วิชากัญชง กัญชาศึกษา
ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอสิงหนคร
ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอสิงหนคร
เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถให้คะแนนเก็บได้ถูกต้อง
1. นักศึกษาสามารถเรียนรู้เนื้อหา แบบทดสอบได้ทุกที่ทุกเวลา เรียนรู้ได้หลายครั้ง จนชำนาญ
2. นักศึกษาจำเป็นต้องทำแบบทดสอบ บทที่ 1 ก่อน จึงจะทำแบบทดสอบบทที่ 2 ได้
3. นักศึกษาจำเป็นต้องทำแบบทดสอบ บทที่ 2 ก่อน จึงจะทำแบบทดสอบบทที่ 3 ได้
4. นักศึกษาจำเป็นต้องทำแบบทดสอบ บทที่ 3 ก่อน จึงจะทำแบบทดสอบบทที่ 4 ได้
5. นักศึกษาจำเป็นต้องทำแบบทดสอบ บทที่ 4 ก่อน จึงจะทำแบบทดสอบบทที่ 5 ได้
6. นักศึกษาจำเป็นต้องทำแบบทดสอบ บทที่ 5 ก่อน จึงจะทำแบบทดสอบบทที่ 6 ได้
7. นักศึกษาจำเป็นต้องทำแบบทดสอบ บทที่ 6 ก่อน จึงจะทำแบบทดสอบบทที่ 7 ได้
8. เมื่อนักศึกษาทำแบบทดสอบ บทที่ 7 ผ่าน นักศึกษาจะได้รับใบรับรองการจบหลักสูตร เพื่อนำมาขอชั่วโมงกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน 5 ชั่วโมง และคะแนนเก็บกลางภาคเรียน
1. เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจสื่ออินเทอร์เน็ตภัยเงียบการใช้กัญชาและกัญชงเป็นยา
2. เพื่อให้มีทักษะการแสวงหาความรู้ และทักษะการคิดวิเคราะห์ข้อมูลสื่ออินเทอร์เน็ต ภัยเงียบการใช้กัญชาและกัญชงเป็นยา
3. เพื่อให้ตระหนักถึงการรับรู้ข้อมูลจากสื่ออินเทอร์เน็ตภัยเงียบการใช้กัญชาและกัญชง เป็นยา
ปัจจุบันจะเห็นคนจำนวนมากมีโอกาสใช้เครื่องมือออนไลน์ในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ กลายเป็น “สื่อ” ในการเผยแพร่ข้อมูล ความคิด ข้อคิดเห็นต่าง ๆ โดยมีผู้ชมบนโลกออนไลน์จำนวนมาก สามารถเข้ามาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนได้ บ้างเข้ามากดไลท์ หรือกดแชร์ ให้เป็นกำลังใจหรือเป็นเครื่องวัดระดับความนิยมของแต่ละเนื้อหานั้น ๆ แต่สื่อในวันนี้ ควรทำหน้าที่ อะไรและมีบทบาทอะไรบ้างในสังคม การเปิดพื้นที่ออนไลน์แบบอิสระนั้น ทำให้หลาย ๆ คนมีโอกาสได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ได้มีช่องทางเผยแพร่สิ่งที่สื่อทั่วไปอาจจะไม่สนใจหรือไม่มีเวลาเพียงพอที่จะนำเสนอได้ ซึ่งถ้ามองอย่าง นั้นก็คงเป็นเรื่องที่ดี แต่ในทางกลับกันจะพบว่ามีการใช้สื่อในทางที่ไม่ดีไปพร้อม ๆ กัน การเปิดเพจ ที่ใช้ข้อความชักจูง เชิญชวน แสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างผลประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2562 นายวิทัศน์ เตชะบุญ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวในพิธีเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการ “รู้เท่าทัน เสริมพลังเครือข่าย ปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนพ้นภัยออนไลน์” ที่โรงแรมบางกอก พาเลส กรุงเทพมหานคร ว่า “ความรุนแรงหลากหลายรูปแบบที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจำนวนมากมาจาก สื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่สร้างความสูญเสียและผลกระทบมากมาย โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน ข้อมูลการสำรวจจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าเด็กไทยมีโอกาสเสี่ยงจากภัยสื่อ ออนไลน์ถึงร้อยละ 60 สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 56 ทั้งยังพบว่าเด็กไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 3 ชั่วโมง จึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกัน ป้องกันและแก้ปัญหา โดยเฉพาะการสร้างการรู้เท่าทันสื่อ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อสื่อที่เป็นภัยคุกคาม” โลกของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ก็ไม่ต่างจากโลกความเป็นจริง ที่มีทั้ง “คนดี” “คนร้าย” “ตัวจริง” “ตัวปลอม” ปะปนกันไป แต่ที่น่าวิตกกว่าโลกความเป็นจริง คือ เรื่องราวบนโลกสังคม ออนไลน์ แพร่กระจายไปได้เร็วมาก และหยุดยากด้วย บางคนใช้สื่อสังคมออนไลน์ อย่าง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ คาดไม่ถึงว่าจะเกิดผลเสียหายตามมา อย่างกรณีที่มีข่าวลือที่สร้างความเสียหาย แก่ผู้อื่น และมีการส่งต่อให้เพื่อน ๆ หลังจากนั้นไม่นานผู้เผยแพร่ข้อความได้ถูกตำรวจจับกุมข้อหา กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และมี ตัวอย่างข่าวลักษณะแบบนี้อยู่หลายกรณี จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเป็น “สังคม” ก็ต้องมีกฎระเบียบ มีข้อ ควรปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นสังคมบน “โลกออนไลน์” หรือ “โลกความเป็นจริง” จึงขอกล่าวถึงข้อควร ปฏิบัติและควรระวังในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ดังนี้
1. พึงตระหนักเสมอว่าการโพสต์ข้อความ หรือแสดงความคิดเห็นเผยแพร่บนสื่อสังคม ออนไลน์ เป็นข้อความที่สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะ ดังนั้นผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบ ทั้งด้านสังคม และกฎหมาย
2. อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป บนสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงข้อมูลทางการเงิน เพราะการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเท่าไหร่ ภัยร้ายก็จะเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น การระบุ วัน เดือน ปีเกิด จะทำให้มิจฉาชีพทราบถึงอายุ หากเป็นเด็ก หรือวัยรุ่น จะยิ่งเป็นเป้าหมายเพราะล่อลวง ได้ง่าย
3. ไม่ควรโพสต์ข้อความ ที่ชี้ชวนให้มิจฉาชีพรับรู้ความเคลื่อนไหวส่วนตัวของเราตลอด เช่น บอกสถานะว่าไม่อยู่บ้าน หรือเดินทางไปที่ไหน ขับรถอะไร ซึ่งทำให้ผู้ไม่หวังดีวางแผนมาทำร้าย หรือ วางแผนขโมยทรัพย์สินเราได้
4. ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการโพสต์ หรือ เผยแพร่ ส่งต่อ ข้อความ รูปภาพ วีดิโอ ที่อาจทำให้ผู้อื่นเสียหาย เช่น ภาพหลุด คลิปหลุด หรือ โพสต์รูปภาพที่สื่อถึงอบายมุขต่าง ๆ และไม่ ควรใช้ถ้อยคำหยาบคาย ถ้อยคำลามก อนาจาร ดูหมิ่น ส่อเสียด เสียดสีให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม
5. พึงระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไว้ใจหรือเชื่อใจคน ที่รู้จักผ่านอินเทอร์เน็ต ในการแลกเปลี่ยน ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ หรือชื่อสถานศึกษา เพราะอาจถูกหลอกลวง หรือล่อลวงไปทำอันตรายได้
6. ให้ระมัดระวังการเช็คอิน (Check-in) ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยใช้กล้องโทรศัพท์ ถ่ายภาพ ระบุพิกัด และเวลา เพราะภาพทุกภาพ การโพสต์ทุกอย่างจะอยู่ในอินเทอร์เน็ต ไม่มีวัน ถูกลบอย่างแท้จริง
ข้อควรระวังที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการปฏิบัติในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้เท่าทันภัยคุกคามต่าง ๆ จากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อจะช่วยป้องกันภัย หรือลดความเสียหายลงได้
1. เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจสื่ออินเทอร์เน็ตภัยเงียบการใช้กัญชาและกัญชงเป็นยา
2. เพื่อให้มีทักษะการแสวงหาความรู้ และทักษะการคิดวิเคราะห์ข้อมูลสื่ออินเทอร์เน็ต ภัยเงียบการใช้กัญชาและกัญชงเป็นยา
3. เพื่อให้ตระหนักถึงการรับรู้ข้อมูลจากสื่ออินเทอร์เน็ตภัยเงียบการใช้กัญชาและกัญชง เป็นยา
ให้นักศึกษาดูคลิปด้านล่าง
1. เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ กัญชาและกัญชงก่อให้เกิดโรคจิตเวชได้
2. เพื่อให้มีทักษะการแสวงหาความรู้เรื่อง กัญชาและกัญชงก่อให้เกิดโรคจิตเวชได้
3. เพื่อให้ผู้เรียนมีความตระหนักถึงความสำคัญของ โทษกัญชาและกัญชงก่อให้เกิดโรค จิตเวชได้
กัญชามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาคล้ายกับยากระตุ้นประสาท ยากดประสาท ยาหลอนประสาท ยาแก้ปวด และยาที่ออกฤทธิ์ทางจิตประสาท ทำให้ผู้เสพกัญชามีอาการเคลิ้มจิต โดยในขั้นต้นมักจะเป็น อาการกระตุ้นประสาท ผู้เสพจะมีอาการล่องลอย สับสน ปากแห้ง อยากอาหาร ชีพจรเต้นเพิ่มขึ้น ตาแดงขึ้นในขณะที่เสพ หากเสพเป็นประจำ สุขภาพโดยภาพรวมจะเสื่อมลง ผู้ที่เสพติดกัญชาส่วนใหญ่ จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคจิตในภายหลังมากกว่าคนที่ไม่สูบถึงร้อยละ 60 ยิ่งเสพมากและเสพเป็นเวลานาน ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมาก โดยผู้เสพหนักสุดจะมีโอกาสเป็นโรคจิตมากกว่าคนปกติ4-6เท่ากรมการแพทย์ เปิดเผยการศึกษาผู้ป่วยเสพติดกัญชาที่เข้ารับการรักษา จากสถาบันบำบัดรักษายาเสพติดของรัฐ 6 แห่ง ทั่วประเทศ สถาบันบําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนีโรงพยาบาลธัญญา รักษ์เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา ปัตตานี พบเป็นโรคจิตเวชสูงถึง ร้อยละ 72.3 การเสพ กัญชาเป็นการเริ่มเสพยาเสพติดร้ายแรงทั้งปวง
โรคจิต (Psychosis) คือ ภาวะอาการทางจิตที่ผู้ป่วยมักมีอาการหลงผิดไปจากความเป็นจริง ประสาทหลอน หูแว่ว เห็นภาพหรือรับรู้ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง อาการโรคจิตหรือวิกลจริตนี้เป็นปัญหา สุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุทั้งปัจจัยภายในอย่างความผิดปกติทางจิตต่าง ๆ อาการ เจ็บป่วยทางร่างกาย และปัจจัยภายนอกอย่างการใช้ยาหรือสารเสพติด
อาการโรคจิต แม้อาการบางอย่างของผู้ป่วยโรคจิตจะทำให้ครอบครัวและบุคคลรอบข้าง เป็นกังวล ผู้ป่วยโรคจิตแต่ละคนอาจมีลักษณะท่าทางและอาการที่ปรากฏแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไป แล้ว กลุ่มอาการหลัก ๆ ของโรคจิต ได้แก่ ประสาทหลอน ประสาทรับรู้ทั้ง 5 ประกอบด้วย ความคิด มีความคิดหลงผิด การรับรู้ มีประสาทหลอน อารมณ์ยิ้มคนเดียว สีหน้าที่เรียบเฉย การพูด คำพูด สับสน พูดเพ้อเจ้อ พฤติกรรมและการแสดงออก แยกตัวพูดคนเดียวคลุ้มคลั่ง
อาการเตือนของผู้ป่วยโรคจิตเภท หากพบว่าผู้ที่เสพกัญชามากและใช้ระยะเวลานาน มีอาการเตือน ควรพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบว่า กำลังจะมีอาการโรคจิตใช่หรือไม่และ จะแก้ไขอย่างไร ตัวอย่างอาการเตือนที่พบบ่อย เช่น สมาธิหรือความจำไม่ดี อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ความคิดช้าเกินไป นอนไม่หลับ ความคิดเร็วเกินไป รับประทานอาหารมากขึ้นหรือน้อยลง วิตกกังวล หรือตึงเครียด ไม่มีเรี่ยวแรงหรือไม่อยากทำอะไร ซึมเศร้าหรือเบื่อหน่าย มีความรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเปลี่ยนไป โกรธหรือหงุดหงิดง่าย ไม่ไว้วางใจหรือระแวงผู้อื่น
ผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง ทำร้ายตัวเองด้วยวิธีรุนแรงมุ่งหวัง ให้เสียชีวิต ทำร้ายผู้อื่นด้วยวิธีรุนแรงก่อเหตุการณ์รุนแรงในชุมชน มีความคิดทำร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิต ก่อคดีอาญารุนแรง (ฆ่า พยายามฆ่า ข่มขืน วางเพลิง)
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ความเสี่ยงของการเสพกัญชา กับโรคจิตเภท ซึ่งมีผลทำให้อาการทางจิตและการพยากรณ์โรคแย่ลง โดยเฉพาะคนที่มีกรรมพันธุ์ ที่จะเป็นโรคจิต หรือเคยมีอาการทางจิตมาก่อนเมื่อใช้กัญชาจะทำให้เกิดอาการทางจิตได้มากขึ้น
ผศ.ดร.พญ.รัศมี สังข์ทอง หน่วยระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีการออกเอกสารเผยเพร่ ผลของการใช้กัญชาต่อจิตประสาทในเด็กและเยาวชน โดยระบุว่า เมื่อเสพกัญชา เข้าไปในระยะแรก กัญชาจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการตื่นตัว ตื่นเต้นจาก สารเตตรา ไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol : THC) แต่เมื่อผ่านไป 1 - 2 ชั่วโมง กัญชาจะเริ่มออก ฤทธิ์กดประสาท มีโอกาสเกิดสมองเสื่อมถาวร หรือเป็นจิตเภท โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน อารมณ์ อ่อนไหว เลื่อนลอย สมองสั่งงานช้า ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ร่าเริงผิดปกติ รู้สึกกังวล กลัว ไม่กล้าไว้ใจใคร ซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย ดุร้ายผิดปกติ มองเห็นภาพหลอน ควบคุมตัวเองไม่ได้ นำไปสู่ อุบัติเหตุ ปัญหา การเรียน ผลการเรียนตกต่ำ ขาดสมาธิในการเรียน ความสามารถในการเรียนรู้แย่ลงและมีปัญหา สุขภาพจิตหรือวิกลจริตนำไปสู่โรคจิตเวชได้
สรุป กัญชาและกัญชงก่อให้เกิดโรคจิตเวช การใช้กัญชาและกัญชงส่งผลต่อจิตประสาทในเด็ก และเยาวชน เมื่อเสพกัญชาเข้าไปในระยะแรก กัญชาจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท เมื่อร่างกายรับสาร เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol : THC) หลังจาก 1 - 2 ชั่วโมง จะเริ่มออกฤทธิ์ กดประสาท และประสาทหลอน ควบคุมตัวเองไม่ได้ ผู้ที่เสพกัญชาเป็นเวลานานทำให้เสี่ยงต่อการเสพติด กัญชา มีโอกาสทำให้สมองเสื่อม และเกิดปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งนำไปสู่โรคจิตเวชได้และผู้ป่วยจิตเวช มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิต รวมถึงก่อเหตุการณ์รุนแรง ในชุมชน
จากการใช้กัญชาและกัญชงในการรักษาโรค โดยเฉพาะขนาดของกัญชามีหลักการสำคัญ คือ “เริ่มทีละน้อย แล้วค่อย ๆ เพิ่มขนาดจนควบคุมอาการเจ็บป่วยได้ (Titration)” ปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของกัญชาที่เหมาะสม มี3 ประการ ได้แก่ ประการที่ 1 ชนิดของยากัญชาที่ใช้รวมถึง ยากัญชาจากพืชสกัดหรือไม่ สายพันธุ์ ความเข้มข้น ของยาสกัด วิธีใช้แบบสูบ แบบพ่น แบบหยอดใต้ลิ้น แบบกิน แบบสวนทวาร แบบทาภายนอก หรือ การผสมผสานหลายวิธียากัญชา 2 ชนิด ที่มีขนาดของ THC เท่ากัน แต่ถ้ามีส่วนผสมของ Terpenes ที่แตกต่างกัน ก็ให้ผลลัพธ์ในการรักษาแตกต่างกัน
ประการที่ 2 โรคที่ผู้ป่วยเป็น รวมถึงระยะของโรค ระดับความรุนแรง การรักษาแบบอื่น ๆ ที่ได้รับโรคร่วมอื่น ๆ
ประการที่ 3 การตอบสนองต่อยากัญชาของแต่ละคน รวมถึงระดับ endocannabinoid เดิมในร่างกาย (หรือเรียกว่า endocannabinoid tone) และการดื้อยา เมื่อใช้ไปนาน ๆ สำหรับข้อมูลขนาดของกัญชาและกัญชงในการรักษาโรค มีข้อมูลที่ได้รับการศึกษาวิจัยและ เผยแพร่เป็นรูปธรรม คือคำแนะนำการใช้กัญชาของประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นผู้นำด้านการวิจัยกัญชา ทางการแพทย์ จัดตั้งองค์กรที่ดูแลเรื่องกัญชาโดยเฉพาะขึ้นมา คือ Israel Medical Cannabis Agency (IMCA) เมื่อปีค.ศ. 2011 อนุญาตให้บริษัทเอกชน 6 บริษัท ผลิตกัญชาคุณภาพดีจำหน่าย (medical grade) มีกัญชาสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีความเข้มข้นของ THC และ CBD แตกต่างกัน แบ่งเป็น กลุ่มที่มีTHC เด่น (มีขนาด THC 10, 15 และ 20%) กลุ่มที่มีCBD เด่น (มีขนาด CBD 10, 15, 20, 24%)
สรุป
1. ขนาดยากัญชาที่เหมาะสม จำเป็นต้องปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล และมีหลักสำคัญ คือ เริ่มทีละน้อย แล้วค่อย ๆ เพิ่มขนาดจนควบคุมอาการเจ็บป่วยได้
2. จากตารางที่ 1 คำแนะนำเรื่องขนาดยากัญชา โดย อีส-รีเอล เมด-อิแค็ล แคนนาบีส เอ-เจ็นซิ (Israel Medical Cannabis Agency (IMCA)) ในการรักษาโรค หรืออาการดังนี้(1) มะเร็ง (คลื่นไส้อาเจียน ปวด) (2) มะเร็งตับ (3) โรคลำไส้อักเสบ (4) ปวดประสาท (5) โรคเอดส์(6) โรคปลอก ประสาทเสื่อม (7) โรคพาร์กินสัน (8) ทูเร็ตต์ ซินโดรม (9) โรคลมชัก (10) โรคลมชักที่ดื้อยา (11) การดูแล แบบประคับประคอง และ (12) สภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง
3. จากตารางที่ 2 อาการหรือโรคที่มีหลักฐานงานวิจัยหนักแน่นว่าใช้กัญชารักษาได้ดีดังนี้ (1) อาการปวดเส้นประสาท มีหลายสาเหตุรวมถึงอาการปวดหลังผ่าตัด อาการปวดจากมะเร็ง อาการ ปวดที่ไม่ใช่มะเร็ง อาการปวดจากระบบประสาท โรคปลอกประสาทเสื่อม (2) คลื่นไส้ และอาเจียนใน ผู้ป่วยมะเร็ง (3) อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (4) โรคลมชักที่ไม่ ตอบสนองต่อยา (เด็กและผู้ใหญ่) (5) ภาวะการเบื่ออาหารในผู้ป่วยติดเชื้อ และ (6) โรคที่เกิดจาก ความผิดปกติของระบบประสาท โรคติกส์และทูเร็ตต์ ซินโดรม จะเห็นได้ว่าการนำเสนอเรื่องขนาดของกัญชาในการรักษาโรค จากข้อมูล ผู้ทรงคุณวุฒิข้างต้น เป็นข้อมูลผลการศึกษาวิจัยในต่างประเทศยังไม่มีผลการ ศึกษาวิจัยขนาดของกัญชาและกัญชงในประเทศไทย ดังนั้นผู้ใช้กัญชาและกัญชง เป็นยา ควรศึกษาติดตามผลการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพราะองค์ความรู้อาจ มีการเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนี้ การใช้กัญชาและกัญชงเป็นยาในขนาดที่ถูกต้องปลอดภัยต้อง อยู่ในการควบคุมดูแลให้คำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น48
4. จากตารางที่ 3 อาการหรือโรคที่มีหลักฐานงานวิจัยอยู่บ้างว่าใช้กัญชารักษาได้ดีมีดังนี้ (1) อาการสับสน และกระวนกระวายในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ และความเสื่อมของระบบประสาทอื่น ๆ (2) โรคพาร์กินสัน และ (3) โรคจิตเภทเฉียบพลัน
5. จากตารางที่ 4 งานวิจัยที่ตีพิมพ์ ปี 2019 ที่ชี้ว่าใช้กัญชารักษาได้ดี มีดังนี้ (1) โรควิตก กังวล(2) โรคออทิซึม (3) โรคลมชัก (4) โรคสมองเสื่อม (5) โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งของต่อมน้ำเหลือง (6) โรคมะเร็งรังไข่ และ (7) โรคเบาหวาน
6. ขนาดยากัญชาที่เหมาะสม ในคนไข้ในแต่ละโรค และแต่ละคนเป็นขนาดที่ให้ในผู้ใหญ่ อายุ 25 ปีขึ้นไป มีดังนี้ (1) รักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (2) รักษาผิวหนังอักเสบจากการแพ้ (3) รักษา อาการปวดเรื้อรัง (4) รักษาความจำเสื่อม (5) รักษาโรคลมชักในผู้ใหญ่ (6) รักษาอาการเคลื่อนไหว ผิดปกติ(7) รักษาอาการนอนไม่หลับ (8) รักษาอาการจากโรคปลอกประสาทเสื่อม (9) การใช้น้ำมัน กัญชาและกัญชงเป็นอาหารเสริม (10) การรักษาโรคจิตเภท (11) การรักษาโรคทูเร็ตต์ (12) การรักษา โคนข้อรูมาตอยด์และ (13) การรักษาโรคต้อหิน
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในกรณีศึกษาโทษของการฝ่าฝืนใช้กัญชาและกัญชง
2. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะแสวงหาความรู้และทักษะการคิดวิเคราะห์ กรณีศึกษาโทษของ การฝ่าฝืนใช้กัญชาและกัญชง
3. เพื่อให้ผู้เรียนตระหนักถึงโทษของการฝ่าฝืนใช้กัญชาและกัญชง
จากกรณีศึกษาโทษของการฝ่าฝืนใช้กัญชาและกัญชง แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 ความสำคัญในกรณีศึกษา คือ การฝ่าฝืนกฎหมายห้ามปลูกกัญชา ความสัมพันธ์ ที่พบในกรณีศึกษา คือ สาเหตุในเรื่องของกัญชา บวกกับความเชื่อใจบุตรชาย นางเขียวจึงได้นำกัญชา มาปลูกเพื่อรักษาโรค ตามที่บุตรชายบอกให้ทำ และรับผิดแทนบุตรชาย เพื่อไม่ให้บุตรชายเสียประวัติ ทำให้นางเขียว ถูกฟ้องดำเนินคดีและหลักการที่พบในกรณีศึกษา คือ การปลูกกัญชามีความผิดตาม กฎหมายพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ในมาตรา 26/3 คือ ผู้ใดมีไว้ ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (กัญชา) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กรณีที่ 2 ความสำคัญในกรณีศึกษาดังกล่าว คือ การเสพกัญชาก่อเกิดปัญหาสังคมตามมา ความสัมพันธ์ที่พบในกรณีศึกษาดังกล่าว คือ สาเหตุ นายดำ (นามสมมติ) ฝ่าฝืนกฎหมายแอบเสพยา เสพติดกัญชา ก่อให้สมองมีความสับสนทำให้ขับรถด้วยความประมาท หวาดเสียว เป็นอันตรายต่อ ผู้อื่น และหลักการที่พบในกรณีศึกษาดังกล่าว คือ การครอบครองกัญชาไม่ว่าจะมีจำนวนมาก หรือน้อย ถือว่าผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ในมาตรา 26/3 คือ ผู้ใดมีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (กัญชา) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ ในมาตรา 58 วรรคสอง คือ ผู้ใดเสพยาเสพติด ให้โทษในประเภท 5 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
1. เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจแนวทางการเฝ้าระวังความปลอดภัยการใช้ตำรับยาแผนไทย ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่
2. เพื่อให้มีทักษะการแสวงหาความรู้และทักษะการคิดวิเคราะห์ ข้อมูลแนวทางการเฝ้าระวัง ความปลอดภัยการใช้ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่
3. เพื่อให้ตระหนักถึงความปลอดภัยของการใช้ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่
1. แนวทางการเฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้ยา 1. ในปี พ.ศ. 2526 ประเทศไทยได้เริ่มพัฒนาระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านยา พร้อม ทั้งได้จัดตั้งศูนย์ติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากใช้ยา (Adverse Drug Reaction Monitoring Centre ; ADRMC) ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข เพื่อรับผิดชอบ ระบบดังกล่าว ในปีถัดมา (ปี พ.ศ. 2527) ได้สมัครเข้าเป็นประเทศสมาชิกลำดับที่ 26 ของโครงการ เฝ้าระวังความปลอดภัยด้านยาระดับนานาชาติขององค์การอนามัยโลก (WHO Programme for International Drug Monitoring) และได้บรรจุกิจกรรมนี้ไว้ในแผนพัฒนาการสาธารณสุขแห่งชาติตาม แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 6 (ปี พ.ศ. 2550 - 2534) จัดตั้งศูนย์เครือข่าย ระดับเขตในส่วนภูมิภาค ครั้งแรกรวม 5 แห่ง (จังหวัดลำปาง นครสวรรค์ นครราชสีมา ขอนแก่น และ หาดใหญ่ สงขลา) ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 กระทรวงสาธารณสุข ให้บรรจุงานเฝ้าระวังติดตามอาการ ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาในแผนงานพัฒนาระบบบริการของสถานพยาบาลและหน่วยงาน สาธารณสุข (พบส.) เป็นหนึ่งในเกณฑ์มาตรฐานของงานเภสัชกรรมและได้ขยายศูนย์เครือข่ายระดับ เขตในส่วนภูมิภาคตามโครงสร้าง พบส.
ในปี พ.ศ. 2540 ได้ขยายขอบข่ายของการเฝ้าระวังไปยังผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น ภายใต้ การกำกับดูแลของ คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งหมด และบรรจุกิจกรรมไว้ในแผนพัฒนา การสาธารณสุขแห่งชาติ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 - 2544) เปลี่ยนชื่อเป็นศูนย์ติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Adverse Product Reaction Monitoring Centre: APRMC) อย่างไม่เป็นทางการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 ได้ขยาย24 ภารกิจการเฝ้าระวังครอบคลุมปัญหาอื่นที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์จึงได้เสนอกระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนชื่อศูนย์อย่างเป็นทางการเป็น “ศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Health Product Vigitance Centre; HPVC)” รายงานที่ได้รับได้ส่งต่อไปยังองค์การอนามัยโลกอย่าง ต่อเนื่อง โดยประมาณร้อยละ 2.0 ของฐานข้อมูลขององค์การอนามัยโลกเป็นรายงานจากประเทศไทย
ระบบการเฝ้าระวังของประเทศไทย ได้รับข้อมูลจากสถานพยาบาลภาครัฐ และเอกชน ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ในอดีตรูปแบบการเฝ้าระวังในส่วนภูมิภาคเป็นรูปแบบศูนย์เฝ้าระวัง ระดับเขต ซึ่งจัดตั้งขึ้นอ้างอิงตามระบบบริการ และหน่วยงานสาธารณสุขในส่วนภูมิภาค ตามโครงการ พัฒนาระบบบริการสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุข มีโรงพยาบาลระดับตติยภูมิที่ได้รับการแต่งตั้ง เป็นแม่ข่ายทำหน้าที่พัฒนาระบบเฝ้าระวัง และรวบรวมรายงานของแต่ละโรงพยาบาลส่งผ่านตามลำดับ จากระดับปฐมภูมิทุติยภูมิไปยังโรงพยาบาลระดับตติยภูมิแม่ข่าย ก่อนส่งต่อไปยังศูนย์ HPVC ด้วย ระบบดังกล่าวนี้ทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งรายงาน เนื่องจากต้องผ่านหลายขั้นตอน ประกอบกับภาระ งานที่มากของแม่ข่าย ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเฝ้าระวังเป็นลักษณะเครือข่ายเฝ้าระวัง (Vigilance network) โดยทุกสถานพยาบาลส่งรายงานไปยังศูนย์ HPVC ได้โดยตรง
2. ระบบการเฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่
2.1 วัตถุประสงค์ เพื่อติดตามเฝ้าระวังความเสี่ยงจากการใช้ ตรวจจับสัญญาณประเมิน ความเสี่ยง สื่อสารแจ้งเตือนภัย และเสนอมาตรการในการลดความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ จากการใช้ยา ผลิตภัณฑ์กัญชาที่ติดตามเฝ้าระวัง ครอบคลุมผลิตภัณฑ์กัญชาทุกประเภท ได้แก่
2.1.1 ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ (กรณีการแพทย์แผนปัจจุบัน) ที่ได้รับอนุญาต ให้ผลิตและจำหน่าย จากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภายใต้รูปแบบพิเศษของการเข้าถึงยา
2.1.2 ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาผสมอยู่ (กรณีการแพทย์แผนไทย) ที่ได้รับอนุญาต ให้ผลิตและจำหน่าย จากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
2.1.3 กัญชาจากแหล่งอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย (กัญชาใต้ดิน)
2.2 อะไรคือสิ่งที่ต้องรายงาน (What) รายงานประสิทธิผล และความปลอดภัย จากการใช้กัญชาทางการแพทย์ของผู้ป่วย ทุกราย รายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ และพิษจากกัญชา ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยหรือประชาชนทั่วไป
2.3 ใครเป็นผู้รายงาน (Who)
2.3.1 แพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ แพทย์ทางเลือกหมอพื้นบ้าน หรือเภสัชกรในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตหรือจำหน่ายกัญชาทางการแพทย์
2.3.2 ประชาชนทั่วไปที่ประสบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้กัญชา
2.3.3 บุคลากรสาธารณสุข โรงพยาบาลเครือข่าย ของศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัย ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ
2.3.4 นักวิจัยในโครงการศึกษาวิจัยทางคลินิก
2.4 รายงานอย่างไร (How) รายงานไปที่ไหน (Where)
2.4.1 รายงานผ่านระบบ online ศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์ สำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) http://thaihpvc.fda.moph.go.th/thaihvc/index.jsf
2.4.2 ประชาชนทั่วไปรายงานได้โดยไม่ต้องขอ Username/password
2.4.3 โรงพยาบาลที่พบปัญหา จากกัญชาหรือผลข้างเคียงจากการใช้กัญชา ที่ห้อง ฉุกเฉิน หรือแผนกอื่นรายงาน โดย log in เข้าระบบเครือข่าย
2.4.4 สถานพยาบาลผู้รับอนุญาตจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชาทาง การแพทย์ ) รายงานโดย log in เข้าระบบ SAS
2.4.5 โครงการศึกษาวิจัยทางคลินิกที่ลงทะเบียนกับ ศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัย จากการใช้ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รายงาน log in เข้าระบบโครงการวิจัย หรือส่งไปรษณีย์ เป็นหนังสือราชการมายังสำนักงานคณะกรรมการอาการและยา
2.5 รายงานเมื่อไหร่ (When) เมื่อพบเหตุการณ์ไม่พึ่งประสงค์จากการใช้กัญชา
2.6 รายงานไปที่ไหน (Where) ศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ คณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
3. แนวทางการพิจารณาสั่งจ่ายผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์แก่ผู้ป่วย
3.1 ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาเป็นทางเลือกอันดับแรกในการรักษาโรค และภาวะใด ๆ ของผู้ป่วย แต่จะพิจารณาสำหรับผู้ป่วยซึ่งเคยได้รับการรักษา โดยผลิตภัณฑ์ยาที่ได้รับการอนุมัติ ทะเบียนตำรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แล้วไม่ประสบความสำเร็จในการรักษาหรือ จัดการกับอาการป่วยได้
3.2 หากพิจารณาแล้วเห็นว่าการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาอาจช่วยรักษา บรรเทา ประคับประคองอาการ หรือฟื้นฟูสุขภาพ ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ให้พิจารณาสั่งจ่ายใน รูปแบบของการเสริมการรักษา (adjuvant therapy) กับวิธีมาตรฐาน และให้ใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาที่ได้รับ การรับรองตำรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวคือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการประเมิน คุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัยตามหลักวิทยาศาสตร์
3.3 กรณีที่ไม่มีผลิตภัณฑ์กัญชาที่ได้รับการรับรองตำรับจาก สำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยา อาจพิจารณาสั่งจ่ายผลิตภัณฑ์กัญชาที่ยังไม่ได้การรับรองตำรับจากสำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา ให้แก่ผู้ป่วยได้ในกรณีจำเป็นในการรักษาโรคของผู้ป่วยเฉพาะราย ภายใต้รูปแบบพิเศษของการเข้าถึงยา (Speci Alaccess Scheme: SAS)26
3.4. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ที่ประสงค์จะสั่งจ่าย ผลิตภัณฑ์กัญชา ที่ยังไม่ผ่านการรับรองทะเบียนตำรับจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในกรณีจำเป็นเพื่อการรักษาโรคแก่ผู้ป่วยเฉพาะราย ภายใต้รูปแบบพิเศษของการเข้าถึงยา (Speci Alaccess Scheme: SAS) ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือผู้ดูแลผู้ป่วย (บิดา มารดา หรือ ผู้แทน โดยชอบธรรมของผู้ป่วยเด็กอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ หรือผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่ สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง) ทั้งนี้ ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลผู้ป่วย จะต้องสามารถตัดสินใจอย่างอิสระ ปราศจากแรงกดดัน ทั้งนี้การแสดงความยินยอมต้องเป็นลายลักษณ์อักษร ในเอกสารแสดงความ ยินยอม (Informed consent form) ตามแบบฟอร์ม และจัดเก็บไว้เป็นหลักฐานในเวชระเบียนของ ผู้ป่วย
สรุป
1. แนวทางการรายงาน การเฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชา ปรุงผสมอยู่ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สถานพยาบาลรายงานการติดตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดจาก การใช้ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดตำรับ ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ ที่ให้เสพเพื่อรักษาหรือการศึกษาวิจัยได้ พ.ศ.2562 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จะนำข้อมูลที่ได้รับประมวลผล และวิเคราะห์ เพื่อใช้ประกอบการพัฒนาข้อมูลความปลอดภัยของตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ในประเทศ
2. ระบบการเฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้ตำรับยาแผนไทย ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่มีอยู่ 6 ขั้นตอน (1) วัตถุประสงค์ (2) อะไรคือสิ่งที่ต้องรายงาน (3) ใครคือผู้รายงาน (4) รายงานอย่างไร (5) รายงานเมื่อไหร่ และ (6) ส่งไปที่ไหน
3. แนวทางการพิจารณาสั่งจ่ายผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์แก่ผู้ป่วย ได้แก่ (1) ไม่ควรใช้ ผลิตภัณฑ์กัญชาเป็นทางเลือกอันดับแรกในการรักษาโรคและภาวะใด ๆของผู้ป่วย (2) หากพิจารณาแล้ว เห็นว่าการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาอาจช่วยรักษา บรรเทา ประคับประคองอาการ หรือฟื้นฟูสุขภาพ ทำให้ผู้ป่วย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (3) กรณีที่ไม่มีผลิตภัณฑ์กัญชาที่ได้รับการรับรองตำรับ จากสำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยา อาจพิจารณาสั่งจ่ายผลิตภัณฑ์กัญชาที่ยังไม่ได้การรับรองตำรับจากสำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยา (4) ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ที่ประสงค์จะสั่งจ่าย ผลิตภัณฑ์กัญชาที่ยังไม่ผ่านการรับรองทะเบียนตำรับ จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในกรณี30 จำเป็นเพื่อการรักษาโรคแก่ผู้ป่วยเฉพาะราย ภายใต้รูปแบบพิเศษของการเข้าถึงขององค์การเภสัช (Special Access Scheme) ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย
4. กรณีศึกษาความปลอดภัยการใช้ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ ความสำคัญ ของกรณีศึกษา คือ (1) ผู้ที่สามารถใช้กัญชาทางการแพทย์ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์ ยกเว้น กรณีที่แพทย์วินิจฉัยว่าจำเป็นต้องใช้กัญชาในการรักษา และ (2) ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจผิดว่ากัญชา สามารถรักษาได้ทุกโรค จึงปฏิเสธแนวทางการรักษาด้วยวิธีการอื่น
1. เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขนาดของกัญชาและกัญชงในการรักษาโรค
2. เพื่อให้มีทักษะการแสวงหาความรู้และทักษะการคิดวิเคราะห์ขนาดของกัญชาและกัญชง ในการรักษาโรค
3. เพื่อให้ตระหนักถึงขนาดของกัญชาและกัญชงในการรักษาโรค
1. การพัฒนายาจากกัญชา
ยาจากกัญชาถือเป็นยาประเภทใหม่ เนื่องด้วยข้อกำหนดด้านกฎหมายจึงทำให้ การศึกษาวิจัยของยากัญชายังมีอยู่น้อย เนื่องจากกัญชาไม่ใช่ยาวิเศษหรือยาครอบจักรวาล ดั่งความเชื่อที่ร่ำลือกัน แพทย์จะไม่รักษาด้วยยากัญชาเป็นลำดับแรก จะเลือกใช้กับผู้ป่วยที่ ไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ หรือได้รับผลข้างเคียงจากยา ที่ไม่สามารถยอมรับได้ในขณะที่มีผลิตภัณฑ์ กัญชาทางการแพทย์เพียงบางส่วนเท่านั้น ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนยาอย่างเป็นทางการ และระบุว่า ใช้ได้กับเพียงบางโรค อย่างไรก็ดีการพัฒนายาจากกัญชา ยังจำเป็นต้องควบคุมคุณภาพ และสร้าง มาตรฐาน เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย และได้รับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สูงสุด นอกจากนี้แล้วข้อมูล ทางคลินิก และแนวทางการจ่ายยาก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่แพทย์ และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงรวมถึงการเสพติดยาจากกัญชาให้น้อยที่สุด
2. มาตรฐานการผลิตยากัญชาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
กัญชาถูกนำไปใช้ในการศึกษาทางคลินิกในมนุษย์และพบว่าค่อนข้างปลอดภัยสำหรับ ผู้คนส่วนใหญ่ แต่ยังมีพบในบางรายที่บริโภคกัญชากลับควบคุมอาการของโรคได้แย่ลง และเกิดผล ข้างเคียงใหม่ เช่น ความอ่อนเพลีย การทำงานของตับผิดปกติ และเกิดอาการท้องร่วง ไม่มียาชนิดใด ที่ปลอดภัยที่สุด ยาทุกประเภทสามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงของอาการข้างเคียง และอาการ ไม่พึงประสงค์ได้ (อาจส่งผลให้เกิดอันตราย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภค THC และสารแคนนาบินอยด์ สังเคราะห์ในปริมาณมาก จะก่อให้เกิดอันตรายได้ เช่น (ความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่าทางที่ส่งผล ให้ล้ม หรืออาการวิกลจริตระดับเบาไปจนถึงรุนแรง) การควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อให้มีปริมาณ32 สารสำคัญคงที่ในทุกรอบการผลิต ควบคุมปริมาณสารปนเปื้อน มีกระบวนการผลิตที่ถูกต้องเป็น ไปตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติที่ดีในการผลิตยา (GMP) จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง การควบคุม คุณภาพที่ดีควรจะเริ่มตั้งแต่การควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบ โดยควบคุมตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก ไปจนถึงกระบวนการผลิตให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ทุกขั้นตอนของการผลิตยา และกระบวนการ ทดสอบจะต้องมีการบันทึกข้อมูลอย่างชัดเจน บุคลากร สถานที่ และวัตถุดิบต้องเป็นไปตามมาตรฐาน กระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วย และผู้สั่งจ่ายยาได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย
วัตถุดิบกัญชาชิ้นแห้ง สารสกัดกัญชา และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต้องผ่านการตรวจคุณภาพ โดยควบคุมมาตรฐานตาม American Herbal Pharmacopeia และ Thai Herbal Pharmacopeia (THP) มีการตรวจสอบเอกลักษณ์ของกัญชาการตรวจสอบพืชวัตถุดิบเพื่อยืนยันว่า เป็นกัญชาจริง ไม่ใช่พืชที่มีสารปลอมปนหรือพืชทดแทน การตรวจสอบเอกลักษณ์และปริมาณของสารออกฤทธิ์ THC และ CBD ให้เป็นไปตามที่กำหนด การตรวจสอบปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคไม่ให้เกินที่ มาตรฐานกำหนด การตรวจสอบยาฆ่าแมลง และโลหะหนักได้แก่ สารหนู สารปรอท สารตะกั่ว แคดเมียม ซึ่งอาจจะเหลือตกค้างมาได้ในระหว่างการเพาะปลูก ต้องไม่เกินที่มาตรฐานกำหนดเพื่อ ความปลอดภัยของผู้ป่วย
3. รูปแบบยาเตรียม และการให้ยา กัญชาทางการแพทย์ก็เหมือนกับยาชนิดอื่น ๆ ที่มีรูปแบบยาเตรียมที่หลากหลาย ประเภท (เช่น การสูดไอระเหย การให้ยาทางปาก การส่งยาผ่านผิวหนัง) เพื่อสนองความต้องการของ ผู้ป่วยที่แตกต่างกันไป วิธีการบริหารยาจะขึ้นอยู่กับรูปแบบยารูปแบบยาเตรียมมีความสำคัญ อย่างมาก เพราะจะส่งผลต่อพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้ป่วย ได้แก่
ข้อ 1 ผู้ป่วยรับยาเข้าไปตามปริมาณที่กำหนดในแต่ละวันหรือไม่
ข้อ 2 พวกเขารับยาเมื่อไร (ช่วงเวลาของวัน)
ข้อ 3 พวกเขารับยาบ่อยเพียงใด (ความถี่ในการใช้)
ข้อ 4 พวกเขาต้องได้รับยาปริมาณเท่าไร (ปริมาณการรับยารวมในแต่ละวัน)
ข้อ 5 อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น และจะทนอาการข้างเคียงเหล่านั้นอย่างไร
รูปแบบยาที่มีกัญชาและกัญชงที่ใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบันมี 9 รูปแบบดังนี้
รูปแบบที่ 1 การสูดไอระเหย – ด้วยปอด การใช้เครื่องพ่นไอระเหย หรือเครื่องมือสูดไอระเหยทางการแพทย์ ผู้ป่วยจะสูดดม สารแคนนาบินอยด์ (จากช่อดอกกัญชาแห้ง) ในรูปแบบไอระเหยซึ่งจะดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ผ่านทางปอด การสูดไอระเหยเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพปอด จะสามารถดูดซึมไอระเหยที่สูดดมเข้า ไปได้อย่างรวดเร็ว ยาออกฤทธิ์ได้ทันที ไอระเหยจะมีสารแคนนาบินอยด์และเทอร์ปีน ในปริมาณที่ สม่ำเสมอ และวัดค่าได้รวดเร็ว ทำให้การปรับขนาดยาง่ายขึ้น หรือการรับยาในปริมาณที่เหมาะสม34 โดยไม่เกิดอาการข้างเคียง และยังบรรเทาอาการได้อย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นผลภายในไม่กี่นาทีแม้ว่า การสูดไอระเหยจะทำให้ระดับสารแคนนาบินอยด์ในเลือดสูง แต่ผลที่ได้เมื่อเทียบกับการบริหารยา ทางปากแล้วจะมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ที่สั้น ปริมาณแคนนาบินอยด์ที่ถูกนำส่งจะขึ้นอยู่กับความลึก ของการสูดลมหายใจปริมาณในการสูบ และระยะเวลาการกลั้นหายใจ
รูปแบบที่ 2 เครื่องพ่นไอระเหยทางการแพทย์ เครื่องที่ใช้กับช่อดอกกัญชาแห้ง แต่ไอระเหยจะไม่มีส่วนประกอบของนิโคติน กลีเซอรีน หรือโพรพิลีนไกลคอล และกลิ่นรสสังเคราะห์ รวมถึงไม่มีไรเหย และควันขนาดใหญ่ที่เป็นพิษ และรบกวนผู้อื่น ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและผู้ป่วยใช้งานง่าย
รูปแบบที่ 3 การสูบ การสูบจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ป่วยจึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีการนี้ สารประกอบ ไพโรไลซิส ที่เป็นพิษจะถูกสร้างขึ้นเมื่อมีการสูบ (หรือการเผาไหม้) โดยทั่วไปจะมีการม้วนช่อดอก กัญชาทำเป็น (บุหรี่สอดไส้กัญชา) และสูดสารแคนนาบินอยด์ ในรูปแบบควันเข้าไปยังปอด ยาจะ ดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดผ่านทางปอด
รูปแบบที่ 4 ทางปาก – ผ่านทางปาก และการหยดใต้ลิ้น สารแคนนาบินอยด์ (สารสกัดจากพืชทั้งต้น หรือสารแคนนาบินอยด์สกัดแยก) ที่ให้ทางปาก โดยการกลืน (ทางปาก) เมื่อกลืนยาเข้าไป ยาจะเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางกระเพาะอาหาร ลำไส้ และตับ เมื่อให้ยาดูดซึมทางใต้ลิ้น ยาจะไม่ผ่านตับ และเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงยาเตรียมสำหรับ การให้ทางปากเป็นรูปแบบยาที่คุ้นเคยทำให้ช่วยให้การบริหารยาง่ายขึ้น การใช้ยาในแต่ละครั้ง สามารถทำโดยหยดยาไว้ใต้ลิ้น ยาจะถูกดูดซึมผ่าน ชั้นเยื่อเมือกบุผิว ในปาก (เรียกว่า การดูดซึมใต้ลิ้น) และจะเข้าไปสู่กระแสเลือด การนำส่งยาใต้ลิ้นเป็นการบริหารยาที่ สามารถเพิ่มปริมาณยารวมที่ร่างกายรับได้ หมายความว่าผู้ป่วยรับยาปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่ยังคง ให้ได้ผลการรักษาเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับการกลืนแคปซูล หรือการดื่มชา น้ำมันหยดใต้ลิ้นจึงเป็น รูปแบบยาที่ดีมีประสิทธิภาพ
รูปแบบที่ 5 สเปรย์ สเปรย์ก็เป็นการบริหารยาใต้ลิ้น เช่นเดียวกับการใช้น้ำมัน ตัวอย่างเช่น ซาติเวกซ์ (Sativex™) ซึ่งเป็นรูปแบบยาเตรียม (ฉีดพ่นในช่องปาก) ที่ได้มาตรฐานทางเภสัชกรรม ผลิตมาจาก กัญชาสองสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หนึ่งผลิต THC เป็นหลัก และอีกสายพันธุ์หนึ่งผลิต CBD เป็นหลัก สารประกอบออกฤทธิ์ THC และ CBD ในสัดส่วนที่แน่นอนจะถูกนำไปละลายในสารละลาย แอลกอฮอล์ ก่อนจะนำไปบรรจุในขวดยาพ่นแบบกำหนดขนาด ซึ่งใช้พ่นใต้ลิ้น
รูปแบบที่ 6 แคปซูล โดยทั่วไปแคปซูลจะประกอบด้วยสารแคนนาบินอยด์เดี่ยว (คือ THC และ CBD) ในปริมาณ ความเข้มข้นที่แน่นอนละลายอยู่ ในน้ำมันตัวพาแคปซูล เมื่อถูกกลืนแล้วจะแตกตัวออก ยาจะถูก ปล่อยออกมาก่อนที่จะถูกดูดซึมในกระเพาะอาหาร และลำไส้อัตรา (เวลา) ในการดูดซึมอาจไม่ สามารถคาดการณ์ได้ และอาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยอื่น ๆ เช่น มีอาหารอยู่ ในระบบทางเดิน อาหาร หรือผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว (ออกกำลังกาย เดิน) ประเด็นที่น่าสนใจคือ THC มีผลให้อัตรา ความเร็วของการส่งอาหารออกจากกระเพาะช้าลง (จากกระเพาะไปสู่ลำไส้) การบริหารยาทางปาก (โดยการกลืน) ส่งผลให้เวลาการออกฤทธิ์ของยาช้าลง ความเข้มข้นของระดับยาในเลือดลดลง และ ระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์นานขึ้นเมื่อเทียบกับการสูดไอระเหย ปริมาณสารแคนนาบินอยด์รวม จะขึ้นกับกระบวนการเมแทบอลิซึมในตับ และปริมาณอาหารในกระเพาะอาหาร ซึ่งเท่ากับว่าปริมาณ การรับยาทางปากอาจไม่มีความแน่นอน และไม่สามารถคาดการณ์ได้
รูปแบบที่ 7 ชาหรือสารละลาย ผู้ป่วยบางรายบริโภคกัญชาทางการแพทย์ ในรูปแบบชา โดยใช้ช่อดอกชงในน้ำร้อน เมื่อดื่มชาสารแคนนาบินอยด์จะถูกดูดซึมในกระเพาะ และลำไส้เล็ก และเช่นเดียวกับการให้ยา ทางปาก ปริมาณสารแคนนาบินอยด์รวม จะขึ้นกับกระบวนการเมตาบอลิซึมในตับ และปริมาณ อาหารในกระเพาะอาหาร ซึ่งเท่ากับว่าปริมาณการรับยาทางปากอาจไม่มีความแน่นอน และ ไม่สามารถคาดการณ์ได้ยิ่งไปกว่านั้น ชาส่วนใหญ่มักมีความเข้มข้นของสารแคนนาบินอยด์ต่ำ สารประกอบในชาจะเปลี่ยนแปลงตามเวลาในการต้ม ปริมาณของชาที่ใช้และระยะเวลาในการเก็บ ซึ่งหมายความว่า การบริหารยาด้วยชาอาจทำให้ผลการรักษาโรคไม่แน่นอน แต่ในผู้ป่วยบางราย กลับพบว่าการใช้ชากัญชาดื่มได้ผลดี เพียงแต่การกำหนดปริมาณยาอาจจะทำได้ยากอาหารรูปแบบยา เตรียมจากพืชทั้งต้นอีกประเภทหนึ่ง คือ อาหาร เช่น คุกกี้บราวนี่ การรับประทานอาหารเหล่านี้ ยากต่อการควบคุมปริมาณองค์ประกอบสารแคนนาบินอยด์ที่ได้รับให้คงที่ ผู้ป่วยอาจรับยาเกินขนาด ได้ง่าย เนื่องจากยาอาจออกฤทธิ์หลังผ่านไปราว 2 - 3 ชั่วโมง และผู้ป่วยอาจรับประทานยาครั้งที่สอง หากพวกเขาต้องรอยาออกฤทธิ์ผลการรักษาโรคอาจไม่แน่นอนนักเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ยาให้ ทางปากที่ได้มาตรฐาน และส่วนใหญ่ต้องใช้เวลานานกว่ายาจะออกฤทธิ์จึงทำให้อาหารไม่ถือเป็น ผลิตภัณฑ์สำหรับการบำบัดรักษาโรค
รูปแบบที่ 8 การส่งยาผ่านผิวหนัง การบริหารยาผ่านทางผิวหนัง เป็นการส่งยาผ่านผิวหนัง รูปแบบยาเตรียมโดยทั่วไป ได้แก่ ครีมทาบนผิวหนังหรือเยื่อเมือกบุผิว และแผ่นแปะผิวหนัง ซึ่งเป็นการแปะแผ่นติดที่มียาอยู่ ลงบน ผิวหนังโดยตรงผู้ป่วยจะค่อย ๆ ได้รับยาในปริมาณที่เฉพาะเจาะจงในเวลาที่กำหนด ปัจจุบันมีการใช้ รูปแบบยานี้เพื่อรักษาอาการทางผิวหนังบางประเภท และอาการปวดกล้ามเนื้อเฉพาะที่ หรือปวดข้อ สารแคนนาบินอยด์ส่วนใหญ่ไม่ชอบน้ำ จึงทำให้ยาซึมผ่านไปสู่กระแสเลือดน้อยทำให้ระดับความเข้มข้นยาในเลือดอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ยากอาจจะต้องประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การ นำส่งสารด้วยนาโนเทคโนโลยี อาจจะช่วยให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีขึ้น ส่วนยาในรูปแบบครีมส่วน ใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ทา และออกฤทธิ์เฉพาะที่ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการส่งผ่านผิวหนังไปสู่กระแส เลือด
รูปแบบที่ 9 การส่งยาผ่านทวารหนัก - ยาเหน็บทวาร ยาเหน็บทวารหนักเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการนำส่งยา เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่รู้ตัวหรือว่ากินยาไม่ได้ เช่น ผู้ป่วยเด็กที่ไม่ยอมกลืนยา ผู้ป่วยมะเร็งที่ ไม่สามารถกลืนยาได้ ผู้ป่วยที่กลืนแล้วสำลัก เนื่องจากบริเวณทวารหนักยาจะสามารถเข้าสู่กระแส เลือด ได้จากเส้นเลือดบริเวณทวารหนัก หลังจากสอดยาตัวยาจะค่อย ๆ ปลอดปล่อย โอกาสที่จะถูก เปลี่ยนแปลงที่ตับก็จะน้อยลงกว่าการกิน การถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับก็จะลดลง โอกาสเมายาก็จะลด น้อยลงด้วยเช่นกัน จึงลดอาการข้างเคียงจากกัญชาได้เมื่อเทียบกับการกิน
สรุป
1. การพัฒนายาจากกัญชา เนื่องจากโรคบางโรคผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ ในการ รักษาโรคทางการแพทย์จึงได้พัฒนายาจากกัญชาและกัญชง เพื่อควบคุมคุณภาพสร้างมาตรฐาน เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยและได้รับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สูงสุด
2. มาตรฐานการผลิตยากัญชา เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในการผลิตยา จึงมีความ จำเป็นอย่างยิ่ง ในการควบคุมคุณภาพที่ดีควรจะเริ่มตั้งแต่การควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบ โดยควบคุม คุณภาพตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูกไปจนถึงกระบวนการผลิตให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ทุกขั้นตอนของการผลิตยา และกระบวนการทดสอบจะต้องมีการบันทึกข้อมูลอย่างชัดเจน วัตถุดิบ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน กระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วย และผู้สั่งจ่ายยาได้รับผลิตภัณฑ์ที่มี คุณภาพและปลอดภัย
3. รูปแบบยาที่มีกัญชาและกัญชงที่ใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบันมี 9 รูปแบบ ได้แก่ (1) การ สูดไอระเหย - ด้วยปอด (2) เครื่องพ่นไอระเหยทางการแพทย์(3) การสูบ (4) ทางปาก - ผ่านทางปาก และการหยดใต้ลิ้น (5) สเปรย์(6) แคปซูล (7) ชาหรือสารละลาย (8) การส่งยาผ่านผิวหนัง และ (9) การส่งยาผ่านทวารหนัก - ยาเหน็บทวาร
1. เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับการพัฒนายา มาตรฐาน และรูปแบบการใช้ยา ที่มีกัญชาและกัญชงในการแพทย์แผนปัจจุบัน
2. เพื่อให้มีทักษะการแสวงหาความรู้ และทักษะการคิดวิเคราะห์การพัฒนายา มาตรฐาน และรูปแบบการใช้ยาที่มีกัญชาและกัญชงในการแพทย์แผนปัจจุบัน
3. เพื่อให้ตระหนักถึงการพัฒนายา มาตรฐาน และรูปแบบการใช้ยาที่มีกัญชาและกัญชง ในการแพทย์แผนปัจจุบัน
เนื้อหา
แบบทดสอบบทที่ 7 <<<