Title
การพัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC)
Title Alternative
Curriculum development on learning management for the 21st century using professional learning community approach
Creator
Name: ชุลีพร สุระโชติ
Subject
Classification :.DDC: 375.001
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) 2) เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) 3) เพื่อประเมินหลักสูตรการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จำนวน 30 คน ได้มาโดยการกำหนดกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) 2) แบบทดสอบความรู้การจัดการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) 3) แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ 4) แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้ 5) แบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) 6) แบบวัดเจตคติที่มีต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) 7) แบบประเมินหลักสูตรการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชน แห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) ที่ประกอบด้วย เหตุผลและความสำคัญ หลักการของหลักสูตร จุดมุ่งหมาย ของหลักสูตร โครงสร้าง/ เนื้อหา แนวคิดและทฤษฎี กระบวนการพัฒนาครู กิจกรรมการฝึกอบรม สื่อประกอบ การอบรม การประเมินผลหลักสูตร และเอกสารประกอบการอบรม โดยการประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญพบว่า ทุกองค์ประกอบของหลักสูตรมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก 2) หลักสูตรมีคุณภาพตามเกณฑ์ จากผลการประเมินผู้เข้ารับการอบรม คือ (2.1) ความรู้ของครูในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) หลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2.2) ความสามารถของครูในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ความสามารถของครูในการจัดการเรียนรู้ ในภาพรวมอยู่ในระดับดี และความสามารถของครูในการปฏิบัติกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก (2.3) เจตคติของครูที่มีต่อการพัฒนา การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC) อยู่ในระดับมาก ทุกข้อ 3) การประเมินหลักสูตรการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ อยู่ในระดับมากทุกข้อ
อัญชลี เรือนแก้ว . (2560). การพัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (PLC)(วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา, มหาวิทยาลัยบูรพา).
Title
แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
Creator
Name: พระศวัสกร ธีรปญฺโญ
Organization : ผู้วิจัย
Subject
keyword: no
Description
Abstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ 2) เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับโรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยรูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเครื่องมือ คือ แบบสอบถามจากประชากรจำนวน 100 รูปและแบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คนสถิติ คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้ทั้ง 5 ด้านโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านเนื้อหา ด้านทักษะการใช้สื่อการเรียนรู้ ด้านครูสอน และด้านทักษะการเรียนรู้ตามลำดับ 2. วิธีการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับโรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษาโดยพัฒนาศักยภาพตัวเอง ค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ มีเนื้อหาสาระที่ทันสมัย สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ มุ่งไปที่ให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง มีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้สื่ออย่างมีประโยชน์กระบวนการวัดและประเมินผลควรมีหลากหลายรูปแบบ 3. แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับโรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูกับนักเรียน มีความรู้และเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ เพิ่มพูนและส่งเสริมทักษะเบื้องต้นที่จำเป็นของผู้เรียนได้เหมาะสม เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ มีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติ มีสื่อที่กระตุ้นความสนใจและความเข้าใจให้แก่ผู้เรียนเก็บรวบรวมหลักฐานและข้อมูลทางการศึกษาของผู้เรียน เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบตามองค์ความรู้ TCL2M Modelเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
พระศวัสกร ธีรปญฺโญ. (2560). แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
(วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต (พุทธบริหารการศึกษา) , มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).
Title
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำกับพฤติกรรมตามกฎลูกเสือของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 4
Title Alternative
The Study of Relationship between Leadership Styles and Scout Rule Behaviors of school Directors under Ubon Ratchathani Educational Area Service Office 4
Creator
Name: อานุสิน สีชนะ
Subject
keyword: กฏลูกเสือ
ThaSH: ภาวะผู้นำ
Classification :.DDC: 371.201
ThaSH: ผู้บริหารโรงเรียน -- พฤติกรรม
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำ กับพฤติกรรมตามกฎลูกเสือ ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานีเขต 4 ตามความคิดเห็นของข้าราชการครู โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นข้าราชการครูโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 จำนวน 320 คน ซึ่งกลุ่มตัวอย่าง ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นจำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ โรงเรียนที่เปิดสอนช่วงชั้นที่ 1-2 (โรงเรียนประถมศึกษา)จำนวน 156 คน โรงเรียนที่เปิดสอนช่วงชั้นที่ 1-3 (โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา) จำนวน 92 คน และ โรงเรียนที่เปิดสอนช่วงชั้นที่ 3-4 (โรงเรียนมัธยมศึกษา) จำนวน 72 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามชนิดเลือกตอบ เติมคำ และแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำกับพฤติกรรมตามกฎลูกเสือของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 มีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง .44 ถึง .53 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์รายแบบพบว่า ภาวะผู้นำแบบมุ่งความสำเร็จมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมตามกฎลูกเสือสูงสุด รองลงไปได้แก่ ภาวะผู้นำแบบสนับสนุน ภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วม และภาวะผู้นำแบบชี้นำ ตามลำดับ 2. ระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 อยู่ในระดับมาก ทั้ง 4 แบบ เมื่อพิจารณาเป็นรายแบบพบว่า ภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วม มีระดับภาวะผู้นำสูงสุด รองลงไปได้แก่ ภาวะผู้นำแบบสนับสนุน ภาวะผู้นำแบบชี้นำและภาวะผู้นำแบบมุ่งความสำเร็จ ตามลำดับ 3. ระดับพฤติกรรมตามกฎลูกเสือของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 อยู่ในระดับมาก ทุกข้อ เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า พฤติกรรมตามกฎลูกเสือ ข้อ 2 มีระดับสูงสุด รองลงไปได้แก่ พฤติกรรมตามกฎลูกเสือข้อ 7 พฤติกรรมตามกฎลูกเสือข้อ 6 พฤติกรรมตามกฎลูกเสือข้อ 8 พฤติกรรมตามกฎลูกเสือข้อ 5 พฤติกรรมตามกฎลูกเสือข้อ 4 พฤติกรรมตามกฎลูกเสือข้อ 3 พฤติกรรมตามกฎลูกเสือ ข้อ 10 พฤติกรรมตามกฎลูกเสือข้อ 9 และพฤติกรรมตามกฎลูกเสือข้อ 1 ตามลำดับ
อานุสิน สีชนะ. (2551). การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำกับพฤติกรรมตามกฎลูกเสือของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 4
(วิทยานิพนธ์การบริหารการศึกษา , มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี).
สุสัณหา ยิ้มแย้ม
อำไพ จารุวัชรพาณิชกุล
จันทรรัตน์ เจริญสันติ
อภิรัช อินทรางกูร ณ อยุธยา
ปิยะนุช ชูโต
นงลักษณ์ เฉลิมสุข
Keywords: การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน, ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21, การวิจัยและพัฒนา
Abstract
การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเป็นการเรียนในห้องเรียนและนอกห้องเรียนซึ่งมีรูปแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น ตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน ที่น่าจะเหมาะสมสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โครงการวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และเพื่อเปรียบเทียบคะแนนทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21ก่อนและหลังจากการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน รวมทั้งศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสาน การดำเนินงานแบ่งเป็น 2 ระยะ ซึ่งระยะแรกเป็นการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับกระบวนวิชาการพยาบาลมารดา ทารกแรกเกิดและการผดุงครรภ์ 2 โดยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลที่เคยเรียนกระบวนวิชานี้ จำนวน 9 คน เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน จากนั้นคณะผู้วิจัยร่วมกันพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ ส่วนระยะที่สองเป็นการทดลองใช้และประเมินผลการใช้การเรียนรู้แบบผสมผสานที่พัฒนาขึ้น โดยการสอบถามกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลที่กำลังเรียนกระบวนวิชานี้ที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จำนวน 131 คน โดยใช้แบบประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานครั้งนี้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบค่าที
ผลการศึกษานี้ได้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน สำหรับกระบวนวิชาการพยาบาลมารดาทารกแรกเกิดและการผดุงครรภ์ 2 ที่ประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งบรรยายและอภิปรายกลุ่มในชั้นเรียน พร้อมกับการมอบหมายงานทั้งงานกลุ่มและเป็นรายบุคคลให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองการจัดทำรายงาน การใช้ระบบเครือข่ายค้นคว้าและทำแบบฝึกหัดท้ายบท การใช้บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สื่อมัลติมีเดีย หลังการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานคะแนนทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียนสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานในทุกทักษะอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.001 และผู้เรียนพึงพอใจต่อวิธีการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานในระดับมากถึงมากที่สุดทั้งโดยรวมและในแต่ละวิธีการเรียนรู้
ข้อเสนอแนะจากการวิจัยนี้คือ ควรมีการพัฒนาการจัดการเรียนแบบผสมผสานสำหรับกระบวนวิชาอื่นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกระบวนวิชาชีพการพยาบาล เพื่อช่วยทำให้ผู้เรียนเข้าใจในเนื้อหาที่ยากได้ดีขึ้นและยังสามารถใช้เพื่อศึกษาทบทวนด้วยตนเองได้ตลอดเวลาตามความต้องการ
สุสัณหา ยิ้มแย้ม,อำไพ จารุวัชรพาณิชกุล,จันทรรัตน์ เจริญสันติ,อภิรัช อินทรางกูร ณ อยุธยา,ปิยะนุช ชูโต และนงลักษณ์ เฉลิมสุข (2558). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. ปีที่ 42. ฉบับที่พิเศษ พฤศจิกายน 2558 ; หน้า 129-140
อัสสกัลย์ บุรุษเกิด
-
พระมหาไกรวรรณ์ ชินทตฺติโย
คำสำคัญ: การบริหารจัดการชุมชน, ผู้บริหาร, การพัฒนาการจัดการเรียนรู้, ศตวรรษที่ 21
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 3) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารและครูสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 จำนวน 67 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธีวิเคราะห์สมการถดถอยแบบขั้นตอน
อัสสกัลย์ บุรุษเกิด และพระมหาไกรวรรณ์ ชินทตฺติโย (2558). การบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาสังกัดในสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1. มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย . ปีที่ 21. ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2566
ฐิติกานต์ แก้ววิเศษ Thitikarn Kaeowiset
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยแบบเชิงรุกโดยใช้วรรณคดีเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 และเพื่อศึกษาความ พึงพอใจของครูและนักเรียนต่อแนวการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยแบบเชิงรุกโดยใช้วรรณคดีเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัย คือ ครูผู้สอนวิชาภาษาไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิทยานุกูลนารี เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐาน แบบประเมินความสอดคล้องแนวการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยแบบเชิงรุก และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อคู่มือแนวทางการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยเชิงรุก สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และความสอดคล้อง
ผลการวิจัยพบว่า 1. ได้พัฒนาแนวการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยแบบเชิงรุกโดยใช้วรรณคดีเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้ทั้งหมด 7 แนวการจัดการเรียนรู้ ซึ่งทุกแนวการจัดการเรียนรู้ ได้ผ่านการประเมินความสอดคล้องของแนวทางการจัดการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ โดยมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด เฉลี่ย 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.00 2. ผลการใช้แนวทางการจัดการเรียนรู้ด้านความพึงพอใจของครูและนักเรียนพบว่า ครูและนักเรียนมีความพึงพอใจต่อคู่มือแนวทางการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีความพึงพอใจในด้านกิจกรรมการเรียนรู้ มากที่สุด รองลงมาคือด้านการนำไปใช้ ประโยชน์และด้านเนื้อหา ตามลำดับ นอกจากนี้แนวการจัดการเรียนรู้ยังช่วยส่งเสริมความสามารถในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนโดยมีการพัฒนาในด้านการทำงานร่วมกัน ด้านความคิดสร้างสรรค์ ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และ ด้านการแก้ปัญหา ตามลำดับ
ฐิติกานต์ แก้ววิเศษ (2565).การพัฒนาแนวการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยแบบเชิงรุกโดยใช้วรรณคดีเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1.มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์.ปีที่ 42. ปีที่ 17.ฉบับที่ 3 กันยายน - กันยายน 2565; หน้า 67 - 80
ThaiEd Research 🌺
: นางสาว วรรณวิษา อารีวโรดม
: ศึกษานิเทศก์
: ประถม - มัธยมศึกษา
: 2564
: 97
บทคัดย่อ (Abstract)
การพัฒนาครูให้สามารถจัดการเรียนรู้สู่ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้องอาศัยกระบวนการการพัฒนาฝึกอบรมเพื่อปรับเปลี่ยนกรอบแนวคิด (Mindset) และวิธีการในการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษาในโลกปัจจุบัน ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้เรียนเป็น นักเรียนรู้ที่สร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ การนิเทศการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้เชิงระบบ ทั้งยังเป็น การพัฒนานวัตกรรมด้านการจัดการเรียนรู้ของครูเป็นสำคัญ ผู้ศึกษาจึงขอนำเสนอรายงานการประเมินโครงการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สู่ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (The Twenty First Century Skills) ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 โดยมี
วัตถุประสงค์ดังนี้ เพื่อประเมินโครงการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สู่ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (The Twenty First Century Skills) ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 และเพื่อศึกษาผลจากการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning ของครูวิชาการที่มีต่อการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในสถานศึกษา ประชากรที่ศึกษาคือ ครูวิชาการโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 จำนวน 63 คน เป็นการศึกษาโดยใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods) ทั้งเชิงปริมาณ (Quantitative) และเชิงคุณภาพ (Qualitative) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) และแบบสอบถามปลายเปิด
ผลการศึกษาพบว่า
1. ด้านสภาพแวดล้อม (Context) พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วน ด้านปัจจัยนำเข้า (Input) โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2. ด้านกระบวนการ (Process) พบว่า ขั้นวางแผนติดต่อประสานงาน (Plan : P) ขั้นตอนการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Do : D) และขั้นตอนการตรวจสอบกิจกรรม (Act : A) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
3. ขั้นตอนการนิเทศติดตาม (Check : C) พบว่า ด้านการวางแผน (Plan : P) ด้านการให้ความรู้ (Informing : I) ด้านการดำเนินงาน (Do : D) ด้านการสร้างเสริมขวัญกำลังใจ (Reinforcing : R) และด้านการประเมินผล (Evaluate : E) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
4. ด้านผลผลิต (Product) พบว่า บทบาทผู้เรียน : เมื่อครูผู้สอนจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning และบทบาทครู : เมื่อเปลี่ยนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
สรุปได้ว่า โครงการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สู่ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (The Twenty First Century Skills) ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ครูได้ตระหนักในบทบาทที่ต้องเปลี่ยนไป อีกทั้งผู้เรียนก็เปลี่ยนบทบาทเป็นนักเรียนรู้ สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
วรรณวิษา อารีวโรดม. (2564).รายงานการประเมินโครงการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สู่ทักษะ การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (The Twenty First Century Skills) ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2.
: ร.ต.อ. พิพิธชัย สร้อยชมภูพงศ์
: ครู
: ประถม - มัธยมศึกษา
: 2565
: 2,091
บทคัดย่อ (Abstract)
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อ
การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดงดาวแจ้งพัฒนศึกษา อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมนครพนม จำนวน
1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 25 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน, แบบฝึกจากกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน, แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ผลการศึกษา พบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เท่ากับ 79.20/76.80 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2) นักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีค่าเฉลี่ย
หลังเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ
3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
มีความพึงพอใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยภาพรวม
อยู่ในระดับมาก
ร.ต.อ. พิพิธชัย สร้อยชมภูพงศ์. (2565).การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5.
: นายธนา ธุศรีวรรณ
: -
: ครูและบุคลากรทางการศึกษา
: 2562
: 596
บทคัดย่อ (Abstract)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่ 1.1) ทฤษฎี แนวคิดเกี่ยวกับการชี้แนะและ1.2) สภาพการชี้แนะเพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูระดับมัธยมศึกษา 2.พัฒนารูปแบบการชี้แนะเพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูระดับมัธยมศึกษา 3. ศึกษาผลของการใช้รูปแบบการชี้แนะเพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูระดับมัธยม ศึกษา โดยวิธีการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต แบบตรวจสอบรายการ แบบประเมิน แบบบันทึก แบบสะท้อนการจัดการเรียนรู้ และแบบบันทึกหลังปฏิบัติงาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (x ̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบค่า (t-test) แบบ Dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า
1. ข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่ 1.1) ทฤษฎี แนวคิดเกี่ยวกับการชี้แนะเพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูระดับมัธยมศึกษา ประกอบด้วย การชี้แนะการสอน การชี้แนะการแก้ปัญหา การชี้แนะแบบเพื่อนช่วยเพื่อน การสะท้อนผลและชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพและ 1.2) สภาพการชี้แนะเพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูระดับมัธยมศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับปฏิบัติน้อย
2. รูปแบบการชี้แนะเพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูระดับมัธยมศึกษา มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) ขั้นตอนการชี้แนะ 4) ปัจจัยสนับสนุน
3. ผลของการใช้รูปแบบการชี้แนะ พบว่า 1) หลังการใช้รูปแบบการชี้แนะครูมีทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สูงขึ้นกว่าก่อนการใช้รูปแบบการชี้แนะทุกคน 2) นักเรียนมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการชี้แนะ ทุกคนและมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้รูปแบบการชี้แนะสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการชี้แนะเพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
นายธนา ธุศรีวรรณ. (2562).การพัฒนารูปแบบการชี้แนะเพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูระดับมัธยมศึกษา.
ERIC 🌻
The Application Degree of Participative School Leaderships at Al-Ihsa Governorate and Its Correlation with Teachers' Professional Development
Nasser, Fathi Mohammed Abu
International Education Studies, v12 n12 p101-112 2019
Participative leadership is one of the most important human trends of school leadership and institutions of education. The study aimed to identify the degree of application of participative leadership by school leaders at Ihsa governorate, Saudi Arabia, and its correlation to teacher's professional development in the light of some variables. The study sample comprised (241) education leaders from both sexes throughout the school year 2018/2019. To collect data, an important three-part instrument developed incorporating participative leadership and its correlation to teacher's professional development. Cronbach coefficient of instrument validation was (0.97). In analyzing data, arithmetic means, standard deviations, one way ANOVA, and correlation coefficient were calculated. Results of the study showed that the degree of application of the total process was high. They also showed that there was a relation with statistical significance at the level (0.01) between participative leadership with its dimension and professional development. The results also showed that there were no differences with statistical significance in answers of sample members which might be attributed to study variables at the level (a=0.01). The study recommended intensifying training courses for school leaders with regard to participative leadership, in addition to, supporting and widening teachers' participation in school leadership.
avuz, M., & Bas, G. (2019). The effect of school principals’ participative leadership behaviors on teachers’ job satisfaction: A mediation role of teachers’ perceptions of organizational justice. International Journal of Educational Methodology, 5(3), 399–416.
Participative Leadership and Change-Oriented Organizational Citizenship: The Mediating Effect of Intrinsic Motivation
Sagnak, Mesut
Eurasian Journal of Educational Research, n62 p181-194 2016
Problem Statement: Scientists support that success cannot be achieved through schools with a bureaucratic structure in which top-down relation is emphasized but rather with a decentralized structure of authority. Scientists also posit that participative management is the best approach. Participation or participative leadership is defined as deciding jointly or as the shared influence for deciding between superiors and subordinates. From this standpoint, participative management has focused on allocating decision-making authority and sharing power. It is vital for schools to apply innovations to be effective. Leadership is one of the most important factors affecting organizational innovation. Participative leaders encourage teachers to find new opportunities, generate new information, and perform. Thus, it can be asserted that participative leadership behavior effects change-oriented organizational citizenship behavior. The motivational model used to explain the effect of participative leadership behaviors of superiors on the work performance of subordinates asserts that participation in decision making provides intrinsic rewards for subordinates. It has been indicated within research results that participative leadership affects subordinates' behavior by means of intrinsic motivation. Purpose of the study: This study aimed to explore the mediating role of intrinsic motivation on the relationship between participative leadership and change-oriented organizational behavior. Method: The survey model was used in this study. The participants included 850 teachers randomly selected from 68 elementary schools in the center of Nigde and its districts in Turkey. Three different instruments were used in this study. The scales were translated using the translation and back translation method. In order to examine the construct validity of the scales, exploratory factor analysis and confirmatory factor analysis were used. Structural equation modeling was conducted using the LISREL 8.7 computer program for the mediating test. Findings: Participative leadership was a significant predictor of change-oriented organizational citizenship behavior (ß = 0.26, p<0.01) and intrinsic motivation (ß = 0.27, p<0.01). A significant relationship between change-oriented organizational citizenship behavior and intrinsic motivation (ß = 0.75, p<0.01) was present. Intrinsic motivation fully mediated the relationship between participative leadership and change-oriented organizational behavior (ß = 0.06, t = 1.87). Conclusion and Recommendations: Results indicated that participative leadership significantly affected change-oriented organizational citizenship and intrinsic motivation. A significant relationship was found between change-oriented organizational citizenship and intrinsic motivation. It was determined that intrinsic motivation fully mediated the relationship between participative leadership and change-oriented organizational citizenship behavior. [This study was presented at the International Eurasian Educational Research Congress (1st, Istanbul, Turkey, Apr 24-26, 2014).]
ushra, F., Ahmad, B., & Naveed, A. (2011). Effect of transformational leadership on employees’ job satisfaction and organizational commitment in banking sector of Lahore (Pakistan). International Journal of Business and Social Science, 2(18), 261–267.
Job Satisfaction as a Mediator between Directive and Participatory Leadership Styles toward Organizational Commitment
Banjarnahor, Humuntal; Hutabarat, Wesly; Sibuea, Abdul Muin; Situmorang, Manihar
International Journal of Instruction, v11 n4 p869-888 Oct 2018
Principals play a very important role in determining the quality of education in schools. The success of the principals to mobilize all potential in the school environment is highly dependent on the leadership styles. Job satisfaction and organizational commitment of the principals, teachers and administrators are considered as indicators in determining the success of the school institution. The objective of the research was to investigate the role of job satisfaction as a mediator in influencing the directive and participative leadership styles toward the elementary school principal organizational commitments in Medan. The sample of the research was 164 junior high school principals of the school principals selected and the data analyzed with path analysis. The results showed that (1) the principal job satisfactions did not function positively as a mediator between directive leadership styles and organizational commitments, (2) job satisfaction found as a positive mediator between participative leadership styles and principal organizational commitment.
Adewale, A. J., & Ghavifekr, S. (2019). Leadership practices of school principals and its impact on teachers’ job performance: A case study of a private secondary school in Kuala Lumpur. International Journal of Leadership in Education, 22(6), 682–694.