หน่วยที่ 9
การเขียนรายงานเชิงวิชาการและการเขียนประวัติย่อ
หัวข้อเรื่อง
๑. ความหมายของรายงานเชิงวิชาการ
๒.ส่วนประกอบของการเขียนรายงานเชิงวิชาการ
๓.ขั้นตอนในการเขียนรายงานเชิงวิชาการ
๔.ความสำคัญของการเขียนประวัติย่อ
๕. เทคนิคการเขียนประวัติย่อ
หลักการเขียนรายงานเชิงวิชาการ
การเขียนรายงานเชิงวิชาการ
ตัวอย่างการเขียนประวัติย่อ
ใบความรู้การเขียนรายงานเชิงวิชาการ
หลักการเขียนรายงานเชิงวิชาการ
ความหมายของการเขียนรายงานเชิงวิชาการ
รายงานทางวิชาการหมายถึง งานเขียนทางวิชาการที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆโดยศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร จากการสำรวจ การสังเกต การทดลอง ฯลฯแล้วนำมารวบรวมวิเคราะห์ เรียบเรียงขึ้นใหม่ ตามโครงเรื่องที่ได้วางไว้โดยมีหลักฐานและเอกสารอ้างอิงประกอบ
ส่วนประกอบของการเขียนรายงานเชิงวิชาการ
รายงานเชิงวิชาการมีส่วนประกอบที่สำคัญ3 ส่วน คือ ส่วนนำ ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนท้ายมีรายละเอียดดังนี้
1. ส่วนนำประกอบด้วย
1.1 ปกนอกคือส่วนที่เป็นปกหุ้มรายงานทั้งหมด มีทั้งปกหน้าและปกหลังกระดาษที่ใช้เป็นปกควรเป็นกระดาษแข็งพอสมควร สีใดก็ได้ข้อความที่ปรากฏบนปกนอกดูได้ตามตัวอย่างที่ได้แสดงไว้
1.2 ใบรองปกคือ กระดาษเปล่า 1 แผ่นอยู่ต่อจากปกนอก เพื่อความสวยงาม และเป็นเครื่องช่วยป้องกันไม่ให้เสียหายถึงปกในหากปกฉีกขาดเสียหายไป
1.3 ปกในคือ ส่วนที่อยู่ต่อจากปกนอกนิยมเขียนเหมือนปกนอก
1.4 คำนำคือส่วนที่อยู่ถัดจากหน้าปกใน ผู้เขียนรายงานเป็นผู้เขียนเอง โดยกล่าวถึงวัตถุประสงค์และขอบเขตของรายงาน อาจรวมถึงปัญหา อุปสรรคในการศึกษาค้นคว้าทำรายงานตลอดจนคำขอบคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในการรวบรวมข้อมูล หรือการเขียนรายงาน (ถ้ามี)ให้ลงท้ายด้วยชื่อผู้จัดทำรายงาน หากมีหลายคนให้ลงว่าคณะผู้จัดทำ และลงวันที่กำกับ
1.5 สารบัญคือ ส่วนที่อยู่ต่อจากหน้าคำนำในหน้าสารบัญจะมีลักษณะคล้ายโครงเรื่องของรายงาน ทำให้ผู้อ่านได้ทราบว่าขอบเขตเนื้อหาของรายงานครอบคลุมเรื่องใดบ้าง ในหน้านี้ให้เขียนคำว่าสารบัญไว้กลางหน้า ข้อความในหน้าสารบัญจะเริ่มต้นจากคำนำ หัวข้อใหญ่ หัวข้อรองและหัวข้อย่อย ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญ ๆ ของรายงาน เรียงตามลำดังเรื่องและท้ายสุดเป็นรายการอ้างอิงที่ใช้ประกอบการเรียบเรียงรายงาน ข้อความในหน้าสารบัญควรเขียนห่างจากขอบซ้ายของหน้ากระดาษประมาณ 1.5 นิ้วและด้านขวาจะมีเลขหน้าแจ้งให้ทราบว่าแต่ละหัวข้อเริ่มจากหน้าใดหน้าสารบัญควรจัดทำเมื่อเขียนรายงานเสร็จแล้วเพื่อจะได้ทราบว่าแต่ละหัวข้อเริ่มจากหน้าใดบ้าง
2. ส่วนเนื้อเรื่องเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของรายงาน ผลงานการศึกษาค้นคว้าจะนำมาเสนอตามโครงเรื่องที่ได้กำหนดไว้ โดยก่อนเริ่มต้น ควรมีการเกริ่นเรื่องและจบเนื้อเรื่องด้วยบทสรุป เนื้อหาที่เขียนนั้นจะต้องเขียนอย่างมีหลัดเกณฑ์หรืออ้างอิงหลักวิชาแสดงความคิดที่เฉียบแหลมและลึกซึ้ง ส่วนประกอบที่แทรกในเนื้อหานั้นอาจแบ่งได้ดังนี้
2.1 อัญประภาษ (Quotation)คือข้อความที่คัดมาจากคำพูด หรือข้อเขียนของผู้อื่นมาไว้ในรายงานของตนหรืออีกอย่างหนึ่งว่า "อัญพจน์"วิธีการเขียนมีดังนี้
2.1.1ก่อนหน้าที่จะนำอัญประภาษมาแทรกไว้ ควรกล่าวนำไว้ในเนื้อเรื่องบ้างว่าเป็นคำของใครสำคัญอย่างไรจึงได้คัดลอกเข้ามาไว้ในที่นี้
2.1.2ท้ายอัญประภาษต้องใช้เลขกำกับและให้ตัวเลขนั้นตรงกับเชิงอรรถ
2.1.3ถ้าเป็นการถอดใจความ หรือเก็บใจความไม่ต้องใช้เครื่องหมายอัญประกาศและนับว่าเป็นอัญประภาษรอง (Indirect Quotatin) แต่ก็ให้ใส่เชิงอรรถไว้เช่นเดียวกัน
2.1.4 อัญประภาษที่สั้นกว่า 4 บรรทัด เขียนแทรกไว้ในคำบรรยายของรายงานได้เลยโดยไม่ต้องย่อหน้า และใส่เครื่องหมาย "…………" (อัญประกาศด้วย)
2.15 อัญประภาษที่ยาวกว่า 4 บรรทัด ให้ย่อหน้าขึ้นใหม่แล้วต้องย่อหน้าเข้ามาสามช่วงตัวอักษรพิมพ์ทุกบรรทัดและให้ห่างจากขอบหลังเป็นระยะเท่ากัน
2.1.6ใช้อัญประกาศเดี่ยว ('……….') สำหรับข้อความที่คัดลอกมาซ้อนอยู่ในอัญประภาษ
2.1.7ถ้าคัดลอกร้อยกรองมามากกว่า 2 บรรทัด ให้วางบทประพันธ์ไว้กลางหน้ากระดาษโดยไม่ต้องใส่อัญประกาศ
2.1.8 ถ้าคัดลอกบทประพันธ์ที่ไม่สงวนสิทธิ์ให้เขียนหรือพิมพ์ชื่อผู้ประพันธ์ไว้ใต้บทประพันธ์นั้นแทนที่จะเขียนหรือพิมพ์ไว้ใต้เชิงอรรถ
2.1.9ถ้าต้องการละข้อความบางตอนในอัญประภาษนั้น ให้ใช้จุดไข่ปลา 3 จุดแทนไว้การละข้อความเช่นนี้ควรระวังอย่าให้ข้อความทั้งหมดเสียไป
2.2 การอ้างอิงแบบเชิงอรรถ (Footnotes)เชิงอรรถเป็นข้อความซึ่งบอกที่มาของข้อความที่นำมาอ้างประกอบการเขียนรายงานหรืออาจจะเป็นข้อความที่ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำ หรือข้อความในรายงานก็ได้ถ้าแบ่งตามประโยชน์ที่ใช้ เชิงอรรถจะมี 3 ประเภทด้วยกันคือ
2.2.1 เชิงอรรถอ้างอิงหมายถึงเชิงอรรถที่ใช้บอกแหล่งที่มาของข้อความที่นำมาเป็นหลักฐานประกอบการเขียนเพื่อแสดงว่า สิ่งที่นำมาอ้าง ในรายงานนั้น ไม่เลื่อนลอยและผู้อ่านรายงานจะตัดสินใจได้ว่า ข้อความที่นำมาอ้างนั้นน่าเชื่อถือเพียงใดดังตัวอย่าง พระยาอนุมานราชธน, แหลมอินโดจีนโบราณ (พระนคร : คลังวิทยา, 2479), หน้า 305.
2.2.2 เชิงอรรถอธิบายหมายถึงเชิงอรรถซึ่งอธิบายความที่ผู้เขียนรายงานคิดว่า จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านอาจจะเป็นคำนิยมหรือความหมายของศัพท์ที่ผู้ทำรายงานประสงค์จะให้ผู้อ่านทราบเพิ่มเติมก็ได้ดังตัวอย่างลัทธิความน่าจะเป็น หมายถึงลัทธิความเชื่อหนึ่งที่เชื่อว่า มีความเป็นไปได้ หรือมีทางเป็นไปได้ที่จะทำนายลำดับก่อนหลัง ที่แน่นอนของ เหตุการณ์โดยอาศัยประสบการณ์ในอดีตเป็นพื้นฐาน
2.2.3 เชิงอรรถโยงหมายถึงเชิงอรรถที่แจ้งให้ผู้อ่านดูข้อความที่เกี่ยวข้องกันที่หน้าอื่นในรายงานฉบับนั้นหรือในที่อื่นๆ เพราะเรื้อหาอาจจะ สัมพันธ์กันหรือเกี่ยวเนื่องกัน หรือช่วยให้เข้าใจเนื้อหาในตอนนั้นๆ ได้ดีขึ้นแทนที่จะกล่าวซ้ำความเดิมก็ใช้เชิงอรรถประเภทนี้ระบุให้ผู้อ่านอ่านพลิกไปอ่านข้อความดังกล่าวเพิ่มเติม
วิธีเขียนเชิงอรรถ
การเขียนเชิงอรรถมีหลายแบบหลายวิธีสถาบันต่างๆ มักจะกำหนด หลักเกณฑ์การเขียนเฉพาะไว้ต่างๆ กันฉะนั้นในการเขียนรายงายแต่ละครั้งจะต้องตัดสินใจเสียก่อนว่าจะใช้แบบใดให้สอดคล้องกับความต้องการของสถาบันที่จะทำรายงานส่งเมื่อตกลงใจว่าจะใช้แบบใดแล้วก็ควรจะยึดถือหลักเกณฑ์ของแบบนั้นๆตลอดทั้งฉบับ
หลักเกณฑ์ในการเขียนเชิงอรรถ
1.ตำแหน่งที่จะเขียนเชิงอรรถ ส่วนใหญ่มักจะนิยมเขียนท้ายหน้าแต่ละหน้าเว้นระยะห่างจากตัวเรื่องพอสมควร โดยขีดเส้นขั้นไว้ใต้ข้อเขียนหรืออาจจะรวมเชิงอรรถทั้งหมดเขียนไว้ท้ายบทหรือต่อจากบทสุดท้ายของรายงานก็ได้
2.การลงเครื่องหมายเชิงอรรถ อาจจะใช้เครื่องหมายต่างๆ เช่น * และ **ที่เหมือนกันกำกับท้ายความที่ต้องการอธิบายและหน้าเชิงอรรถ แต่ที่นิยมใช้มากคือใส่เครื่องหมายกำกับให้ตรงกันการเรียงหมายเลขอาจจะขึ้นเลข 1ทุกครั้งที่ขึ้นหน้าใหม่ หรือขึ้นเลขหนึ่งทุกครั้งที่ขึ้นบทใหม่ หรือขึ้นเลข 1เพียงครั้งเดียวตอนเริ่มทำรายงาน แล้วลำดับเลข 2,3,4 ฯลฯตามลำดับจนจบรายงานก็ได้ การเขียนตัวเลขหน้าเชิงอรรถนี้ควรเขียนในระดับเหนืออักษรตัวแรกของข้อความในเชิงอรรถ
3.เมื่อเริ่มเขียนเชิงอรรถ ให้ย่อหน้าเข้าไปตรงกับย่อหน้าเนื้อหาโดยประมาณหากข้อความในเชิงอรรถยาวเกินกว่า 1 บรรทัดเมื่อขึ้นบรรทัดต่อไปให้เรียงข้อความเยื้องมาทางด้านหน้าของบรรทัดแรกให้อยู่ในระดับตรงกับเนื้อหาข้อความในรายงาน
4.การลงเชิงอรรถชนิดที่บอกแหล่งที่มาของข้อความต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับชื่อผู้แต่ง ชื่อหนังสือ รายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือ (ถ้ามี) จังหวัดที่พิมพ์ โรงพิมพ์หรือสำนักพิมพ์ (ถ้าหนังสือเล่มใดมีทั้งโรงพิมพ์และสำนักพิมพ์ ให้ใช้ชื่อสำนักพิมพ์และไม่ต้องเขียนคำว่า "สำนักพิมพ์" แต่ถ้ามีเพียงโรงพิมพ์ ให้ใช้ชื่อโรงพิมพ์โดยเขียนคำว่าโรงพิมพ์ด้วย) ปีที่พิมพ์และหน้าที่คัดออกมา
การอ้างอิงเชิงอรรถของข้อความในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งคัดลอกมาจากหนังสืออีกเล่มหนึ่งมีวิธีเขียน 2 แบบ คือ
1.ถือเล่มเดิมเป็นหลักฐานที่สำคัญ ดังตัวอย่าง
เจือ สตะเวทิน, สุนทรภู่ (กรุงเทพฯ : สุทธิสารการพิมพ์, 2516), หน้า 121, อ้างถึงใน สมบัติ พลายน้ำ, "ประวัติชีวิตพรสุนทรโวหาร (ภู่)," อนุสรณ์สุนทรภู่ 200 ปี, จัดพิมพ์โดยสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย (กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๙), หน้า 49
2.ถือเอกสารใหม่เป็นหลักฐานที่สำคัญ ดังตัวอย่างสมบัติ พลายน้ำ "ประวัติชีวิตพระสุนทรโวหาร (ภู่)," อนุสรณ์สุนทรภู่ 200 ปี, จัดพิมพ์โดยสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย (กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2529), หน้า 49อ้างจาก เจือ สตะเวทิน, สุนทรภู่ (กรุงเทพฯ : สุทธิสารการพิมพ์, 2516), หน้า 121
การเขียนเชิงอรรถของหนังสือที่เคยอ้างมา
1.เมื่ออ้างเอกสารเดิมซ้ำติดต่อกันโดยไม่มีเอกสารอื่นมาคั่นและตอนที่อ้างถึงเป็นคนละหน้ากับเอกสารเดิม ตัวอย่างเรื่องเดียวกัน, หน้า 20 ในกรณีอ้างครั้งแรกกับครั้งที่สองห่างกันหลายหน้าแม้จะไม่มีเอกสารอื่นคั่นแต่เพื่อไม่ให้ผู้อ่านต้องเปิดย้อนกลับไปหาชื่อเดิมดังตัวอย่างประทีปเหมือนนิล, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, หน้า 101
2.เมื่ออ้างถึงเอกสารเดิมแต่ไม่อ้างติดต่อกันในทันทีเพราะมีเอกสารอื่นคั่นและการอ้างนั้นเป็นคนละหน้ากับที่ได้อ้างไว้แล้ว ตัวอย่างวิมล ไทรนิ่มนวล, เรื่องเดิม, หน้า 50 ในกรณีที่อ้างถึงเอกสารที่มีผู้แต่งคนเดียวกันแต่งไว้หลายเรื่องดังตัวอย่างวิมล ไทรนิ่มนวล, คนจน, หน้า 18
3.เมื่ออ้างถึงเอกสารเดิมซ้ำในหน้าเดียวกันโดยไม่มีเอกสารอื่นคั่นดังตัวอย่างเรื่องเดียวกันหน้าเดียวกันในกรณีที่มีเอกสารอื่นคั่นและต้องการอ้างถึงข้อความในหน้าเดียวกันอีกครั้งหนึ่งดังตัวอย่าง
อาจินต์ ปัญจพรรค์, เรื่องเดียวกันหน้าเดียวกัน.
2.3 การอ้างอิงแบบแทรกปนในเนื้อหาการอ้างอิงแบบนี้เป็นอ้างอิงที่มาของข้อความแทรกไปในเนื้อหาของรายงานการอ้างอิงแบบนี้ ได้รับความนิยมมากกว่า การอ้างอิงแบบเชิงอรรถเพราะสะดวกในการเขียนมี 2 แบบ คือ
2.3.1 ระบบนามปีจะระบุชื่อผู้แต่ง ปีที่พิมพ์ และหน้าที่อ้าง เช่นวรรณคดีเปรียบเสมือนเรื่องแสดงภาพชีวิต คามคิด จิตใจ อุดมคติ หรือความนิยมความต้องการของมนุษย์ วรรณคดีในอดีตเป็นเครื่องบันทึกสภาพดังกว่าเช่นเดียวกับวรรณกรรมปัจจุบันเป็นส่วนบันทึกความเป็นไปในปัจจุบัน
(กุหลาบมัลลิกะมาส. 2520 : 152-153)
2.3.2ระบบหมายเลข จะระบุหมายเลขตามลำดับเอกสารที่อ้างและหน้าที่อ้าง เช่นอุปมาโวหารคือ กระบวนความเปรียบเทียบ ใช้แทรกในพรรณนาโวหาร เพื่อช่วยให้ข้อความแจ่มชัดคมคาย (1 :139-140)
3. ส่วนท้ายเป็นส่วนที่ทำให้รายงานน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ ประกอบด้วย
3.1 บรรณานุกรม (Bibiogecphy) หมายถึงรายชื่อเอกสารต่างที่ใช้ประกอบในการทำรายงาน โดยให้รายละเอียดต่างๆเช่นเดียวกับเชิงอรรถ แต่มีวิธีเขียนที่แตกต่างกันเล็กน้อยบรรณานุกรมนี้จะเขียนไว้ท้ายเล่มโดยแยกตามประเภทของเอกสารดังต่อไปนี้
3.1.1หนังสือ (และบทความในหนังสือ)
3.1.2 บทความ (บทความในวารสาร, หนังสือ, สารานุกรม)
3.1.3 เอกสารอื่นๆ (วิทยานิพนธ์, จุลสาร, หนังสืออัดสำเนาต่างๆ )
3.1.4 บทสัมภาษณ์
เอกสารแต่ละประเภทต้องเรียงลำดับตามตัวอักษรตัวแรกของชื่อผู้แต่งหรือชื่อเรื่อง (ในกรณีที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง)
ในกรณีที่มีเอกสารอ้างอิงไม่มากจะใช้วิธีเรียงลำดับตามลำดับอักษรชื่อผู้แต่งหรือชื่อเรื่องโดยไม่แยกประเภทเอกสารก็ได้
3.2ภาคผนวกเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ดียิ่งขึ้นรายละเอียดเพิ่มเติมนี้ไม่เหมาะที่จะรวมไว้ในส่วนของรายงานเพราจะทำให้เนื้อเรื่องมีรายละเอียดมากเกินไป เช่น ตารางข้อมูล สถิติต่างๆ กฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ภาคผนวกนี้จะไม่มีในรายงานก็ได้
การเขียนบรรณานุกรม
การเขียนบรรณานุกรมจากหนังสือ เขียนได้ 2 รูปแบบ ดังนี้
แบบที่ 1
ผู้แต่ง.//ชื่อเรื่อง. //พิมพ์ครั้งที่.//สถานที่พิมพ์:/สํานักพิมพ์,/ปีพิมพ์.
สุกัญญา รอส. วัสดุชีวภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 2.//พิษณุโลก : สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2560.
แบบที่ 2
ผู้แต่ง.//(ปีพิมพ์).//ชื่อเรื่อง. //พิมพ์ครั้งที่.//สถานที่พิมพ์:/สํานักพิมพ์.
สุกัญญา รอส.//(2560). วัสดุชีวภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 2.//พิษณุโลก : สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยนเรศวร.
การเขียนบรรณานุกรมจากอินเทอร์เน็ต
แบบ ก
ผู้แต่ง./ / ชื่อเรื่อง./ / [ประเภทของสื่อ]. / / รายละเอียดทางการพิมพ์ (ถ้ามี). / /
เข้าถึงได้จาก / : /แหล่งสารสนเทศ. / / (วันที่ค้นข้อมูล / : / วัน / เดือน / ปี).
แบบ ข
ผู้แต่ง. / / (ปีที่พิมพ์ / ผลิต,/ วัน / เดือน). / / ชื่อเรื่อง. / / [ประเภทของสื่อ]. / / รายละเอียด
ทางการพิมพ์ (ถ้ามี). / / เข้าถึงได้จาก / : / แหล่งสารสนเทศ. / /
(วันที่ค้นข้อมูล / : / วัน / เดือน /ปี).
ตัวอย่าง
แบบ ก
พิมลพรรณ พิทยานุกูล. วิธีสืบค้นวัสดุสารสนเทศ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http : // www.lib.buu.ac.th. (วันที่ค้นข้อมูล : 16 กันยายน 2546).
แบบ ข
เรวัติ ยศสุข. "ผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนอันตราย." ฉลาดซื้อ. [ออนไลน์]. 6(6) ; กุมภาพันธ์ - มีนาคม 2546. เข้าถึงได้จาก : http : / /www.kalathai.com/think/view_hot. ?
article_id 16. (วันที่ค้นข้อมูล : 20 มิถุนายน 2547)
ใบงาน
จงเขียนประวัติส่วนตัวภาษาไทยตามหัวข้อที่กำหนดให้ให้ครบถ้วน
เขียนประวัติย่อภาษาไทย
ชื่อ…………….....................................................................................................................................................……………………
ที่อยู่ปัจจุบัน………………………...........................................................................................................................………………….
ข้อมูลส่วนตัว…………………………………………………….…………………………………………….……………………….
………………….…………………………....................................................................................................…………………….
อายุ…………………………………
วัน เดือน ปีเกิด …….................................................................................……………………………
ศาสนา …………………………………
น้ำหนัก …………………………………
ส่วนสูง …………………………………
สัญชาติ …………………………………
เชื้อชาติ …………………………………
สถานภาพ…………………………………
สุขภาพ …………………………………
การศึกษา…………………………………………………….…….
…….…………………………………………………………...........…........................………………………………………………………….………
ประสบการณ์…………………………………………………………........................…………………………………………………..…….…………
………………………………………………………………...................................................................................................................................…...
คุณสมบัติพิเศษ………………………………………
ความสนใจพิเศษ …………………………………
บุคคลที่จะตรวจสอบประวัติและความประพฤติ…………………………………
ชื่อ……………………………เบอร์โทร.……………………..............………
ชื่อ……………………………เบอร์โทร.…………………..............…………
ชื่อ……………………………เบอร์โทร.……………….............……………