ประเด็นท้าทาย เรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม (Schema Theory) และแนวคิดการเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้ถึงเกณฑ์เป้าหมายของกลุ่มสาระการเรียนรู้
ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลก (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2560, หน้า 1 ) กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความสำคัญนี้จึงได้จัดให้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา เพื่อเน้นให้นักเรียนได้ฝึกฝนทักษะต่างๆ ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน และสามารถนำทักษะเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกทั้งในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดให้ผู้เรียน มีสมรรถนะสำคัญอันเป็นเป้าหมายของการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลกที่มุ่งเน้นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดอย่างเป็นระบบเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม และความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตอันเป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องการทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น (กระทรวงศึกษาธิการ,2560, หน้า 6-7)
จากรายงานการประเมินตนเองของสถานศึกษา (Self- Assessment Report : SAR) ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนแม่อายวิทยาคม พบว่า มาตรฐานที่ ๑ ด้านคุณภาพผู้เรียนมีระดับคุณภาพ ดีเลิศ ได้ระดับคะแนน 46.20 ยังไม่บรรลุตามค่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 51 คะแนน โดยด้านผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียนจำแนกตามตัวบ่งชี้ ดังนี้ ตัวบ่งชี้ที่ 1) มีความสามารถในการอ่าน การเขียน การสื่อสาร และการคิดคำนวณ ต่ำ กว่าระดับที่กำหนด และ ไม่บรรลุ ค่าเป้าหมายตามเกณฑ์ ตัวบ่งชี้ที่ 2) มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแก้ปัญหา คำนวณ ต่ำ กว่าระดับที่กำหนด และ ไม่บรรลุ ค่าเป้าหมายตามเกณฑ์ ตัวบ่งชี้ที่ 3) มีความสามารถในการสร้างนวัตกรรม คำนวณ ต่ำ กว่าระดับที่กำหนด และ ไม่บรรลุ ค่าเป้าหมายตามเกณฑ์ ตัวบ่งชี้ที่ 4) มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สูงกว่าระดับที่กำหนด และ บรรลุค่าเป้าหมายตามเกณฑ์ ตัวบ่งชี้ที่ 5) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักสูตรสถานศึกษา ต่ำกว่าระดับที่กำหนด และ ไม่บรรลุค่าเป้าหมายตามเกณฑ์ และตัวบ่งชี้ที่ 6) มีความรู้ทักษะพื้นฐาน และเจตคติที่ดีต่องานอาชีพ คำนวณ ต่ำ กว่าระดับที่กำหนด และ ไม่บรรลุค่าเป้าหมายตามเกณฑ์ สอดคล้องกับแบบรายงานการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนรายบุคคล (ปถ.05) รายวิชาภาษาอังกฤษ สาระพื้นฐาน ม.1-ม.6 ปีการศึกษา 2565 พบว่า นักเรียนที่มีผลการเรียนระดับ 2 ขึ้นไป ร้อยละ 66.84 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่สถานศึกษากำหนด
จากปัญหาดังกล่าว ผู้ศึกษาได้ศึกษาหาแนวคิดทางการศึกษาที่ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียน พบว่า ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับความรู้และประสบการณ์เดิมของนักเรียน ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ โดยประสบการณ์เดิมของนักเรียนจะเป็นแนวทางนำไปสู่การสร้างกรอบความคิดเชื่อมโยงกับประสบการณ์ใหม่ได้ง่ายขึ้น (Adedokun, Attah, and Nwabudike, 2018 และ Hu, 2019) ทฤษฎีโครงสร้างความรู้มีหลักการจัดการเรียนรู้ 3 ลักษณะ ดังนี้ 1) การเติมความรู้ (Accretion) เป็นการเพิ่มเติมข้อมูลที่สัมพันธ์กับความรู้ที่มีอยู่เดิมของนักเรียน ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเล่าเรื่องประสบการณ์เพิ่มเติมหรืออาจพูดถึงสิ่งที่ส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังเรียนเพื่อให้นักเรียนได้รับข้อมูลที่เพียงพอที่จะดึงความรู้จากประสบการณ์เดิมของตนออกมาใช้เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะเรียนรู้ 2) การปรับความรู้ (Tuning) เป็นการปรับเปลี่ยนความรู้เดิมที่มีอยู่ก่อน โดยการขยายความรู้โดยให้รายละเอียดเพิ่มมากขึ้น โดยในการปรับความรู้นั้นจะช่วยให้นักเรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นในสถานการณ์ต่าง ๆ และ 3) การสร้างความรู้ใหม่ (Reconstruction) คือ เป็นการสร้างความรู้ใหม่เกี่ยวกับสิ่งที่นักเรียนไม่เคยรู้มาก่อนโดยเป็นการปรับความรู้เดิมของนักเรียนให้มีความเหมาะสมกับการเรียนในเรื่องที่มีความซับซ้อนมากขึ้น (Rumelhart and Norman , 1978) โดยทฤษฎีโครงสร้างความรู้แบ่งโครงสร้างทางความรู้ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) โครงสร้างด้านรูปแบบ (Formal Schema) หมายถึง โครงสร้างข้อความและความรู้ของผู้อ่านเกี่ยวกับประเภทและการใช้วาทศิลป์ 2) โครงสร้างด้านเนื้อหา (Content Schema) หมายถึง ความรู้เดิมเกี่ยวกับเนื้อหาที่มีความสัมพันธ์กัน ว่าเนื้อหาที่กำหนดมีความสอดคล้องซึ่งกันละกันอย่างไรจนเกิดเรื่องราวทั้งหมด และ 3) โครงสร้างทางภาษา (Language Schema) หมายถึง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ด้านภาษาศาสตร์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยความรู้เดิม เกี่ยวกับคำศัพท์ ไวยากรณ์ กฎการออกเสียง เป็นต้น (Zhang, 2018)
นอกจากนี้แนวคิดการเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เป็นแนวคิดตามทฤษฎีโครงสร้างทางสังคมของไวกอตสกี้ (Vygotsky, 1978) ที่มีความเชื่อว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ในบริบทที่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยผู้ที่มีความรู้มากกว่าช่วยชี้แนะให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ การเสริมต่อการเรียนรู้ เป็นการช่วยในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เริ่มเรียนโดยจำกัดความซับซ้อนของสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้และค่อยๆ ลดการจำกัดนี้ออกไป เมื่อนักเรียนได้รับความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในการจัดการบริบทที่มีความซับซ้อน การให้ความช่วยเหลือนักเรียนอยู่บนพื้นฐานของความต้องการของนักเรียน และเมื่อนักเรียนมีความสามารถในการทำงานนั้น ๆ แล้ว จะมีการลดความช่วยเหลือลงทีละน้อย เพื่อให้นักเรียนสามารถทำงานนั้นสำเร็จได้ด้วยตนเองโดยการเสริมต่อการเรียนรู้เป็นการเสริมศักยภาพของนักเรียนที่มีประสิทธิผลในการลดโอกาสของการล้มเหลวของงานที่นักเรียนกำลังทำ สามารถทำงานได้ด้วยตนเองจนสำเร็จ มีความเข้าใจในระดับที่สูงขึ้น และนำนักเรียนไปสู่ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยการเสริมต่อการเรียนรู้ช่วยให้นักเรียนเชื่อมโยงความสามารถที่มีอยู่เข้ากับเป้าหมายการเรียนรู้จนประสบความสำเร็จหรือมีพัฒนาการในระดับที่สูงขึ้น
จากหลักการ แนวคิด และสภาพปัญหาข้างต้น ผู้ศึกษาเห็นความสำคัญของการพัฒนานักเรียนให้ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ โดยพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม (Schema Theory) และแนวคิดการเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้ถึงเกณฑ์เป้าหมายของกลุ่มสาระการเรียนรู้
2.1 ศึกษามาตรฐานและตัวชี้วัดการเรียนรู้ของรายวิชาภาษาอังกฤษ 5 รหัสวิชา อ33101 และ รายวิชาภาษาอังกฤษ 6 รหัสวิชา อ33102 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามมาตรฐานการเรียนรูแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุงพุทธศักราช 2560)
2.2 ออกแบบการเรียนรูตามรูปแบบจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม (Schema Theory) และแนวคิดการเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding)
2.3 ประเมินผลสัมฤทธิ์กอนเรียนเรียนทุกหนวยการเรียนรู
2.4 ดำเนินกิจกรรมการจัดการเรียนรูตามแผนที่วางไว
2.5 ประเมินผลสัมฤทธิ์หลังเรียนทุกหนวยการเรียนรู
2.6 เปรียบเทียบผลการประเมินก่อนและหลังเรียน
2.7 รายงานผลการจัดการเรียนรู้
เชิงปริมาณ
1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 194 คน ได้รับการพัฒนาการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม (Schema Theory) และแนวคิดการเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เพื่อยกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษให้เทียบเท่าหรือมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่โรงเรียนกำหนด
2. ได้พัฒนาการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม (Schema Theory) และแนวคิดการเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เพื่อยกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษให้เทียบเท่าหรือมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่โรงเรียนกำหนด
เชิงคุณภาพ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เกิดทักษะการเรียนรู้ผ่านรูปแบบจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม (Schema Theory) และแนวคิดการเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) โดยมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษให้เทียบเท่าหรือมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่โรงเรียนกำหนด