ชื่อ-สกุล นางสาวเบญจมาศ เล็กรัตน์
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ชำนาญการ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ
โรงเรียนลาดยาววิทยาคม อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์
สอนรายวิชา ภาษาอังกฤษ
ครูที่ปรึกษานักเรียนชั้น ม.2/2
ข้าพเจ้าขอแสดงเจตจำนงในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานตำแห่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ซึ่งเป็นตำแหน่งและวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันกับผู้อำนวยการสถานศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่ง
1. ภาระงาน จะมีภาระงานเป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 17 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 14 ชั่วโมง/สัปดาห์
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รายวิชาหน้าที่พลเมือง
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ลูกเสือ-เนตรนารี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณะประโยชน์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ รวมจำนวน 7 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2.1 การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2.2 แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล จำนวน - ชั่วโมง/สัปดาห์1.2.3 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2.4 การสร้างและการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2.5 การมีส่วนร่วมในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2.6 การจัดทำวิจัยในชั้นเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2.7 การดำเนินงานตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน - ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน - ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4.1 กิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ - จำนวน - ชั่วโมง/สัปดาห์
1.5 การนับชั่วโมงการอบรม
1.5.1 การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง จำนวน 12 ชั่วโมง
1.5.2 การอบรมออนไลน์เกี่ยวกับการเรียนการสอน จำนวน 145 ชั่วโมง
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนของผู้จัดทำข้อตกลง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะครูชำนาญการ คือ การแก้ไขปัญหา การจัดการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือมีการพัฒนามากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังในวิทยฐานะที่สูงกว่าได้) (เปลี่ยนตามวิทยฐานะของคุณครู)
ประเด็นท้าทาย เรื่อง การพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาผู้เรียนขาดทักษะภาษาอังกฤษในรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้รูปแบบการสอนที่เน้นการสื่อสารโดยใช้การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร CLT (Communicative Language Teaching) โดยมีวิธีการดังนี้
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
บทบาทและทักษะของครูกับการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 นั้นต้องยอมรับว่าครูมีบทบาทสําคัญในการพัฒนาประเทศให้เจริญมั่นคงและก่อนที่จะพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญได้นั้นจะต้องพัฒนาคน หรือเยาวชนของชาติเสียก่อน เพื่อให้เยาวชนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณค่าสมบูรณ์ทุกด้าน จึงจะสามารถช่วยกันสร้างความเจริญให้แก่ชาติต่อไปได้โดยครูมีหน้าที่ในการปลูกฝังทั้งวิชาความรู้ความประพฤติแก่เด็กและเยาวชน รวมทั้งรู้จักประโยชน์ส่วนตน ประโยชน์ส่วนรวม ความเสียสละ และความอดทน ซึ่งวิชาดังกล่าวจะพัฒนาให้เยาวชนมีความรู้อย่างสมบูรณ์ในทุกด้าน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน บทบาทและความสําคัญของครูได้ลดน้อยลงเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี
การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 ครูจะมีบทบาทสําคัญยิ่งกว่าเดิม โดยครูต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น “โค้ช” กล่าวคือ ครูต้องให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่จําเป็นในการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนนําความรู้ที่ได้รับไป บูรณาการและต่อยอดได้สิ่งสําคัญในการเรียนในศตวรรษที่ 21 คือต้องเปลี่ยนระบบการเรียนการสอน คือเปลี่ยนเป้าหมายจาก “ให้ความรู้” ไปสู่ “ให้ทักษะ” เปลี่ยนจาก “ครูเป็นหลัก” เป็น “ผู้เรียนเป็นหลัก”
ปัจจุบัน ครูจําเป็นที่จะต้องพัฒนาขีดความสามารถของตนให้เท่าทันกับโลกที่กําลังหมุนไปอย่างรวดเร็ว
เพราะในยุคที่โลกกําลังก้าวหน้าเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 สภาพของโลกนี้เปลี่ยนไปเป็นโลกแห่งข้อมูลข่าวสารและ
เทคโนโลยีเป็นสังคมโลกที่สลับซับซ้อนเชื่อมโยง สังคมโลกกลายเป็นสังคมความรู้ (Knowledge Society) หรือ
สังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Society) ครูบุคลากรทางการศึกษาและองค์การทางการศึกษาจึงต้องปรับตัวให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)
การจัดการการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ให้ความสําคัญทั้งครูและผู้เรียนก้าวเข้าสู่การเรียนรู้ไปพร้อมๆกันผู้ที่ต้องพัฒนาไม่ได้มีเพียงผู้เรียนเท่านั้น แต่รวมไปถึงครูที่ต้องปรับบทบาทเป็นครูในศตวรรษที่ 21 โดยเปลี่ยนบทบาทเป็น “ผู้เรียนรู้” เรียนไปพร้อมๆ กับผู้เรียน ปรับการเรียนการสอนเป็น “สอนน้อย เรียนมาก” (Teach Less, Learn More) เรียนรู้จากการปฏิบัติเรียนรู้จากชีวิตจริง การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดของตนเองส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการใช้แนวการสอนหรือวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพเพื่อทําให้ผู้เรียนประสบผลสําเร็จทางการเรียนรู้
การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ผู้เรียนต้องนําทฤษฎีการเรียนรู้ที่ได้รับไปสู่การปฏิบัติถึงแม้ว่าความรู้ที่มีอยู่ในการปฏิบัตินั้นจะเป็นความรู้ที่ไม่ชัดเจน สิ่งสําคัญคือผู้เรียนจะต้องเกิดกระบวนการเรียนรู้ซึ่งถือเป็นจุดที่สําคัญที่สุด และมีความซับซ้อนมากที่สุดเช่นกัน
ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจําวัน
เนื่องจากเป็นเครื่องมือสําคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลก นํามาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้น เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีการคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศและใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้น และมีวิสัยทัศน์ในการดําเนินชีวิต
ในสังคมปัจจุบันและสังคมโลกในศตวรรษที่ 21 เทคโนโลยีมีบทบาทสําคัญในการเรียนรู้มากขึ้นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากลได้กลายเป็นเครื่องมือสําคัญในการติดต่อสื่อสารผ่านทางเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งทางด้านการพูดและการเขียน โดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้ที่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษสามารถหาความรู้เพิ่มเติม โดยเข้าถึงแหล่งความรู้ซึ่งมีอยู่อย่างไม่จํากัดทั่วโลกด้วยความสะดวกและรวดเร็ว อีกทั้งในปัจจุบันเป็นยุคที่มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) กล่าวคือ ผู้ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษดีและสามารถใช้เทคโนโลยีได้ด้วยนั้นจะช่วยส่งเสริมให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารในการจัดการศึกษาด้านภาษาอังกฤษนั้นผู้สอนหากลวิธีที่จะสามารถพัฒนาความสามารถทางด้านภาษาของผู้เรียน เช่น ด้านการอ่านและการเขียนให้ดีขึ้น เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และพยายามให้มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ( Life-Long Learning) กระทรวงศึกษาศึกษาธิการมีนโยบายปฏิรูประบบการเรียนการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน
โดยเฉพาะทักษะทางด้านภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้เพื่อการพัฒนาตน ซึ่งนําไปสู่ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ ได้แนะแนวทางการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น และใช้กิจกรรมต่างๆหลากหลายชนิดเข้ามาช่วยในการดําเนินการสอน โดยครูผู้สอนต้องคํานึงถึงความสามารถ ความถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน ในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษผู้สอนต้องปรับเปลี่ยน และประยุกต์วิธีการสอนของตนเพื่อ สามารถเลือกวิธีสอน กิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนและจุดมุ่งหมายของการเรียนภาษาในแต่ละระดับชั้น ซึ่งทําให้การเรียนการสอนนั้นมีประสิทธิภาพ แนวคิดสําคัญที่ครูในศตวรรษที่ 21 ต้องเรียนรู้เพื่อนํามาจัดการเรียนการสอนมีดังต่อไปนี้คือ (กระทรวงศึกษาธิการ (2545, หน้า 144-145)
1. หลักสูตรภาษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ (Learner – Centered Language Curriculum)
2. การจัดการเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Teaching)
3. การสอนภาษาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (Language for Specific Purposes)
4. การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated Learning)
5. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
6. การจัดการเรียนการสอนแบบภาษาที่เน้นเนื้อหา (Content-Based Instruction)
7. การสอนภาษาแบบองค์รวม (Whole Language Approach)
8. การเรียนรู้ที่เน้นภาระงาน (Task-Based Language)
9. การสร้างองค์ความรู้ (Constructivism)
กระบวนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อให้การเรียนการสอนนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ครูผู้สอนต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ทักษะ กระบวนการ มีความสามารถ และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กําหนดมาตรฐานการเรียนรู้ครูต้องมีเทคนิค วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม เช่น การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) คือ วิธีการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการทํางานร่วมกัน เช่น การจัดกิจกรรมโต๊ะกลมเพื่อนําไปสู่การสอนคําศัพท์ไวยากรณ์การออกเสียงอย่างถูกต้องจนเกิดความเข้าใจในเนื้อหา สามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง แล้วจึงนําความรู้ที่ได้ไปฝึกในสถานการณ์จริง
ภาษาอังกฤษมีบทบาทในฐานะเป็นภาษาสากล การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นการพัฒนาทั้ง 4 ทักษะ คือทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่านและทักษะการเขียน ซึ่งทักษะทั้ง 4 ทักษะที่กล่าวมานั้น ทักษะการพูดเป็นทักษะที่สําคัญที่สุดเนื่องจากเป็นทักษะที่แสดงให้เห็นว่า ผู้พูดมีความรู้ในภาษาอย่างชัดเจน และเนื่องจากทักษะการพูดเป็นการถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ และความรู้สึกในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจําวัน
การที่ผู้เรียนใช้ภาษาได้ไม่ดีเพราะผู้เรียนไม่ได้อยูในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ขาดความคล่องแคล่วในโครงสร้างทางภาษาและสํานวนต่างๆ และขาดความเข้าใจในสภาพความเป็นจริงทางวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
การสอนภาษาตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร เป็นการจัดการเรียนการสอน ตามทฤษฎีการเรียนรู้ซึ่งเน้นความสำคัญของตัวผู้เรียน จัดลำดับการเรียนรู้เป็นขั้นตอนตามกระบวน การใช้ความคิดของผู้เรียน โดยเริ่มจากการฟังไปสู่การพูด การอ่าน การจับใจความสำคัญ ทำความเข้าใจ จดจำแล้วนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้
การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารมุ่งเน้นที่การพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการใช้ภาษา (Use) ตามความมุ่งหมายในสถานการณ์ต่างๆ และแม้จะให้ความสำคัญแก่ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา (Fluency) แต่ก็ไม่ได้ละเลยเรื่องความถูกต้องของภาษา (Accuracy) แต่อย่างใด
จุดมุ่งหมายของวิธีการจัดการเรียนรู้ตามแนวการจัดการเรียนรู้เพื่อการสื่อสารนี้ มุ่งให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษา เพื่อสื่อความหมายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสมกับสภาพสังคมมุ่งให้ผู้เรียนสามารถนำภาษาไปใช้ในสถานการณ์จริง โดยครูช่วยให้ผู้เรียนได้แสดงออก ทั้งทักษะการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน
ในช่วง ค.ศ.1975 ได้มีการเสนอแนวการจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสารขึ้น โดยมีความเชื่อว่าภาษาไม่ได้เป็นเพียงระบบไวยากรณ์ที่ประกอบด้วยเสียง คำศัพท์ โครงสร้างเท่านั้น แต่ภาษาคือระบบที่ใช้ในการสื่อสาร หรือสื่อความหมายได้ ดังนั้นการจัดการเรียนรู้ภาษาจึงควรจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนสามารถนำภาษาไปใช้ในการสื่อสาร หรือสื่อความหมายได้ นอกจากนั้นการสื่อสารเป็นกระบวนการอย่างหนึ่ง การรู้รูปแบบหน้าที่ และความหมายของภาษาเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ ผู้เรียนต้องสามารถนำความรู้ดังกล่าวไปใช้ได้จริง
การสอนภาษาต่างประเทศในปัจจุบัน ได้หันมายึดแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารมากขึ้นมีการจัดกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย ได้ฝึกใช้ภาษาในสถานการณ์ที่มีโอกาสพบจริงในชีวิตประจำวัน โดยยังคงให้ความสำคัญกับโครงสร้างไวยากรณ์ ตามที่ปรากฏอยู่ในเนื้อหาที่ใช้สื่อความหมาย ดังที่ ลิตเติลวูด ( Littlewood, 1983 ) กล่าวไว้ สรุปได้ว่า แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร เป็นแนวการสอนที่ไม่จำกัดความสามารถของผู้เรียนไว้เพียงแค่ความรู้ด้านไวยากรณ์เท่านั้น แต่สนับสนุนให้ผู้เรียนได้มีการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาทุกทักษะ โดยสัมพันธ์ความสามารถทางไวยากรณ์เข้ากับยุทธศาสตร์การสื่อสาร ด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเทศะ ในชีวิตจริงผู้เรียนต้องสัมผัสกับการสื่อสาร ซึ่งเป็นการใช้ภาษาในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย
ดังนั้นการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ควรสอนให้ผู้เรียนคุ้นกับการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน และนำภาษาที่คุ้นเคยนั้นไปใช้ได้ คำกล่าวนี้ สอดคล้องกับความเห็นของวิดโดสัน ( Widdowson, 1979 ) ที่ว่า ความสามารถในการเรียบเรียงประโยค มิใช่เป็นความสามารถในการสื่อสาร การสื่อสารจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถใช้ประโยคได้หลายชนิดในโอกาสต่างๆ กัน เช่น การอธิบาย การแนะนำ การถาม-ตอบ การขอร้อง การออกคำสั่ง เป็นต้น ความรู้ในการแต่งประโยคเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า ความรู้ความเข้าใจภาษาเท่านั้น มันอาจจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง แต่ถ้าจะให้เกิดประโยชน์มากที่สุดก็ต้องสามารถนำความรู้ไปใช้และนำประโยคไปใช้ให้เป็นปกติวิสัยได้ตามโอกาสต่าง ๆ ของการสื่อสาร
แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร
แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ตามคำจำกัดความที่ ดักกลาส บราวน์ ( H.Douglas Brown, 1993 ) เสนอไว้ มีลักษณะ 4 ประการ ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ดังนี้
4.1 เป้าหมายของการสอนเน้นไปที่ องค์ประกอบทั้งหมดของทักษะการสื่อสารและไม่จำกัดอยู่ภายในกรอบของเนื้อหาภาษาและไวยากรณ์
4.2 เทคนิคทางภาษาได้รับการออกแบบมาเพื่อนำผู้เรียนไปสู่การใช้ภาษาอย่างแท้จริงตามหน้าที่ภาษา และปฏิบัติจริงโดยมีจุดมุ่งหมายในการพูด รูปแบบโครงสร้างภาษามิใช่เป้าหมายหลัก แต่รูปแบบเฉพาะของภาษาต่างหากที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารจนสำเร็จตามเป้าหมาย
4.3 ความคล่องแคล่วและความถูกต้อง เป็นหลักการเสริมที่อยู่ภายใต้เทคนิคการสื่อสารมีหลายครั้งที่ความคล่องแคล่วอาจจะมีความสำคัญมากกว่าความถูกต้อง เพื่อที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถนำภาษาไปใช้ได้อย่างมีความหมาย
4.4 การเรียนการสอนภาษาตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารในตอนท้ายสุดผู้เรียนต้องใช้ภาษาอย่างเข้าใจและสร้างสรรค์ ภายในบริบทที่ไม่เคยฝึกมาก่อน จากแนวการสอนต่าง ๆ ดังกล่าว ทำให้เกิดแนวคิดในการสอนภาษา ว่าควรนำเสนอภาษาใหม่ในรูปแบบภาษาที่พบในสถานการณ์จริง เพื่อนำไปสู่การสอนคำศัพท์ โครงสร้าง การออกเสียง มีการฝึกฝนจนเกิดความเข้าใจในเนื้อหา โครงสร้าง สามารถใช้ได้ถูกต้อง แล้วจึงนำความรู้ที่ได้ไปฝึกใช้ในสถานการณ์ จริง แนวคิดนี้จึงการเป็นขั้นตอนการสอนของแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร
ลักษณะสำคัญของแนวการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารยึดหลักการสำคัญดังต่อไปนี้
1) Know what you are doing ในการเรียนรู้ภาษาแต่ละบทเรียนผู้เรียนควรจะได้รู้ และตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนว่า เขากำลังทำอะไร เพื่ออะไร หลังจากจบบทเรียน เราควรจะทราบว่าเขาสามารถใช้ภาษาที่ได้เรียนกับใคร หรือสถานการณ์ใดได้บ้าง การจัดเนื้อหาในการเรียนรู้ควรเป็น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ด้านการอ่าน เนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเข้าใจในคำชี้แจง หรือคำแนะนำให้ ทำสิ่งต่างๆ
ด้านการเขียน เนื้อหาเป็นเรื่องการจองห้องพักในโรงแรม
ด้านการพูด เนื้อหาเป็นการถามทิศทางของสถานที่ต่างๆ
ด้านการฟัง เนื้อหาเป็นเรื่องการพยากรณ์อากาศ
เมื่อจบบทเรียนแล้ว นักเรียนควรจะเห็นความสามารถในการใช้ภาษาที่เกิดขึ้นกับตนเองได้
ขั้นตอนในการดำเนินการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดขั้นตอนการสอน ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ซึ่งมี 3 ขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นนำเสนอ (Presentation) หมายถึง ครูเสนอเนื้อหาภาษาให้ผู้เรียน เข้าใจรูปแบบและความหมาย การนำเสนอภาษาจะนำสถานการณ์ที่ผู้เรียนสนใจมาช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของหัวข้อทางภาษาหรือรูปแบบภาษาที่ต้องการสอนในแต่ละบท มีการใช้คำถามนำเพื่อให้ผู้เรียนเข้าสู่หัวข้อทางภาษา เช่น การซักถามข้อมูลและรูปแบบภาษาที่จะสอน เป็นต้น จากนั้นครูจะเป็นผู้ชี้แนะให้ผู้เรียนสังเกตจากตัวอย่าง เน้นให้เห็นจุดสำคัญของรูปแบบประโยคเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของการใช้รูปแบบไวยากรณ์นั้น ๆ ได้ชัดเจนและถูกต้องยิ่งขึ้น
2) ขั้นฝึก (Practice) หมายถึง ครูให้ผู้เรียนฝึกภาษาที่เสนอในขั้นที่ 1 ใน กิจกรรมที่ครูเป็นผู้ให้แนวทางหรือควบคุมอยู่ การฝึกอาจอยู่ในรูปของสถานการณ์จำลองที่ครูสร้างขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกใช้รูปแบบภาษาที่นำเสนอ อาจเป็นการฝึกทั้งชั้นหรือในรูปกิจกรรมที่ผู้เรียนกระทำร่วมกันโดยครูเป็นเพียงผู้ควบคุมให้กิจกรรมดำเนินไปด้วยดีเท่านั้น กิจกรรมดังกล่าวมักเป็นกิจกรรมกลุ่มเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกฝึกได้ฝึกรูปแบบภาษาที่เรียนมาอย่างทั่วถึง การฝึกโดยใช้กิจกรรมจะช่วยให้ผู้เรียนเพลิดเพลิน และขณะเดียวกันได้มีโอกาสใช้ภาษาที่เรียนมาเพื่อสื่อสารจริง ๆ ซึ่งจะช่วยให้การฝึกมีความหมาย
3) ขั้นใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร (Production) หมายถึง ครูให้ผู้เรียนใช้ภาษาที่ฝึกมาบ้างแล้วจากขั้นที่ 2 ในกิจกรรมกลุ่มหรือกิจกรรมคู่ในทักษะต่าง ๆ โดยให้ผู้เรียนใช้ภาษาที่ได้ฝึกมาในรูปกิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งเอื้อต่อการใช้ภาษาที่สมจริงในขั้นใช้ ผู้เรียนจะมีโอกาสใช้ภาษามากขึ้น เนื่องจากกิจกรรมส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปกิจกรรมกลุ่ม หรือกิจกรรมคู่
การวัดและประเมินผลการเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร
การวัดและประเมินผลการเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนี้ทำได้หลายวิธ ทั้งโดยการทดสอบไม่มีการทดสอบ การวัดและประเมินผลโดยไม่มีการทดสอบนั้นอาจทำได้โดยการสังเกตความสนใจ ความเอาใจใส่แบบฝึกหัด การซักถามในเนื้อหา ตลอดจนความร่วมมือในการทำกิจกรรม ส่วนการวัดและประเมินผลโดยการทดสอบมักใช้แบบทดสอบที่ครูผู้สอนเป็นผู้จัดทำขึ้น
ลักษณะของการทดสอบความสามารถ ทางการสื่อสารว่า ควรเป็นการประเมินผลภาพรวมในรูปของทักษะสัมพันธ์ซึ่งเป็นการวัดความรู้หลายอย่างประกอบกัน โดยมุ่งวัดการใช้ภาษาในสภาพจริงหรือสถานการณ์จำลองที่สร้างขึ้นเลียนแบบสถานการณ์จริง ตัวอย่างข้อสอบแบบนี้ คือ การทดสอบความเข้าใจภาษาจากการฟัง พูด อ่านและเขียน จะเป็นข้อสอบแบบเติมคำลงในช่องว่าง การเขียนตามคำบอก การสัมภาษณ์หรือการเขียนเรียงความ สำหรับการทดสอบวัตถุประสงค์ย่อยนั้น การออกข้อสอบจะเป็นแบบเลือกตอบ แบบจับคู่ หรือเติมคำ ผู้สอนจะประเมินผลเป็นระยะแล้วปรับปรุงการเรียนหลายครั้งระหว่างภาคเรียนแล้วประเมินผลสรุปเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ในปลายภาคเรียนอีกครั้งหนึ่ง
สรุปได้ว่าการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนั้น ผู้สอนจะต้องคำนึงถึงการพัฒนาทักษะของผู้เรียนในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ จึงจำเป็นต้องใช้การวัดหลากหลายแบบเพื่อให้ครอบคลุมจุดมุ่งหมาย
จากปัญหาที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อการสื่อสารจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาการฟัง พูด อ่านและเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของผู้เรียน จึงนํากิจกรรมการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในรูปของวิธีการฝึกทักษะภาษาอังกฤษมาทดลองกับนักเรียนที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งจัดอยู่ในรายวิชาเพิ่มเติม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านสื่อสารภาษาอังกฤษ และเพื่อให้นักเรียนสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจําวันได้เป็นอย่างดี
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
การจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 เพื่อพัฒนาทักษะของผู้เรียนในด้านต่างๆ นั้น มีความจําเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษซึ่งมีหลายแนวคิดและกลวิธีที่จะช่วยสร้างความคิดที่เป็นระบบให้แก่ครูผู้สอน และพัฒนามโนทัศน์เกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อช่วยให้ครูผู้สอนตัดสินใจในการวางแผนการจัดการเรียนการสอน การเลือกกิจกรรมประกอบการเรียนการสอน การเลือกสื่อการเรียนรู้เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับผู้เรียน ซึ่งจะส่งผลให้การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.1 วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2561) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนลาดยาววิทยาคม ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561 ในเรื่องของมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของเนื้อหารายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
2.2 ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่เน้นการจัดการเรียนรู้แบบเน้นการสื่อสารโดยใช้รูปแบบ CLT
2.3 จัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้และสังเกตพฤติกรรมและการทำแบบฝึกหัด สะท้อนผลการจัดกิจกรรมเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ผู้เรียนมีทักษะภาษาอังกฤษมากขึ้น ในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
2.4 ครูผู้สอนนำกิจกรรมมาปรับปรุงแก้ไข
2.5 ครูผู้สอนสร้างแบบประเมินและแบบบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม
2.6 จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเน้นการสื่อสาร โดยใช้รูปแบบ Communicative Learning Teaching กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยปรับบริบทให้เหมาะสมกับห้องเรียน ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงโดยผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น ดังนี้
1. จัดกรรมการเรียนรู้ตามธรรมชาติของวิชา
2. จัดกิจกรรมอย่างหลากหลายและเหมาะสมกับผู้เรียน
3. ใช้สื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเนื้อหาและผู้เรียน
4. ใช้เครื่องมือวัดผลและประเมินผลอย่างเหมาะสม
5. วิเคราะห์ผู้เรียนรายบุคคล โดยผู้สอนจะดำเนินตามขั้นตอนดังนี้
1. วิเคราะห์ตัวชี้วัด หลักสูตรรายชั้นและวิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา เพื่อออกแบบหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทของผู้เรียนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะตามที่หลักสูตรกำหนด
กลวิธีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ในส่วนนี้ขอนําเสนอเกี่ยวกับกลวิธีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วยทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กิจกรรมและการใช้สื่อในขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร
1) การใช้สื่อเป็นของจริง (Authentic Materials) เพื่อการแก้ไขปัญหาซึ่งนักเรียน ไม่สามารถนำความรู้ในชั้นเรียนไปใช้ภายนอกได้ และเพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน เรียนภาษาอย่างเป็นธรรมชาติในสถานการณ์ต่างๆ วิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อการสื่อสารมักใช้สื่อจริงในการจัดการเรียนรู้ ครูอาจคัดข้อความที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์จริงๆ มาจัดการเรียนรู้ และให้การบ้านโดยให้นักเรียนฟังการพูดจากวิทยุ หรือโทรทัศน์จริงๆ การพยากรณ์อากาศ อย่างน้อยควรเป็นสื่อที่นำมาจากภาษาที่ใช้จริง อีกวิธีหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ได้คือ สื่อที่ไม่มีข้อความ หรือที่ไม่ต้องใช้ภาษามากนัก แต่ต้องสามารถนำมาอภิปรายได้อย่างกว้างขวางเช่น เมนูอาหาร ตารางเวลา เป็นต้น
2) การเรียงประโยคที่จัดวางอย่างสับสน (Scrambled Sentence ) นักเรียนได้อ่านข้อความอาจจะมาจากเรื่องที่นักเรียนเคยเรียนมาแล้ว ครูจะให้นักเรียนเรียบเรียงประโยคใหม่ให้ถูกต้องตามเนื้อเรื่องที่เรียนกิจกรรมนี้จะฝึกให้นักเรียนรู้เกี่ยวกับ Cohesion และ Coherence โดยเรียนรู้ว่าประโยคต่างๆ เชื่อมต่อกันได้อย่างไร ซึ่งเป็นการเรียนรู้อีกระดับหนึ่งทางภาษาศาสตร์ โดยต้องรู้การอ้างอิงย้อนหลัง ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการเชื่อมข้อความ ครูอาจให้นักเรียนเรียบเรียงประโยคในบทสนทนาใหม่ให้ถูกต้อง หรืออาจจัดชุดรูปภาพให้เป็นเรื่องราวและเขียนประโยคประกอบเรื่องขึ้น เป็นต้น
3) เกมทางภาษา (Language Games) มีการนำเกมมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร นอกจากผู้เรียนจะได้รับความสนุกสนานแล้วยังเป็นการฝึกการใช้ภาษาได้อย่างดียิ่ง เกมที่จะใช้ได้ดีต้องมีลักษณะ 3 ประการคือ
3.1) การหาข้อมูลที่ขาดหายไป (Information Gap) เกิดจากผู้พูดไม่ทราบว่าเพื่อนในชั้นจะทำอะไร ในสุดสัปดาห์นี้
3.2) ตัวเลือก (Choice) ผู้พูดมีตัวเลือกว่า จะคาดการณ์ว่าเพื่อนน่าจะทำอะไร และใช้คำพูดว่าอย่างไร
3.3) การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feed back) ผู้พูดจะได้รับข้อมูลย้อนกลับจากสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่ม ถ้าประโยคที่เขาใช้ไม่เป็นที่เข้าใจก็จะไม่ได้รับคำตอบจากคนอื่น ถ้าผู้พูดได้รับคำตอบก็แสดงว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นผู้อื่นเข้าใจ
4) ภาพชุดเรื่องราว (Picture Strip Story) มีหลายๆกิจกรรมที่ใช้ภาพชุดและได้นำเสนอไว้แล้วเกี่ยวกับกิจกรรมการเรียงประโยคที่สับสน ในกิจกรรมนี้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มได้รับภาพชุด คนหนึ่งในกลุ่มจะให้เพื่อนดูภาพแรก และให้ทายว่าภาพที่สองจะเกี่ยวกับอะไร เขามีตัวเลือก (Choice) ที่จะเลือกทายว่าภาพนั้นควรเป็นอะไร และจะใช้คำพูดในการทายว่าอย่างไรและจะได้รับข้อมูลป้อนกลับ (Feed back) อาจจะไม่ใช่รูปประโยคแต่เป็นลักษณะของภาพ ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้กับการคาดคะเนของเขา กิจกรรมนี้เป็นเพียงตัวอย่างของการใช้เทคนิคการแก้ปัญหาในการจัดการเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร เพราะมีลักษณะครบทั้ง 3 ประการดังกล่าว นอกจากนี้ผู้เรียนยังมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดและทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ และยังได้ฝึกสนทนาด้วย
5) บทบาทสมมติ (Role – play) เป็นกิจกรรมที่สำคัญในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เพราะผู้เรียนมีโอกาสฝึกสนทนาสื่อสารในสภาพสังคมต่างๆ และในฐานะต่างๆกัน ในการใช้บทบาทสมมุติผู้สอนจะกำหนดบทบาทของแต่ละคน โดยจะกำหนดว่าผู้เรียนจะแสดงเป็นใคร อยู่ในสถานการณ์อะไร จะพูดเกี่ยวกับอะไร แต่สิ่งที่จะพูดต้องคิดเอาเอง แบบหลังนี้เข้าถึงแนวคิดการจัดการเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร มากกว่า เพราะให้ตัวเลือก (Choice) ผู้เรียนมากกว่า บทบาทสมมุตินี้จะมีข้อมูลที่ขาดหายไป (Information Gap) เมื่อผู้เรียนไม่แน่ใจว่าผู้อื่นพูดอะไร ผู้เรียนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับ (Feed back) ให้เขาทราบว่าสิ่งที่เขาพูดสื่อสารนั้นเป็นอย่างไรด้วย
การจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อสื่อความหมายนี้มีข้อดีอยู่มากมายที่เห็นได้ชัด คือภาษาที่ผู้เรียนได้เรียนเป็นภาษาที่ใช้จริง ๆ ในการสื่อสารในสถานการณ์ที่เหมาะสม ไม่ใช่เรียนแล้วพูดกับชาวต่างประเทศไม่ได้หรือท่องบทสนทนาได้อย่างแม่นยำ แต่เมื่อคู่สนทนาพูดประโยคที่แตกต่างไปจากที่เคยท่องจำก็ไม่สามารถโต้ตอบได้นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้ ภาษาที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้ฝึกเองนั้น ผู้เรียนต้องทำงานเป็นกลุ่ม เขาจะเห็นความสำคัญของตนเอง และสนุกสนานเพลิดเพลินด้วย อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนรู้แบบนี้ ครูต้องเป็นผู้มีความสามารถทางภาษา และมีความเข้าใจในหลักการของการจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย รวมทั้งมีความสามารถทางภาษา และมีความเข้าใจในหลักการของการจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อสื่อความหมายรวมทั้งมีความสามารถทางด้านเทคนิค วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดี และสอดคล้องกับหลักการ จึงจะทำให้การจัดการเรียนรู้ประสบผลสำเร็จ
สรุปวิธีการจัดการเรียนรู้ ตามแนวการจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร จุดเน้นอยู่ที่การนำภาษาที่เรียนไปใช้ประโยชน์ได้ในสถานการณ์จริง ครูผู้จัดการเรียนรู้จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตลอดจนมีความสามารถในทักษะการฟัง การพูดภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีด้วย ซึ่งในคู่มือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ (2545) ได้กล่าวถึงหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มีแนวจัดการเรียนรู้เน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จัดสถานการณ์ และบรรยากาศการเรียนที่ให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษให้มากที่สุด โดยใช้รูปแบบและสื่ออุปกรณ์ที่หลากหลาย การจัดกิจกรรมจะผสมผสาน การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนเพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อ หรือประกอบอาชีพ นอกจากนี้ในการกำหนดสาระการเรียนรู้ของหลักสูตรของกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ในสาระที่ 3 ได้กล่าวถึง ภาษากับความสัมพันธ์ กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ที่มีการเชื่อมโยงหรือบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระ เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนา และเปิดโลกทัศน์ของตนเอง การจัดการเรียนการรู้แบบบูรณการมีประวัติและมีการพัฒนาตามลำดับ และนักการศึกษาได้นำมาใช้กับการจัดการเรียนการรู้อย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทย ได้เห็นความสำคัญและความจำเป็นของการจัดการเรียนการรู้แบบบูรณาการ
ทักษะการฟัง
การฟังเป็นทักษะที่ต้องฝึก เช่นเดียวกับการพูด การอ่านและการเขียน ผู้เรียนบางคนคิดว่าการฟังนั้นเป็น ทักษะที่ง่ายไม่จําเป็นต้องฝึกฝนก็สามารถฟังได้การฟังจะมีประโยชน์อย่างยิ่งก็ต่อเมื่อผู้ฟังรู้จักฟัง สิ่งสําคัญที่สุด สําหรับการฟังคือ ผู้ฟังต้องมีความตั้งใจเพื่อจะฟังให้เข้าใจและสามารถโต้ตอบกับสิ่งที่ฟังได้ผู้สอนควรสอนทักษะ การฟังให้แก่ผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอและเน้นการฟังอย่างหลากหลาย โดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฟังเสียงของเจ้าของ ภาษาและสอนเสียงที่เป็นปัญหา รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกการฟังทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ครูผู้สอนต้องอธิบายเหตุผลหรือวัตถุประสงค์ในการฟังให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีการฟังอย่างตั้งใจและประสบความสําเร็จในการฟัง สิ่งสําคัญเพื่อการฟังนั้นบรรลุวัตถุประสงค์การวัดและไม่เน้นการทดสอบ แต่ควรประเมิน ความสามารถในการฟังของผู้เรียนในแง่ของการประสบความสําเร็จในการสื่อสาร ในการสอนทักษะการฟังนี้โสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ (Audio Visual-Aids) เช่น เครื่องบันทึกเสียง รูปภาพ เป็นสิ่งที่มีความสําคัญและจําเป็นมากซึ่งจะช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผู้สอนอาจฝึกการฟังโดยให้ ผู้เรียนฟังคํา วลีประโยค หรือบทสนทนาง่ายๆ สั้นๆ ในห้องปฏิบัติการทางภาษา (Language Laboratory) หรือ เรื่องราวที่ใช้ในชีวิตประจําวัน ฟังเสียงเพลงภาษาอังกฤษทั้งทางสื่อ Streaming ต่างๆ
การสอนทักษะการฟังเป็นการพัฒนาความสามารถการฟังที่ต้องอาศัยระยะเวลาการฝึกฝนที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ เป็นทักษะที่จะเกิดขึ้นได้เองโดยอัตโนมัติ หน้าที่ๆ สําคัญอันหนึ่งของครูผู้สอนภาษาคือ การนําเอาวิธีการหรือ เทคนิคที่จะฝึกการฟัง มาสอนผู้เรียน เพื่อให้นักเรียนได้เกิดประโยชน์ในการเรียนภาษาอังกฤษมากที่สุด โดยมี ลําดับขั้นตอนจากง่ายไปหายากดังนี้
1. เริ่มต้นด้วยการฟังคําเดี่ยว ฟังวลีและประโยคซึ่งผู้สอนต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนแสดงออกใน ลักษณะต่างๆ กันเช่น การปฏิบัติตามคําสั่ง วาดรูป เล่นเกม บอกทิศทางตามแผนที่ ทั้งนี้อาจให้สังเกตการเน้นหนัก เบาในคํา และระดับเสียงสูงต่ำในประโยค
2. การฟังโดยพยายามเชื่อมโยงคําต่างๆ ที่ได้ยินเป็นกลุ่มที่มีความหมายเพื่อให้จําง่ายเช่น พยายามสร้าง จินตนาการจากคําเป็นภาพอาจจะเป็นภาพที่สวยงามหรือตลกเพื่อให้จําสิ่งที่ฟังได้นานขึ้นและเกิดความสนใจที่จะ ฟังต่อไป
3. การฟังเรื่องสั้นๆ ซึ่งอาจมีคําศัพท์และโครงสร้างที่ผู้เรียนมีความรู้เดิม โดยที่ผู้สอนให้สรุปเหตุการณ์ว่า ใครทําอะไร ที่ไหน อย่างไร
4. การฟังบทสนทนาหรือข้อความต่างๆ ควรเป็นบทสนทนาหรือข้อความที่ใช้ในชีวิตประจําวันและ เป็นธรรมชาติเพื่อให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับภาษาที่ใช้อยู่จริง
ทักษะการพูด
การพูดเป็นการถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจและความรู้สึกให้ผู้ฟังได้รับรู้และเข้าใจจุดมุ่งหมายของผู้พูด การพูดเป็นองค์ประกอบสําคัญมากในการเรียนภาษา เนื่องจากการพูดทําให้ทราบว่าผู้พูดใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ หรือไม่ การสอนทักษะการพูดในปัจจุบันจึงมุ่งเน้นให้นักเรียนใช้ทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องสถานการณ์จริง ในการจัดการเรียนการสอนทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารนั้น ผู้เรียนจะต้องสื่อความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจ วัตถุประสงค์ของตนเองที่จะพูด และผู้สอนต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงออกทางภาษาโดยใช้สถานการณ์ต่างๆ ซึ่งคํานึงถึงความสามารถในการสื่อความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจได้อย่างถูกต้อง ทักษะการพูดไม่ได้ยึดความถูกต้องตาม หลักไวยากรณ์เพียงอย่างเดียว การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทักษะการพูดเพื่อการสื่อสาร ผู้สอนต้องจัดบรรยากาศการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการเรียนรู้เน้นกระบวนการสอนมากกว่ารูปแบบของการสอน สอนจากสิ่งที่ง่ายไปสู่สิ่งที่ยาก เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการฝึกปฏิบัติจัดกิจกรรมและใช้สื่อการสอนที่หลากหลาย และให้กําลังใจโดยการชมเชยเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจและมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน
ทักษะการอ่าน
ทักษะการอ่านที่สําคัญในการศึกษาทุกระดับ เนื่องจากการเรียนวิชาต่างๆ ทั้งในและนอกห้องเรียนต้องใช้ การอ่านเป็นสื่อในการเรียนรู้ โดยเฉพาะในการเรียนภาษาเพราะผู้เรียนมีโอกาสใช้ทักษะ ฟัง พูด และเขียนน้อย กว่าทักษะการอ่าน ดังนั้นการอ่านจึงเป็นเครื่องมือสําคัญในการนําไปสู่การแสวงหาความรู้ทั้งปวง กระบวนการอ่านเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับหลายๆด้าน ครูผู้สอนต้องหากลวิธีการเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอนด้านการอ่าน โดยตระหนักถึงกลวิธีการเรียนรู้และจัดประสบการณ์ด้านการฝึกอย่างทักษะการอ่านอย่างเป็นระบบ การสร้างแรงจูงใจในการอ่านให้แก่ผู้เรียน ตลอดจนควบคุมและกํากับ ตนเองในด้านการใช้กลวิธีการเรียนให้แก่ผู้เรียน ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรม ในการสอนอ่าน ดังนี้
1. กิจกรรมก่อนการอ่าน (Pre-reading Activities) ผู้สอนต้องหาวิธีสร้างแรงจูงใจในการอ่านให้แก่ผู้เรียน ซึ่งจะมีกิจกรรม เช่น การคาดคะเนเรื่องที่อ่าน การเดาความหมายของคําศัพท์จากบริบท โดยดูจากประโยค ข้างเคียงหรือรูปภาพ เป็นต้น
2. กิจกรรมระหว่างการอ่าน (While-reading Activities) ผู้เรียนต้องทําความเข้าใจโครงสร้างและเนื้อหา ในเรื่องที่อ่าน กิจกรรมในขั้นนี้เช่น การลําดับเรื่องจากการตัดเรื่องออกเป็นส่วนๆ (Strip Story) การเขียนแผนผัง ความสัมพันธ์ในเรื่อง (Semantic Mapping) การเติมข้อความลงในแผนผัง (Graphic Organizer) และการเล่า เรื่องโดยสรุป
3. กิจกรรมหลังการอ่าน (Post-reading Activities) เป็นการตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียน กิจกรรม อาจโยงไปสู่ทักษะอื่น เช่น การแสดงบทบาทสมมติเขียนเรื่องหรือโต้ตอบจากจดหมายพูดแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน การอ่านไม่ใช่การสื่อความหมายจากตัวอักษรที่ปรากฏเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่เกิดจาก การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้อ่านและผู้เขียน หากผู้อ่านมีความรู้หรือประสบการณ์เดิมในเรื่องที่อ่าน จะช่วยในการแปล ความหมายได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากเรื่องที่อ่านนั้นผู้อ่านไม่เคยพบเห็นมาก่อน ผู้อ่านก็ยิ่งต้องใช้ความพยายามใน การหาความหมายจากสิ่งที่อ่านมากขึ้นเท่านั้น อาจจะใช้วิธีการเดาจากบริบทหรือสิ่งชี้นําที่ปรากฏในข้อความ ซึ่งถ้าผู้อ่านรู้จักนํากลวิธีต่างๆ มาใช้ในการอ่านได้อย่างถูกวิธีผู้อ่านก็จะเข้าใจข้อความได้ดียิ่งขึ้นและทําให้บรรลุจุดประสงค์ในการอ่าน
ทักษะการเขียน
การเขียนเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับข้อความที่ปรากฏตามตัวอักษร คําศัพท์ไวยากรณ์ที่ได้รับการเรียบเรียงไว้อย่างถูกต้อง และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียนที่จะสื่อสารไปยังผู้อ่าน กล่าวสรุปได้ว่า การเขียนเป็นกระบวนการของการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนออกมา โดยใช้สัญลักษณ์ตัวอักษรซึ่งผู้เขียน จะต้องเรียบเรียงความคิดอย่างเป็นระบบและถูกต้องตามโครงสร้างและไวยากรณ์ของการเขียน เพื่อสื่อความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจ แนวการสอนเขียนมี 5 รูปแบบ คือ
1. แนวการสอนเขียนแบบอิสระ (Free-Writing Approach) ในการสอนเขียนวิธีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ฝึกให้ผู้เรียนเขียนข้อมูลหรือเนื้อหาจนเกิดความคล่องแคล่วมากกว่าการเน้นรูปแบบงานเขียนและความถูกต้องของการใช้ภาษา กิจกรรมการสอนเขียนจึงอยู่ในรูปของการเขียนเช่น การเขียนบันทึกประจําวัน การเขียนวิธีนี้ผู้เขียนต้องเขียนถ่ายทอดความคิดให้มากที่สุด โดยไม่ต้องคํานึงถึงความถูกต้องของหลักไวยากรณ์กิจกรรมเหล่านี้มุ่งเน้นการพัฒนาความเชื่อมั่นในการเขียนให้เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงค่อยให้ความสําคัญต่อหลักเกณฑ์การเขียนและการใช้ภาษา
2. แนวการสอนเขียนแบบเน้นรูปแบบอนุเฉท (Paragraph-Pattern Approach) การสอนเขียนแนวนี้เน้นความถูกต้องของการใช้ภาษา ตลอดจนการเรียบเรียงเนื้อความ โดยการใช้ตัวอย่างงานเขียนมาให้ผู้เรียนได้ศึกษาในระดับอนุเฉท แล้วให้ผู้เรียนเลียนแบบการเขียนอนุเฉทชนิดต่างๆกิจกรรมจึงอยู่ในรูปของการฝึกเขียนประโยค เพื่อรวมเป็นอนุเฉท ตลอดจนการฝึกหาประโยคหลัก (Topic Sentence) และประโยคสนับสนุน (Supporting Sentence) ของเนื้อเรื่อง
3. แนวการสอนเขียนแบบเน้นการเรียบเรียงไวยากรณ์และวากยสัมพันธ์ (Grammar Syntax Organization Approach) การสอนจะเริ่มต้นจากการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้องค์ประกอบที่สําคัญของประโยครูปแบบกริยาและการวางแผนการเขียน โดยเน้นลําดับเหตุการณ์ก่อนหลัง เป็นต้น โดยเชื่อว่าการเขียนที่ดีเกิดจากความสามารถในการนําองค์ประกอบที่สําคัญของภาษามารวมกัน แล้วสื่อความหมายได้
4. แนวการสอนเขียนแบบเน้นการสื่อสาร (Communicative Approach) เป็นการสอนที่เน้นการคํานึงถึงการสร้างเนื้อหาที่ใช้ในชีวิตประจําวัน ดังนั้นจึงให้ความสําคัญต่อวัตถุประสงค์ในการเขียนและผู้อ่านมาก กิจกรรมจึงอยู่ในรูปของการกําหนดบทบาทหรือคําถามที่ว่า ทําไมจึงต้องเขียนและใครเป็นผู้อ่าน โดยกิจกรรมจะมุ่งเน้นและฝึกให้นักเรียนได้เขียน หรือคํานึงถึงโลกทัศน์ของผู้อ่าน
5. แนวการสอนเขียนแบบเน้นกระบวนการ (Process Approach) ครูจะสอนให้นักเรียนให้ความสําคัญต่อคําถามที่ว่า วัตถุประสงค์ในการเขียนคืออะไร ใครคือผู้อ่าน จะเขียนอย่างไร จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร โดยในการเขียนนักเรียนจะต้องได้รับข้อมูลย้อนกลับ จากเพื่อนและครูการสอนเขียนแนวนี้จะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงออกซึ่งประสบการณ์ของตนตลอดจนการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน โดยมีครูเป็นผู้อํานวยความสะดวกในการเรียนรู้ ในการสอนทักษะเขียนเพื่อการสื่อสารนั้น ครูผู้สอนจึงจําเป็นต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ออกคําสั่ง อธิบาย อ่านให้ฟัง บอกให้จด เปลี่ยนมาเป็นชี้แนะแนวทางให้ผู้เรียน อํานวยความสะดวก จัดกิจกรรมการเรียนให้แก่ผู้เรียนโดยใช้กิจกรรมหลายๆ แบบมาประกอบการสอน เพื่อให้เกิดความสนุกสนานและความกระตือรือร้นในการเรียนรู้
3. ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
1. ผู้เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 60 มีความมั่นใจในการใช้ทักษะทางภาษาอังกฤษในการฟัง พูด อ่านและเขียนมากขึ้น
2. ผู้เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 60 ได้พัฒนาทักษะทางภาษาในการฟัง พูด อ่านและเขียนมากขึ้น
3.2 เชิงคุณภาพ
1. ผู้เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีความมั่นใจในการใช้ทักษะทางภาษาอังกฤษในการฟัง พูด อ่านและเขียนมากขึ้น และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้
2. ผู้เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้พัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษในการฟัง พูด อ่านและเขียนมากขึ้น และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้