ThaiLIS
ThaiLIS
การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย
การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย และเพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จำนวน 226 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติ (One way ANOVA) ในประสบการณ์เมื่อพบความแตกต่างกันทำการเปรียบเทียบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ (Scheffe's Method) จากผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีจริยธรรมและตรวจสอบได้ รองลงมา คือ ด้านการบริหารความเสี่ยง และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการคิดสร้างสรรค์ 2) การเปรียบเทียบผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีความคิดเห็นต่อการศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย จำแนกตามระดับการศึกษา ภาพรวมแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน ภาพรวมมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
อ้างอิง
สุพัฒน์ กนกพจนานนท์ และ ปรเมศร์ กลิ่นหอม. (2567). ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี. กรุงเทพฯ : วารสารบัณฑิตศึกษามหาจุฬาขอนแก่น
การศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 4
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์วิจัยเพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 4 และการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล โดยใช้แบบสอบถามจำนวน 20 ข้อที่ได้พัฒนาและตรวจสอบคุณภาพมาแล้วไปเก็บข้อมูลจากผู้อำนวยการ หัวหน้างาน และอาจารย์ของโรงเรียน จำนวน 198 คนมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย t-test F-test แล้วพบว่า ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 4 มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทั้งภาพรวมและองค์ประกอบรายด้าน รวมถึงพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำแนกตามวุฒิการศึกษา ด้านตำแหน่งงานปัจจุบัน และเงินเดือนที่ได้รับในปัจจุบัน ซึ่งด้วยข้อค้นพบนี้ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และอาจารย์สามารถนำไปใช้ในการกำหนดเป็นหัวข้อด้านการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของตนเองที่เน้นด้านการนำสู่การเรียนรู้ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญต่อความต้องการเป็นรายบุคคล
อ้างอิง
ปาริฉัตร พรสุวรรณ . (2563). การศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 4. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29
การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดโรงเรียน 3) ศึกษาแนวทางส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 351 คน จาก 41 โรงเรียน ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นโดยใช้ขนาดโรงเรียนและกำหนดขนาด ตัวอย่างจากการเทียบสัดส่วนของ krejcie และ Morgan เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ .94 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และทดสอบเอฟ ความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการของ Shehffe' และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 จำแนกตาม วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดโรงเรียน พบว่า 2.1 ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี ในการเรียนการสอนและด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการวัดและประเมินผลแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ.05 2.2 ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานที่แตกต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหาร และด้านภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2.3 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่าง จำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยภาพรวมและรายด้าน ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน 3. แนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 มีทั้งหมด 5 ด้านประกอบด้วย 1) ด้านภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์ ผู้บริหารสถานศึกษาควรได้รับการพัฒนาความเป็นผู้นำและมีวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีโดยการแบ่งปันแนวคิดซึ่งกันและกันภายในกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา และการศึกษาดูงานในสถานศึกษาที่มีผลงานเชิงประจักษ์ด้านเทคโนโลยี 2) ด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน ผู้บริหารสถานศึกษาควรสนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน โดยใช้เทคนิควิธีการเรียนรู้ รูปแบบการสอนในการจัดกิจกรรมอย่างหลากหลายที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง 3) ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหาร ผู้บริหารสถานศึกษาควรได้รับการพัฒนาความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการบริหารและแลกเปลี่ยนสัมมนาแนวคิดในการพัฒนาโดยใช้เครือข่ายทางการบริหารระหว่างสถานศึกษา 4) ด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการวัดและประเมินผล ผู้บริหารสถานศึกษาควรกำหนดแนวทางหรือแนวปฏิบัติด้านการวัดและประเมินผลเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี 5) ด้านจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องเป็นต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม
อ้างอิง
ธัญณิชา สุขวงค์. (2563). การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.
ThaiJO
ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษและเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำแนกตามขนาดสถานศึกษา ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำนวน 308 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบ่งชั้นตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามที่มีมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าเฉลี่ยดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.67 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบความแตกต่าง ค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
ผลการวิจัย พบว่า:
ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ย จากด้านความเป็นเลิศ
การเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำแนกตามขนาดสถานศึกษาในภาพรวมและรายด้านมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยสถานศึกษาขนาดใหญ่พิเศษมีภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษามากกว่าสถานศึกษาขนาดใหญ่และขนาดกลาง
อ้างอิง
สุพัฒน์ กนกพจนานนท์ และ ปรเมศร์ กลิ่นหอม. (2567). ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี. วารสารบัณฑิตศึกษามหาจุฬาขอนแก่น.ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2567 ; หน้า 243-244
การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนเอกชน ระดับประถมศึกษาในเขตธนบุรี
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนเอกชนระดับประถมศึกษาในเขตธนบุรีตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครู ประชากรและกลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ เป็นผู้บริหารโรงเรียนจำนวน 12 คน และครู 167 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างครูแบบแบ่งชั้นภูมิ และสุ่มตามสัดส่วนครูของแต่ละโรง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เป็นแบบตรวจสอบรายการ และแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยาย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติทดสอบ ค่าที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียน ด้านจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดในความคิดเห็นของผู้บริหารและครู เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านสมรรถนะทางเทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดในความคิดเห็นของผู้บริหาร และด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในด้านการจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดในความคิดเห็นของครู
เมื่อทดสอบค่า t พบว่า ในภาพรวมความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า แตกต่างกัน 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านวิสัยทัศน์ทางเทคโนโลยี 2) ด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในด้านการบริหารงาน 3) ด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในด้านการจัดการเรียนการสอน และ 4) ด้านจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี ด้านที่มีความแตกต่างมากที่สุดระหว่างความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครู คือ ด้านจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี ส่วนด้านที่ไม่มีความแตกต่างกัน คือ ด้านสมรรถนะทางเทคโนโลยี
อ้างอิง
ภัทรา ธรรมวิทยา. (2567). การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนเอกชน ระดับประถมศึกษาในเขตธนบุรี. วารสารอิเล็กทรอนิกส์ทางการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปีที่ 10 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2558 ; หน้า 1
ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช
สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช 2. เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามเพศ ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา 3. เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในการส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ประชากร ได้แก่ ข้าราชการครูที่ปฏิบัติงานอยู่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา นครศรีธรรมราช ปีการศึกษา 2564 จำนวน 71 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 2,710 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู 335 คน ที่ปฏิบัติงานอยู่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา นครศรีธรรมราช ปีการศึกษา 2564 (ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน)จากนั้นใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นและการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบปลายปิดและปลายเปิดซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน independent sample t-test วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA)
ผลการวิจัยพบว่า
ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช พบว่า ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x= 4.59, S.D. x= 0.49)
เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีในการวัดและประเมินผล (x= 4.67, S.D. x= 0.54) รองลงมา ได้แก่ การจัดการเรียนการสอน (x= 4.64, S.D. x= 0.42) การสนับสนุนการจัดการและการดำเนินการ (x= 4.60, S.D. x= 0.59) ประสิทธิภาพและความชำนาญเชิงวิชาชีพ (x= 4.61, S.D. x= 0.53) ความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ (x= 4.53, S.D.x = 0.69) และสังคม กฎหมาย และจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (x= 4.52, S.D. x= 0.60) ตามลำดับ
ผลการการเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช
2.1 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยภาพรวม จำแนกตามเพศ พบว่า ข้าราชการครูที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อต่อภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน
2.2 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยภาพรวม จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน พบว่า ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยภาพรวม ทั้ง 6 ด้าน ไม่แตกต่างกัน
2.3 ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยภาพรวม จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า ข้าราชการครูที่มีขนาดของสถานศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อต่อภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยภาพรวม ทั้ง 6 ด้าน ไม่แตกต่างกัน
ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช พบว่า ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยเรียงลำดับตามความถี่จากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านการสนับสนุนการจัดการและการดำเนินการ มีความถี่มากที่สุด คือ ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องเรียนรู้ ส่งเสริมและพัฒนาให้ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน รองลงมา ด้านการใช้เทคโนโลยีในการวัดและประเมินผล คือ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องพัฒนาโดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารงานด้านต่างๆ ทั้งการบริหารงานวิชาการ การบริหารกิจการนักเรียน การบริหารงานบุคลากร การบริหารงานธุรการ การเงิน พัสดุ ครุภัณฑ์ การบริหารงานอาคารสถานที่ และอื่นๆ ด้านสังคม กฎหมาย และจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านสังคม กฎหมาย และจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านประสิทธิภาพและความชำนาญเชิงวิชาชีพ และ ด้านความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ มีความถี่น้อย ที่สุด คือ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องรู้เทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีเป็น และต้องเป็นไปในทางที่ สร้างสรรค์
อ้างอิง
อรวดี ศรีชาย. (2556). ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช. วารสารศึกษาศาสตร์ มมร. ปีที่ 12 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2567 ; หน้า 40-41
ThaiED Research
ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูโรงเรียนในสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 จำนวน 136 คน จาก 15 โรงเรียน โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นนำไปสุ่มอย่างง่ายแบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขต บ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมขององค์กร รองลงมาด้านการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร ด้านการกำหนดทิศทาง ขององค์กร และด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ตามลำดับ
2. ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน
อ้างอิง
ปรียานุช ทับหนองฮี. (2566). ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 . กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกริก
เเนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 332 คน คัดเลือกโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าความเชื่อมั่น .98 2) แบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวก ในระดับสูง (r = .862**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำแห่งการเรียนรู้ พัฒนาบุคลากรให้มีศาสตร์ทางวิชาชีพ
สร้างวิสัยทัศน์ กระจายอำนาจให้บุคลากรอย่างเหมาะสม คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผลประโยชน์ของทุกภาคส่วน สร้างความสมดุลของทรัพยากรทางการศึกษา และให้ความสำคัญกับความรู้ ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
อ้างอิง
วสันต์ ศักดาศักดิ์. (2565). เเนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอนาคตภาพภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีโรงเรียนประถมศึกษาของไทยในทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2557 - 2567) โดยใช้กระบวนการวิจัยอนาคตแบบอีดีเอฟอาร์ (EDFR) เก็บรวบรวมข้อมูล 3 รอบ จากผู้เชี่ยวชาญ 4 กลุ่มคุณสมบัติ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง 7 คน นักวิชาการ 7 คน ผู้อำนวยการโรงเรียน 8 คน และผู้นำองค์การที่ทำงานเพื่อสตรีและเยาวชน 4 คน รวมผู้เชี่ยวชาญ 26 คน การเก็บรวบรวมข้อมูล รอบที่ 1 ใช้วิธีสัมภาษณ์ด้วยคำถามปลายเปิด รอบที่ 2 และรอบที่ 3 ใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล โดยพิจารณาผลจากค่ามัธยฐาน (Median: Man) ค่าความสอดคล้องพิจารณาจากส่วนต่างระหว่างฐานนิยมกับมัธยฐาน (Mo - Man) และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ (Interquartile Range: IR) แล้วนำประเด็นย่อยมาจัดกลุ่มเป็นแนวโน้มภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีโรงเรียนประถมศึกษา ผลการวิจัย พบว่า แนวโน้มภาวะผู้นำของผู้บริหารสดที่โรงเรียนประถมศึกษาจากการศึกษาเอกสารตามประเด็นตั้งต้น ประกอบด้วย 1) ภาวะผู้นำที่มีองค์ประกอบ 6 ด้าน ได้แก่ 1.1) ด้านคุณลักษณะและความเชี่ยวชาญ มีประเด็นย่อย 28 ข้อ 1.2) ด้านพฤติกรรม มีประเด็นย่อย 20 ข้อ 1.3) ด้านตามสถานการณ์ มีประเด็นย่อย 25 ข้อ 1.4) ด้านการสร้างความสัมพันธ์ มีประเด็นย่อย 15 ข้อ 1.5) ด้านการเปลี่ยนแปลง มีประเด็นย่อย 20 ข้อ และ 1.6) ด้านการผุดเกิด มีประเด็นย่อย 16 ข้อ 2) แนวทางการเสริมสร้างและพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรี มีประเด็นย่อย 21 ข้อ ในประเด็นย่อยทั้งหมดนี้ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นเป็นฉันทามติว่ามีความจำเป็นในระดับมากและมากที่สุด ผู้วิจัยนำประเด็นย่อยมาวิเคราะห์และสังเคราะห์โดยใช้แนวคิดไทยได้แนวโน้มภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีโรงเรียนประถมศึกษา ในบริบทสังคมไทย ประกอบด้วย 1) ภาวะผู้นำที่มีองค์ประกอบ 3 ด้าน ได้แก่ 1.1) ด้านความเป็นสตรีไทย มีประเด็นย่อย 17 ข้อ 1.2) ด้านวิถีไทย มีประเด็นย่อย 17 ข้อ และ 1.3) ด้านความเป็นผู้บริหาร ประกอบด้วย ภาวะผู้นำ 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.3.1) คุณลักษณะและความเชี่ยวชาญ มีประเด็นย่อย 20 ข้อ 1.3.2) พฤติกรรมการบริหาร มีประเด็นย่อย 17 ข้อ 1.3.3) การตามสถานการณ์ มีประเด็นย่อย 11 ข้อ 1.3.4) การสร้างความสัมพันธ์ มีประเด็นย่อย 12 ข้อ 1.3.5) การเปลี่ยนแปลง มีประเด็นย่อย 16 ข้อ และ 1.3.6) การผุดเกิด มีประเด็นย่อย 17 ข้อ รวมเป็นประเด็นย่อยทั้งหมด 93 ข้อ และ 2) แนวทางการเสริมสร้างและพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรี มีประเด็นย่อย 19 ข้อ อนาคตภาพภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีโรงเรียนประถมศึกษาของไทยในทศวรรษหน้า ที่ได้จากผลการวิจัยคือ ภาพที่ผู้เชี่ยวชาญมีฉันทามติว่ามีแนวโน้มเป็นภาพอนาคตที่ดี
อ้างอิง
มัณฑนา ภัคคุณานนท์. (2559). อนาคตภาพภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีโรงเรียนประถมศึกษาของไทยในทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2557 - 2567). ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ERIC
Leadership's Role in Facilitating Faculty Professional Development for Technology Integration
This study explores the function of leadership in supporting faculty professional development for technology integration in educational institutions. Key themes about the role of leadership in fostering successful technology integration were identified through qualitative analysis of semi-structured interviews with 125 participants, including administrators and instructors from 10 educational institutions in Uganda. Establishing the vision and strategic direction, allocating resources and building infrastructure, professional development programs initiative and support mechanisms, recognizing and rewarding technology integration, fostering an innovative and collaborative culture, assessment, and ongoing improvement are some of these themes. The results draw attention to the various roles that leadership plays in fostering an atmosphere that supports technology-enhanced teaching and learning. In addition to providing useful advice for practitioners, policymakers, and educational leaders looking to foster innovation and quality in learning environments, this study advances our understanding of leadership in educational technology.
การศึกษาครั้งนี้สำรวจหน้าที่ของความเป็นผู้นำในการสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพคณาจารย์เพื่อการบูรณาการเทคโนโลยีในสถาบันการศึกษา ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของความเป็นผู้นำในการส่งเสริมการบูรณาการเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จได้รับการระบุผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างกับผู้เข้าร่วม 125 คน รวมถึงผู้บริหารและผู้สอนจากสถาบันการศึกษา 10 แห่งในยูกันดา การกำหนดวิสัยทัศน์และทิศทางเชิงกลยุทธ์ การจัดสรรทรัพยากรและการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การริเริ่มและกลไกสนับสนุนโครงการพัฒนาวิชาชีพ การรับรู้และให้รางวัลสำหรับการบูรณาการเทคโนโลยี การส่งเสริมวัฒนธรรมนวัตกรรมและการทำงานร่วมกัน การประเมิน และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เป็นประเด็นบางส่วนจากประเด็นเหล่านี้ ผลลัพธ์ดึงความสนใจไปที่บทบาทต่างๆ ที่ความเป็นผู้นำมีในการส่งเสริมบรรยากาศที่สนับสนุนการสอนและการเรียนรู้ที่เสริมด้วยเทคโนโลยี นอกเหนือจากการให้คำแนะนำที่มีประโยชน์สำหรับผู้ปฏิบัติงาน ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำทางการศึกษาที่ต้องการส่งเสริมนวัตกรรมและคุณภาพในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ การศึกษานี้ยังส่งเสริมความเข้าใจของเราเกี่ยวกับความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีทางการศึกษาอีกด้วย
Olaniyan, A.O. & Uzorka, A. (2024). Leadership's role in facilitating faculty professional development for technology integration. International Journal of Technology in Education and Science (IJTES), 8(3), 470-480.
Fostering Teachers' Readiness for Leadership Roles: The Dynamic Interplay among Positive School Culture, Affective-Identity Motivation to Lead and Teacher Optimism
Purpose: This study delves into the less-explored domain of teachers' readiness for leadership roles by investigating the direct and indirect relationships between positive school culture and teachers' readiness for leadership roles through affective-identity motivation to lead, and teacher optimism. Design/methodology/approach: This study employed partial least squares structural equation modelling (WPLS-SEM) for data analysis. The data were gathered from 424 elementary school teachers who do not hold any leadership positions in Xi'an, China. A total of 391 samples were used after sampling weight adjustments. Findings: There is a significant and positive direct relationship between positive school culture and teachers' readiness for leadership roles. Affective-identity motivation to lead and teacher optimism emerged as significant mediators in this dynamic. Practical implications: This study complements and expands on the study of the relationship between positive school culture, affective-identity motivation to lead, teacher optimism and teachers' readiness for leadership role. This research has established a theoretical framework for school stakeholders to cultivate future teacher leaders. Originality/value: These findings provide valuable theoretical insights into educational leadership literature and contribute to a more comprehensive understanding of the factors influencing teachers in assuming leadership roles, particularly in the context of Asian societies.
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจประเด็นเกี่ยวกับความพร้อมของครูในการก้าวเข้าสู่บทบาทผู้นำ ซึ่งเป็นหัวข้อที่ยังไม่ค่อยได้รับการศึกษาอย่างลึกซึ้ง โดยมุ่งเน้นศึกษาความสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมระหว่างวัฒนธรรมโรงเรียนเชิงบวกกับความพร้อมของครู ผ่านแรงจูงใจในการเป็นผู้นำที่มีรากฐานจากอัตลักษณ์ทางอารมณ์ และการมองโลกในแง่ดีของครูเป็นตัวแปรส่งผ่าน การวิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีจำลองสมการโครงสร้างแบบถ่วงน้ำหนักบางส่วน (WPLS-SEM) โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างครูระดับประถมศึกษาที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำในเมืองซีอาน ประเทศจีน จำนวน 424 คน และใช้ข้อมูลที่ผ่านการปรับถ่วงน้ำหนักจำนวน 391 คนในการวิเคราะห์ผล ผลการวิจัยพบว่ามีความสัมพันธ์ทางตรงที่มีนัยสำคัญในเชิงบวกระหว่างวัฒนธรรมโรงเรียนเชิงบวกกับความพร้อมของครูในการเป็นผู้นำ นอกจากนี้ยังพบว่าแรงจูงใจในการเป็นผู้นำที่มีรากฐานจากอัตลักษณ์ทางอารมณ์ และการมองโลกในแง่ดีของครู มีบทบาทสำคัญในฐานะตัวแปรส่งผ่านที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ดังกล่าว ผลการศึกษานี้จึงช่วยเติมเต็มและขยายองค์ความรู้เกี่ยวกับบทบาทของวัฒนธรรมโรงเรียนเชิงบวก แรงจูงใจในการเป็นผู้นำ และการมองโลกในแง่ดี ในการเสริมสร้างความพร้อมของครูในการรับบทบาทผู้นำ พร้อมทั้งวางกรอบแนวคิดทางทฤษฎีที่สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาผู้นำครูในอนาคต นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังมีคุณค่าเชิงทฤษฎีที่สำคัญต่อวรรณกรรมด้านภาวะผู้นำทางการศึกษา โดยช่วยสร้างความเข้าใจที่ครอบคลุมยิ่งขึ้นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของครูในการเข้ารับบทบาทผู้นำ โดยเฉพาะในบริบทของสังคมเอเชีย
Lei Mee Thien. (2024). Fostering Teachers' Readiness for Leadership Roles: The Dynamic Interplay among Positive School Culture, Affective-Identity Motivation to Lead and Teacher Optimism. International Journal of Educational Management, v38 n6 p1685-1709 2024
Leadership Roles for Mindful Schools: Examining Relationships between Different Leadership Roles of School Principals and School Mindfulness
The purpose of this study is to reveal leadership roles of school principals having impact on school mindfulness. This quantitative study with correlational design involves 389 teachers from secondary and high schools in Buyukcekmece, Istanbul province. The researchers used the 'School Mindfulness' and 'Leadership Roles of School Principals' scales. In the study descriptive statistics, correlation and regression analyses were used to reveal the prediction level. The findings showed that visionary and transformational leadership roles of school principals strengthen school mindfulness and the sub-categories of faculty and school principal mindfulness. In addition, instructional leadership roles of school principals predict principal mindfulness. However, cultural leadership was found to have no effect on school mindfulness.
บทบาทภาวะผู้นำเพื่อเสริมสร้างการตระหนักรู้ในโรงเรียน: การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับภาวะการตระหนักรู้ในโรงเรียน
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยให้เห็นบทบาทความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อภาวะการตระหนักรู้ในโรงเรียน งานวิจัยเชิงปริมาณนี้ใช้รูปแบบการวิจัยแบบสหสัมพันธ์ โดยเก็บข้อมูลจากครูจำนวน 389 คน จากโรงเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายในเขตบูยูกเช็กเมเจ จังหวัดอิสตันบูล ประเทศตุรกี เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบวัด "ภาวะการตระหนักรู้ในโรงเรียน" และแบบวัด "บทบาทความเป็นผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา" การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอย เพื่อศึกษาระดับการทำนายของตัวแปรต่าง ๆ
ผลการวิจัยพบว่า บทบาทความเป็นผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ (Visionary Leadership) และผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Transformational Leadership) ของผู้บริหารสถานศึกษามีส่วนช่วยเสริมสร้างภาวะการตระหนักรู้ในโรงเรียน รวมถึงองค์ประกอบย่อยด้านการตระหนักรู้ของคณะครูและผู้บริหารโรงเรียน นอกจากนี้ยังพบว่า บทบาทผู้นำด้านการนิเทศการสอน (Instructional Leadership) ของผู้บริหารสามารถทำนายภาวะการตระหนักรู้ของผู้บริหารได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม บทบาทผู้นำด้านวัฒนธรรมองค์กร (Cultural Leadership) กลับไม่พบว่ามีอิทธิพลต่อภาวะการตระหนักรู้ในโรงเรียนแต่อย่างใด
Tabancali, Erkan Korumaz and Mithat. (2022). Leadership Roles for Mindful Schools: Examining Relationships between Different Leadership Roles of School Principals and School Mindfulness. International Education Studies, v15 n1 p63-75 2022