ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย
อันดับโรคของงานผู้ป่วยใน โรงพยาบาลบางแพ ที่สำคัญ ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง ที่มาเป็นอันดับ1ทุกรอบปี โรคไข้เลือดออก ที่เป็นโรคสำคัญของพื้นที่เมื่อมีการระบาดมักมีคนไข้มาพักที่โรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก และโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งถือว่าเป็นโรคสำคัญเพราะทำให้เกิดการเสียชีวิตหรือเกิดความพิการได้ นอกจากนั้นโรคมะเร็ง ก็เป็น1ใน Top 5อันดับโรค โดยเฉพาะโรคมะเร็งปอดที่มีสาเหตุการตายในโรคมะเร็งมากที่สุด
ดังนั้นเราจึงควรมีความรู้ในการป้องกันตนเองไม่ให้เกิดโรค และหากเมื่อเกิดโรคแล้ว ก็มีความรู้ในการดูแลตนเองรวมทั้งการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
โรคอุจจาระร่วง
อุจจาระร่วง คือ อาการที่อุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำที่เกิดขึ้นบ่อย ฉับพลัน โดยอย่างน้อย คือ 3ครั้งต่อวัน มีอาการปวดท้อง ปวดบิด คลื่นไส้ มีลมในท้อง หรือท้องอืด อาการอุจจาระร่วงที่หายภายในไม่กี่วัน เรียกว่า อุจจาระร่วงเฉียบพลัน สำหรับในกรณีที่เป็นนานมากกว่านั้น คือ อุจจาระร่วงเรื้อรัง สามารถเป็นได้นานถึงสัปดาห์หรือเดือน ซึ่งเป็นอาการที่นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและควรที่จะต้องได้รับการดูแล
สาเหตุของโรคอุจจาระร่วงได้ ได้แก่
- ไวรัส แบคทีเรีย พยาธิ
- ผลข้างเคียงจากยา
- โรคลำไส้บางชนิด เช่น Celiac disease, Crohn's disease และโรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome หรือ IBS)
ถ้าเป็นอุจจาระร่วงแล้วต้องทำอย่างไร?
อุจจาระร่วงเฉียบพลัน สามารถรอให้ระบบทางเดินอาหารกลับมาเป็นปกติ ระหว่างที่รอให้อาการดีขึ้นนั้น ควรทำสิ่งต่อไปนี้
- ดื่มน้ำมากๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า น้ำซุป น้ำผลไม้ หรือ เครื่องดื่มเกลือแร่
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมอาหารที่มัน
- เลี่ยงกาแฟ
- เลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่น้ำตาลสูง
ทานอาหารอ่อนๆ เช่น ขนมปังแคร๊กเกอร์ กล้วย ขนมปังปิ้ง ข้าวที่ไม่ปรุงรส ถ้าสังเกตได้ว่าอาหารชนิดไหนทำให้อาการแย่ลง ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้น
เมื่อไหร่อาการอุจจาระร่วงควรต้องไปพบแพทย์?
ในคนที่มีอาการอุจจาระร่วงเรื้อรัง ซึ่งสามารถทำให้เกิดการขาดสารอาหารได้เพราะร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างปกติ การตรวจอุจจาระเพื่อดูการติดเชื้อแบคทีเรีย พยาธิ หรือไวรัส แพทย์จะสามารถจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อให้การักษาในกรณีที่อาการอุจจาระร่วงไม่ดีขึ้นเองภายในไม่กี่วัน
ภาวะอุจจาระร่วงเรื้อรังที่เป็นนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ควรที่จะต้องได้ตรวจโดยแพทย์ ถ้าอาการเป็นเรื้อรังหลายสัปดาห์อาจจะทำให้มีอาการขาดน้ำที่รุนแรงได้ ในบางกรณีอาจจะจำเป็นที่จะต้องได้รับสารน้ำทนแทนทางหลอดเลือดดำจนกว่าอาหารอุจจาระร่วงจะสามารถควบคุมได้ ในขณะเดียวกัน ภาวะอุจจาระร่วงสามารถทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ในเด็กและเด็กมักจะเกิดอาการขาดน้ำได้รุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น ไม่ควรที่จะลังเลที่จะพบกุมารแพทย์ ถ้าเด็กมีอาการอุจจาระร่วงต่อเนื่องและมีอาการแสดงของขาดน้ำ
อาการขาดน้ำสังเกตได้โดย มีปากแห้ง ตาโหล ปัสสาวะออกน้อย และอ่อนเพลีย แต่อย่างไรก็ตามถ้าอาการอุจจาระร่วงเป็นนานติดต่อหลายวัน มีอาการปวดรุนแรง มีไข้ หรืออาการขาดน้ำ ควรพบแพทย์
ไข้เด็งกี่และไข้เลือดออก
ไข้เด็งกี่
คือ โรคติดเชื้อที่อาจมีอาการรุนแรงถึงแก่ชีวิต อาการคล้ายหวัด หรือไม่แสดงอาการเลย เชื้อเด็งกี่สามารถแบ่งได้เป็นชนิดย่อย 4 ชนิด เราสามารถติดเชื้อแต่ละชนิดได้เพียงครั้งเดียว แต่ภูมิที่สร้างขึ้นไม่สมบูรณ์ทำให้คุณยังสามารถติดเชื้อกลุ่มอื่นได้ โดยความเสี่ยงในการติดเชื้อไข้เลือดออกขั้นรุนแรงจะเพิ่มขึ้นในแต่ละครั้งที่ติดเชื้อ
อาการแสดงของไข้เด็งกี่ มักแสดงอาการระหว่าง 3-14 วันหลังถูกยุงมีเชื้อกัด ได้แก่
- ไข้
- ปวดหัวและเจ็บบริเวณกระบอกตา
- เจ็บกล้ามเนื้อและข้ออย่างมาก
- เหนื่อยมาก
- ผื่นขึ้น 2-5 วันหลังเป็นไข้
- อาจมีเลือดออกจากผิวหนังหรือทางจมูก
- อุจจาระสีเลือด หรือมีเลือดประจำเดือนมากเป็นพิเศษ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อาการทางระบบหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ และจมูกตัน
อาการเหล่านี้มักคงอยู่ประมาณ 3-7 วันหลังไข้ขึ้น มักจะมีอาการดีขึ้นหรือหากแย่ลงกรณีเป็นโรคติดเชื้อเด็งกี่ชนิดรุนแรง หรือเรียกว่า ไข้เลือดออก ได้แก่อาการ
- ปวดท้องหรือกดเจ็บที่ท้อง
- อาเจียนต่อเนื่อง
- เฉื่อยช้าหรือกระสับกระส่าย
- เลือดออกตามเหงือกหรือมีเลือดกำเดา
- ตับโต
- มีของเหลวสะสมในปอดหรือในท้อง
ไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกเป็นการติดเชื้อเด็งกี่แบบรุนแรงที่สุด โดยจะมีลักษณะสำคัญทางคลินิก 4 แบบ ได้แก่
- มีการซึมผ่านของผนังหลอดเลือดมากขึ้น ทำให้มีพลาสมารั่วไปตามเนื้อเยื่อรอบ ๆ และเลือดข้นขึ้นจากการขาดพลาสมาในหลอดเลือด
- มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
- มีไข้นาน 2-7 วัน
- กดเจ็บบริเวณที่มีเลือดออก
อาการที่เป็นอันตรายถึงชีวิตของไข้เลือดออกไม่ใช่การเสียเลือดจากเลือดออก แต่เป็นการเสียของเหลวภายในหลอดเลือดไปยังเนื้อเยื่อรอบ ๆ ทำให้ของเหลวในหลอดเลือดจะไม่มีเหลือเพียงพอให้เลือดไหลเวียนได้ดี ภาวะที่มีการสูญเสียความสามารถในการไหลเวียนเลือดที่ดี เรียกว่า ภาวะช็อก ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
การรักษา
รักษาตามอาการเช่นเดียวกับการรักษาโรคจากไวรัสทั่วไป การให้ยาแก้ปวดที่ไม่ทำให้เลือดไหลมากขึ้น เช่น พาราเซตามอล
การให้สารน้ำทางหลอดเลือดอาจให้เพื่อป้องกันภาวะช็อก แต่ต้องตรวจสอบเลือดให้แน่ใจก่อนว่าการให้สารน้ำจะไม่ทำให้ผู้ป่วยอาการแย่ลง
มะเร็งปอด
โรคมะเร็งปอดจะค่อย ๆ เกิดขึ้นเมื่อโรคนั้นลุกลามไปเรื่อย ๆ และโดยปกติจะไม่มีอาการแสดงหรืออาการใด ๆ ในระยะแรกของโรค
อาการ
- อาการไออย่างยาวนาน และแย่ลงเรื่อย ๆ
- การติดเชื้อในทรวงอกอย่างถาวร
- ไอเป็นเลือด
- ปวดหรือเจ็บเมื่อหายใจหรือไอ
- หายใจหอบถี่อยู่เสมอ
- เมื่อยล้า หรือหมดแรงอยู่ตลอดเวลา
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เป็นไข้ อุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- กลืนลำบากหรือปวดเมื่อกลืนอาหาร
- หายใจดังเสียงวี้ด
- เสียงแหบแห้ง
- พบการบวมที่ใบหน้าหรือลำคอ
- เจ็บบริเวณหน้าอกและไหล่อย่างไม่ทุเลา
สาเหตุ
การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า กรณีส่วนใหญ่ของโรคมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ แต่ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ก็สามารถเป็นโรคมะเร็งปอดได้
การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับโรคมะเร็งปอด และเป็นสาเหตุของ 85% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดทั้งหมด
ควันบุหรี่ประกอบไปด้วยสารพิษมากกว่า 60 ชนิดซึ่งสามารถนำไปสู่การเกิดมะเร็งได้ สารเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็น สารก่อมะเร็ง
ควันบุหรี่มือสอง
แม้คุณจะไม่สูบบุหรี่แต่การได้รับควันบุหรี่จากคนรอบข้างเป็นประจำหรือเรียกว่า การสูบบุหรี่มือสองหรือควันบุหรี่มือสองก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดได้ จากการวิจัยพบว่าผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ซึ่งใช้ชีวิตในบ้านเดียวกับสามีที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ที่อาศัยกับสามีที่ไม่สูบบุหรี่ได้ถึง 25%
การสัมผัสมลพิษ
การสัมผัสกับสารเคมีและผลิตภัณฑ์หลายชนิดใช้ในบางอาชีพและอุตสาหกรรมมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคมะเร็งปอดเล็กน้อย สารเคมีเหล่านี้ประกอบด้วย:
- สารหนู แร่ใยหิน ธาตุเบริลเลียมธาตุแคดเมียม ควันของถ่านหินและถ่านโค้ก ธาตุซิลิกา ธาตุนิกเกิล น้ำมันดีเซล ธาตุกัมมันตภาพรังสีเรดอน
พยาธิสภาพ การได้รับการกระตุ้นจากสารก่อมะเร็ง เช่น สารทีก่อความระคายเคืองในควันยาสูบ ทำให้เกิดการอักเสบระคายเคืองของเนื้อเยื่อซ้ำๆ จนดีเอ็นเอของเซลล์ในทางเดินหายใจถูกทำลาย ทำให้เซลล์เจริญอย่างไม่เป็นระเบียบ มีจำนวนเซลล์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก หากเกิดที่หลอดลมใหญ่ก้อนมะเร็งที่มีขนาดใหญ่จะอุดตันหลอดลมและแพร่กระจายไปยังผนังหลอดลม เนื้อปอด ขั้วปอด และต่อมน้ำเหลืองช่องทรวงอก
การวินิจฉัยโรค มีประวัติสูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่จากบุคคลใกล้ชิด มีการสัมผัสกับสารพิษเคยมีอาการไอ มีเสมหะ หายใจลำบาก จากการถ่ายภาพรังสีทรวงอกจะพบก้อนมะเร็ง
การรักษา
- การผ่าตัด
- เลเซอร์
- รังสีรักษา
- เคมีบำบัด
โรคหลอดเลือดสมอง
เป็นอาการป่วยที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ต้องได้รับการรักษาในทันที
โรคหลอดเลือดสมองจะเกิดขึ้นเมื่อเลือดที่นำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองถูกกีดขวาง โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) เป็นการเจ็บป่วยที่ฉับพลัน หากสมองไม่มีออกซิเจน เซลล์สมองจะเริ่มตายภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที
โรคหลอดเลือดสมองมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ:
- ภาวะสมองขาดเลือด ซึ่งภาวะนี้มีสาเหตุมาจากลิ่มเลือดอุดตัน
- ภาวะเลือดออกในสมอง มีสาเหตุมาจากการมีเลือดออกในหรือรอบๆสมอง
ภาวะสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke)
มีผู้ป่วยที่มีภาวะสมองขาดเลือดคิดเป็น 78% ของคนที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด ภาวะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีลิ่มเลือดไปอุดตันการไหลเวียนของเลือดที่ถูกส่งไปยังสมอง
มีความเป็นไปได้อยู่ 2 ทางที่จะทำให้เกิดภาวะนี้:
1. ลิ่มเลือดก่อตัวในเส้นเลือดที่คอหรือสมองซึ่งจะทำให้เส้นเลือดแคบลงเนื่องจากมีการสะสมของคราบจุลินทรีย์ที่เกิดมาจากการรวมตัวกันของไขมันคอเรสเตอรอล และสารอื่นๆที่สร้างขึ้นภายในเยื่อบุชั้นในของผนังหลอดเลือดแดง
2. ลิ่มเลือดสามารถแตกตัวออกมาจากเส้นเลือดที่ใดที่หนึ่งในร่างกายและเคลื่อนไปยังสมองซึ่งอาจไปติดอยู่ในหลอดเลือดเล็กๆในสมอง ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า ภาวะ embolism
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบจากลิ่มเลือดอุดตัน(Ischemic Stroke)
สาเหตุเกิดจากมีลิ่มเลือดเกิดในหลอดเลือดแดงและมีการปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดและการส่งออกซิเจนไปยังส่วนของสมอง เป้าหมายการรักษาคือฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองโดยเร็วที่สุด อาจมีการใช้ยาหลายตัวที่โรงพยาบาลเพื่อช่วยสลายลิ่มเลือดและป้องกันการเกิดลิ่มเลือดใหม่
ตัวอย่างยาที่ใช้รักษาเช่น:
- ยาสลายลิ่มเลือด
- Aspirin ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดใหม่
- Anticoagulants: เช่นHeparin สามารถใช้ป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดได้ด้วย
ภาวะเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke)
ภาวะเลือดออกในสมอง (hemorrhagic stroke) เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดที่ไม่แข็งแรงในสมองแตกและมีเลือดไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อสมองโดยรอบ ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะทำให้มีความดันต่อเซลล์เม็ดเลือดในเนื้อเยื่อโดยรอบมากเกินไป ทำให้เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงอวัยวะและก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้นั่นเอง ความดันโลหิตสูงเรื้อรังก็อาจทำให้ผนังเส้นเลือดแดงอ่อนลงได้ ทำให้ปมเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะแตกมากขึ้นนั่นเอง ประมาณ 13% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมดมีภาวะเลือดออกในสมอง
การรักษาภาวะเลือดออกในสมอง (hemorrhagic stroke)
- การควบคุมความดันเลือด
- การหยุดยาที่เป็นสาเหตุทำให้เลือดออกได้ (เช่น warfarin, aspirin)
- การให้เลือดที่เพิ่มยาช่วยเลือดแข็งตัว เพื่อหยุดภาวะเลือดไหลต่อเนื่อง
- ทำการวัดความดันภายในสมองโดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า ventriculostomy ซึ่งสอดเข้าไปในกะโหลกศีรษะ
- การผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะเส้นเลือดตีบเนื่องจากเลือดออกในสมอง