดับโลก เกิดที่ ซาลสเบร์ก ออสเตรียในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ.1756 และเสียชีวิตที่ กรุงเวียนนา ออสเตรีย 5 ธันวาคม ค.ศ. 1791
โมสาร์ท มีอัจฉริยภาพทางดนตรีมาตั้งแต่เกิด ในตอนเด็กได้ไปยืนเกาะฮาร์พซิคอร์ด ดูพ่อกำลังสอน Nannerl พี่สาวของเขาเล่นคลาเวียร์อยู่ ด้วยความตั้งอกตั้งใจ เมื่อโมสาร์ทอายุได้ 4 ขวบ พ่อก็เริ่มฝึกให้เขาเรียนดนตรีอย่างจริงจัง และเขาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว หูของเขาสามารถฟังเสียงดนตรีได้อย่างแม่นยำ และบอกเสียงต่าง ๆ ได้ถูกต้อง เมื่อพ่อเห็นถึงพรสวรรค์ จึงทุ่มเทตั้งใจฝึกสอนอย่างเต็มที่ และวางรากฐานทางดนตรีตลอดจนหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ถูกต้องให้แก่ลูกชายของเขา
โวล์ฟกัง อมาเตอุส โมสาร์ท เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ.1759 (พ.ศ.2295) ที่เมืองซาลสเบอร์ก ออสเตรีย เป็นลูกชายของ เลโอโปลด์ โมสาร์ท นักดนตรีผู้มีชื่อเสียงของออสเตรีย เป็นนักแต่งเพลงและครูสอนดนตรี ซึ่งสามารถเล่นไวโอลินได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นหัวหน้าวงดนตรีประจำสำนักของอาร์ชบิชอพ ที่ซาลสเบอร์ก แม่ชื่อ เฟรา อันนา โมสาร์ท เป็นแม่บ้านที่ โมสาร์ท มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน เสียชีวิตไป 5 คน เหลือแต่ มาเรีย แอนนา หรือ Nannerl พี่สาวที่มีอายุมากกว่าเขา 4 ปี รวมตัวเขา เพียง 2 คนเท่านั้น ในวัยเด็กโมสาร์ทเป็นคนที่มีรูปร่างสง่า ใบหน้าสวย ริมฝีปากสวยงาม จมูกโด่ง แววตาอ่อนโยนเหมือนผู้หญิง กิริยามารยาทสงบเสงี่ยมละมุนละมนและช่างคิดช่างฝัน
เมื่ออายุ 5ขวบ โมสาร์ทได้แต่งเพลง โดยการแต่งเติมเพลง minuet ของพ่อที่ได้แต่งค้างไว้ยังไม่เสร็จ ซึ่งไพเราะยิ่งนัก เมื่ออายุ 6 ปี เขาได้รับของขวัญวันเกิดเป็นไวโอลินเล็กๆ อันหนึ่ง โมสาร์ทก็ได้พยายามฝึกฝนด้วยตนเอง เพราะพ่อไม่ยอมสอน หลังจากโมสาร์ทได้แสดงฝีมือการเล่นไวโอลีนร่วมวงกับพ่อได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พ่อของเขาทำการฝึกซ้อมไวโอลินให้เขากับ Nannerl อย่างจริงจัง และแน่วแน่เพื่อปั้นลูกชายให้เป็นนักไวโอลินของโลกให้ได้
เมื่อโมสาร์ทอายุได้ 6 ขวบ ได้เข้าเฝ้า พระนางมาเรีย เทเรซา ที่กรุงเวียนนา และด้วยอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีทำให้เขาได้รับสมญานาม จากจักรพรรดิ์ฟรังซิส ว่า “ผู้วิเศษน้อย” ทำให้เขามีชื่อเสียงมากในยุโรป เมื่อ 7 ขวบ เขาแต่งเพลงไวโอลินโซนาตาเป็นเพลงแรก และเมื่ออายุ 8 ขวบ ก็แต่งซิมโฟนีได้สำเร็จ โมสาร์ทได้เดินทางไปแสดงดนตรีที่อิตาลี และตกหลุมรัก หลงใหลคลั่งไคล้อิตาลีมาก ถึงขั้นเปลี่ยนชื่อกลาง
ให้เหมือนชาวอิตาเลียน โดยจากเดิมชื่อ Gottlieb แปลว่า ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า มาเป็น Amadeus โดยมีคำแปลว่าผู้เป็นที่รักของพระเจ้าเช่นเหมือนเดิม
โมสาร์ท แต่งงานกับ คอนสตันซ์ เวเบอร์ น้องสาวของอลอยเซีย เวเบอร์ ที่เขาเคยตกหลุมรักมาก่อน และได้เขียน อุปรากรขึ้นชื่อ The Escape from Seraglio โดยเอาชื่อเมียมาเป็นนางเอก จักรพรรดิ์โจเซป ชอบอุปรากรของโมสาร์ทมาก จึงได้เขามาอยู่ในวงดนตรีของพระองค์ แต่ให้ค่าตอบแทนที่น้อยมาก
งานด้านแต่งเพลงของโมสาร์ทเริ่มโดดเด่นขึ้น หลังได้พบกับไฮเดิน นักคนตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งเวียนนาและได้และสอนเขาเขียนเพลง ควอเตท และโมสาร์ท ได้แต่งเพลง String quartets หลายเพลง และไพเราะมาก ซึ่งไฮเดิน ก็ชื่นชมโมสาร์ทมากเช่นกัน
โมสาร์ทแต่งงานมา 9 ปี โมสาร์ท มีความสุขบ้างพอควร มีลูกกับคอนสตันซ์ เวเบอร์ รวมทั้งหมด 6 คน และได้ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก เพราะภรรยาใช้เงินเก่ง ไม่ค่อยใส่ใจการบ้านการเรือน มีรายได้ไม่พอรายจ่ายทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่าย ทำให้โมสาร์ทต้องทำงานหนัก
โมสาร์ทมีผลงานมากกว่า 200 ชิ้น ถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแต่งเพลงชั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียวผู้
โมสาร์ทได้แต่งเพลง Requiem (เพลงเกี่ยวกับงานศพ) ให้แก่เคาน์ท์ลัวเซกก์ สำหรับเป็นที่ระลึกให้แก่ภรรยาที่ตายไปแล้ว และในเวลาต่อมาโมสาร์ทก็เสียชีวิต ด้วยโรคไทฟลอย์ ที่เวียนนา ในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ.1791 ซึ่งเพลงที่เขาแต่งได้นำมาใช้ในงานศพของเขาเอง ด้วยวัยเพียง 35ปีเท่านั้น
ลุดวิก แวน บีโธเฟน (Ludwig Van Beethoven) บุรุษผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อันอัจฉริยะในเชิงดนตรี เค้ามีแนวดนตรีที่แตกต่างจากแนวดนตรีทั่วไปในสมัยนั้น จนออกมาเป็นแนวดนตรีคลาสิคที่ในสมัยนั้นยังไม่ได้มีผู้ใดรังสรรค์ และต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นแนวดนตรีที่แปลกแยก แต่คีตกวีรายนี้มีความยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งอยู่ที่ความไม่ย่อท้อต่อเคราะห์กรรมที่ได้เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา นั่นคืออาการทางประสาทหู จนถึงขั้นดับสนิท บีโธเฟ่นผู้ที่ไม่เคยตายจากวงการดนตรีคลาสสิค ได้สร้างเสียงเพลงอมตะประดับโลกของเราเอาไว้ให้งดงามถึงแม้หูของเขาจะหนวกสนิท!บีโธเฟน เกิดที่กรุงบอนน์ (อดีตเมืองหลวงประเทศเยอรมนีตะวันตก) เมื่อปลายปี ค.ศ.1770 เป็นลูกชายของนักร้องประจำราชสำนักแห่งกรุงบอนน์ ชื่อว่า โยฮานน์ (Johann) และแม่ชื่อว่า มาเรีย แมกเดเลน่า ( Maria Magdalena) มีชีวิตความเป็นอยู่ในวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก เพราะครอบรัวยากจน และมีพ่อเป็นนักร้องขี้เมา ซึ่งได้พยายามปั้นบีโธเฟนให้เป็น “โมสาร์ท สอง” เพื่อหวังให้หาเงินเลี้ยงครอบครัว (บีโธเฟนเกิดหลังโมสาร์ท 15 ปี)บีโธเฟนน้อยได้ถูกพ่อขี้เมาบังคับให้ฝึกเรียนเปียโนที่ยาก ตั้งแต่วัยเพียง วัย 4-5 ขวบ และถ้าเล่นไม่ได้จะถูกทำโทษ แต่ที่บีโธเฟนยังรักดนตรีอยู่ อาจจะเพราะคุณปู่ซึ่งเป็นนักร้องประจำราชสำนักที่ประสบความสำเร็จบีโธเฟน ทำงาน(ครั้งแรก) เลี้ยงครอบครัวตั้งแต่อายุ 11 ขวบ โดยทำงานเป็นนักออร์แกน ผู้ช่วยประจำราชสำนัก โดยในขณะนั้นเขามีความรู้เพียงชั้น ป.4 แต่ได้พยายามศึกษาเล่าเรียนดนตรีจนมีความสามารถด้านการประพันธ์เพลง และบีโทเฟ่นได้เล่นเปียโนสดให้โสสาร์ท ฟังเป็นครั้งแรก และทำให้โมสาร์ทต้องตะลึง ในวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น ที่กรุงเวียนนา และจากนั้นเพียง 2 สัปดาห์ต่อมา เขาต้องรีบกลับกรุงบอนน์ เพราะแม่ป่วยหนักและเสียชีวิต และเขายังคงดูแลพ่อและน้องอีก 2 คนด้วยการทำงานหนักเช่นเดิมปี ค.ศ.1792 บีโธเฟ่นได้มีโอกาสแสดงผลงานต่อหน้า โยเซฟ ไฮเดน (Joseph Haydn) ปรมาจารย์ทางดนตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งยุค เดินทางกลับจากอังกฤษ ได้แวะเยี่ยมเยียนราชสำนักกรุงบอนน์ ทำให้ไฮเดนทึ่งในความสมารถและรับเขาเป็นศิษย์ และพากลับไปเรียนที่กรุงเวียนนาด้วยด้วยบีโทเฟ่นเป็นคนหนุ่มไฟแรงอารมณ์ร้อน หยิ่ง และดื้อรั้น จึงก็ไม่พอใจการสอนของไฮเดน แต่ก็ยังเกรงใจอาจารย์ผู้อาวุโส เขาจึงแอบย่องไปเรียนกับนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงหลายคนหลังจากจบการศึกษากับอาจารย์ ไฮเดนและอื่นๆ ในปี 1795 บีโธเฟ่นได้แสดงผลงานเพลงและเริ่มสร้างชื่อเสียงในฐานะนักประพันธ์ดนตรีอย่างเต็มตัว ทำให้ผลงานเพลงยุคแรกของบีโธเฟน จะคล้ายคลึงกับดนตรีของไฮเดน และโมสาร์ท แต่ยังคงมีกลิ่นอายของบีโธเฟนอยู่ ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากสาธารณชนอย่างรวดเร็วผลงานของบีโธเฟนในช่วงแรกที่น่าสนใจ คือ เปียโนทรีโอ 1 เปียโนโซนาตา 2 เปียโนโซนาตา 7 เปียโนโซนาตา 13 (Pathetique) เป็นต้น
บีโธเฟน เริ่มแต่งเพลงแหกกฎเกณฑ์ทางดนตรี และออกนอกรีตนอกรอยมากขึ้น จึงเกิดเป็นยุคโรแมนติก (Romantic Period)เขามีแนวความคิดเป็นนักปฏิวัติทั้งในด้านดนตรีและความคิดทางสังคม โดยสอดแทรก ความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ของตนลงในดนตรี ซึ่งไม่ใช่วิสัยในยุคนั้น (ที่เรียกว่า Classical period) ดนตรีขั้นสูงคือรูปแบบทางศิลปที่สมบูรณ์ สูงส่ง และอยู่เหนือความเป็นมนุษย์ แต่สิ่งที่บีโธเฟนกำลังทำอยู่นั้นกลับเป็นการพลิกโฉมหน้าของโลกศิลปการดนตรี และทำให้นักวิชาการด้านดนตรี ต้องตั้งชื่อยุคของดนตรีขึ้นใหม่ ที่เรียกว่า ยุคโรแมนติก (Romantic Period)
บีโธเฟนประสบความสำเร็จในด้านการงานได้ไม่นาน แต่เขากลับได้รับของขวัญส่งท้ายศตวรรษเก่าเข้าสู่ศตวรรษใหม่ นั่นคือ อาการหูหนวก ซึ่งเป็นเคราะห์กรรมที่น่าเกลียดสำหรับนักดนตรี วันที่ 6 ตุลาคม ปี ค.ศ.1802 เขาได้เขียนจดหมายกึ่งลาตายกึ่งพินัยกรรม ถึงน้องชายทั้งสองของเขา แต่อีก 4 วันต่อมาก็เขียนอีกฉบับมีใจความล้มเลิกความคิด บีโธเฟนได้ค่อยๆ รักษาแผลในใจ จนจิตใจเขาแข็งแกร่งกว่าที่เคย เขาเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ เพราะได้เอาชนะความพิการทางร่างกายโดยแต่งเพลงสู้กับหูหนวก และยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมให้เราได้ชื่นชมจนถึงปัจจุบันนี้
Franz Joseph Haydn เกิดวันที่ 1 เมษายน 1732 เขาเกิดในครอบครัวที่ไม่ค่อยมีฐานะเรียกว่ายากจนเลยก็ได้ และเขาได้เข้าไปศึกษาเรื่องของเสียงดนตรีในอายุ 5 ขวบ ซึ่งการที่เขาได้จับเปียโนครั้งแรกในโบสถ์นั้น เขาก็ได้มีความหลงรักมันขึ้นมากว่าเดิมจากตอนแรกเขาชอบเสียงดนตรีของโบสถ์อยู่แล้ว ทำให้เขาชอบขึ้นไปมากกว่าเดิมอีก ซึ่งเขาก็ได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆจากคนในโบสถ์นั้นเอง ซึ่งเขาก็ใช้ความสามารถของเขาให้เป็นประโยชน์
โดยการนำความรู้ที่มีใช้เครื่องดนตรีเป็นการหารายได้ให้กับตัวเอง ซึ่งเขาก็ได้ประสบความสำเร็จในการหารายได้เสริม และเขาก็ได้ร่วมร้องเพลงและเล่นดนตรีกับวงที่เล่นตามถนน ซึ่งเป็นการช่วยกันหารายได้เสริมนั้นเอง เพราะเขาต้องหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวอีกด้วย เพราะฐานะทางบ้านของเขายากจนเลยต้องหาเงินเอง ต้องแต่ตอนเด็กจนโต พอเขาได้โตเป็นหนุ่มเขาก็ได้แต่งเพลงซิมโฟนีขึ้นมาถึง 100 กว่าเพลง ซึ่งทุกคนยกให้เขาเป้นิดาแห่งเพลงซิมโฟนีเลย เพราะผลงานของเขานั้นถือว่าสุดยอดมาก ซึ่งจากคนที่ไม่ได้เข้าคอสเรียนแต่เรียนรู้ด้วยตนเองมาตลอด ถือว่าเป็นที่หน้ายินดีอย่างมาก เพราะเขาถือว่าทำสำเร็จแล้ว และเขาก็ได้ทำวงดนตรีของตัวเองซึ่งจะเล่นเพลงซิมโฟนีเป็นส่วนใหญ่ เพราะเขาได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมากในการทำเพลงของเขานั้นเอง และเขาก็ได้เดินทางไปเปิดคอนเสิร์ตต่างๆหลายประเทศ และได้รับการตอบรับที่ดีมากด้วย เพราะเขานั้นได้ทำการแสดงที่มีคุณภาพจนมีชื่อเสียงที่โด่งดัง จนเรียกได้ว่าศิลปินในตำนานเลยก็ว่าได้ เพราะถึงเขาจะเสียชีวิตไปแล้วแต่เพลงที่เขาแต่งเอาไว้นั้นก็ถูกนำมาเล่นอยู่บ่อยครั้ง จนเพลงของเขาได้ติดอันดับอยู่ตลอดและจะไม่มีวันลืมได้เลย
ซึ่งไฮเดินได้มีความสามารถในการแต่งเพลงและร้องเพลงได้ดี จึงทำให้เขานั้นควบสองตำแหน่งเลย ซึ่งการทำเพลงของเขาก็คงไม่พ้อเพลงซิมโฟนี เพราะเขาได้หลงรักแนวเพลงนี้เข้าอย่างเต็มหัวใจนั้นเอง ซึ่งไม่ว่าจะอายุเพิ่มขนาดไหนเขาก็จะแต่งเพลงแนวนี้รวมกับหลายๆแนวปนกันไปด้วย โดยถือว่าเป็นนักแต่งเพลงที่มีคุณภาพ และได้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาเพลงซิมโฟนีเลย เพราะผลงานที่มากมายของเขานั้นทำเอาทุกคนตกใจกันเลย เพราะในเวลาแค่ไม่กี่ปีเข้าก็สามารถแต่งเพลงได้หลากหลายแล้ว และเป็นกว่า 100เพลงอีกด้วยถือว่ามีคุณภาพอย่างมาก