กรณีหน่วยงานทางปกครองได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างอาคาร เนื่องจากผู้รับจ้างดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ผู้รับจ้างยังคงเข้าทำการก่อสร้างอาคารต่อไปจนแล้วเสร็จ และมีหนังสือส่งมอบงาน ผู้ว่าจ้างต้องชำระค่างานก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างหรือไม่อย่างไร
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดหมายเลขแดงที่ อ.๙๕๙/๒๕๖๕ กรณีหน่วยงานทางปกครองได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างอาคาร เนื่องจากผู้รับจ้างดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ผู้รับจ้างยังคงเข้าทำการก่อสร้างอาคารต่อไปจนแล้วเสร็จ และมีหนังสือส่งมอบงาน ผู้ว่าจ้างต้องชำระค่างานก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างหรือไม่อย่างไร ?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อผู้รับจ้างทำงานไม่เเล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญา หน่วยงานทางปกครองผู้ว่าจ้างจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิ์โดยชอบและเมื่อผู้รับจ้างได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาจ้างจึงเป็นอันเลิกกัน และคู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามมาตรา ๓๙๑ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต่อมาในกายหลังผู้รับจ้างยังคงเข้าทำการก่อสร้างอาคารต่อไปจนแล้วเสร็จ โดยมิได้มีการทำความตกลงอันนั้นสัญญาขึ้นใหม่และมีการตรวจรับงานดังกล่าวแล้ว ซึ่งแม้ผู้ว่าจ้างไม่อาจเพิกถอนการแสดงเจตนาบอกสัญญากับผู้รับจ้างได้ แต่เมื่อผู้ว่าจ้างได้ยิมยอมให้ผู้รับจ้างเข้ามาทำงาน จึงเป็นกรณีที่มีรับจ้างเข้าทำงานตามสัญญาโดยสุจริต ทั้งผู้ว่าจ้างได้ใช้ประโยชน์จากงานก่อสร้างอาคารดังกล่าวในการให้บริการแก่ประชาชนแล้ว อันมีลักษณะเป็นลาภมิควรได้ที่ผู้ว่าจ้างจำต้องคืนทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้รับจ้าง แต่การคืนอาคารดังกล่าวย่อมไม่อาจทำได้ ผู้ว่าจ้างจึงต้องชดใช้ราคาสิ่งก่อสร้างตามมูลค่างานตามมาตรา ๓๙๑ วรรคสาม
การนับระยะเวลาละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อกันเกินกว่าสิบห้าวัน ต้องนับวันหยุดราชการรวมเข้าไปด้วย
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดหมายเลขแดงที่ ฟ.๓๖/๒๕๕๙ เรื่อง การนับระยะเวลาละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อกันเกินกว่าสิบห้าวัน ต้องนับวันหยุดราชการรวมเข้าไปด้วย
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ต้องนับต่อเนื่องกัน การที่ผู้ฟ้องคดีไม่มาปฏิบัติราชการในระหว่างวันที่ ๓ ถึงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ รวม ๑๘ วัน ซึ่งมีวันหยุดราชการอยู่ระหว่างช่วงกลางของวันที่ผู้ฟ้องคดีขาดราชการติดต่อในคราวเดียวกัน โดยไม่ได้ส่งใบลาหรือแจ้งสาเหตุในการไม่มาปฏิบัติราชการ ให้ผู้บังคับบัญชาหรือต้นสังกัดทราบจึงเป็นการละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกิน สิบห้าวันโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือโดยมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ผู้อำนวยการโรงเรียนมีคำสั่งไล่ข้าราชการครูออกจากราชการ กรณีเจ็บป่วยไม่ไปปฏิบัติงานเกิน ๑๕ วัน เนื่องจากแพทย์นัดตรวจรักษาเป็นครั้งคราวและอาการป่วยไม่ถึงขนาดต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดหมายเลขแดงที่ อ.๑๒๖๖/๒๕๕๙ เรื่อง ผู้อำนวยการโรงเรียนมีคำสั่งไล่ข้าราชการครูออกจากราชการ กรณีเจ็บป่วยไม่ไปปฏิบัติงานเกิน ๑๕ วัน เนื่องจากแพทย์นัดตรวจรักษาเป็นครั้งคราวและอาการป่วยไม่ถึงขนาดต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
การที่ข้าราชการไม่ไปปฏิบัติงานเป็นระยะเวลาเกินกว่าสิบห้าวันและไม่ได้ปฏิบัติตามข้อ ๑๗ วรรคหนึ่ง ของระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ.๒๕๓๕ กล่าวคือ กรณีข้าราชการประสงค์ จะลาป่วยจะต้องส่งใบลาป่วยต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลา หรือกรณีจำเป็นจะเสนอหรือจัดส่งใบลาในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ แต่ได้ยื่นใบลาป่วยโดยทางไปรษณีย์ภายหลังจากที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง กรณีจงใจละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวัน และเมื่อพิจารณาจากหลักฐานใบรับรองแพทย์เป็นกรณีที่แพทย์ผู้ให้ การรักษานัดไปรับการตรวจรักษา และให้นัดหยุดงานเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยเป็นครั้งคราว โดยไม่ปรากฏว่าอาการเจ็บป่วยถึงขนาดที่จะต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ทั้งยังพบว่าได้มีการลงเวลามาปฏิบัติราชการจากเอกสารการลงเวลามาปฏิบัติราชการ แต่ไม่ลงเวลากลับ แสดงให้เห็นได้ว่าอาการป่วยเจ็บยังไม่ถึงขนาดรุนแรงที่ต้องหยุดพักรักษาตัวติดต่อกันหลายวัน อันเป็นเหตุให้ไม่สามารถเดินทางไปปฏิบัติราชการหรือยื่นใบลาป่วยต่อผู้บังคับบัญชาได้ตามระเบียบของทางราชการ และแม้ว่าไม่สามารถยื่นใบลาด้วยตนเองได้ แต่สามารถให้ผู้อื่นยื่นใบลาแทนได้ กรณีจึงยังไม่อาจถือได้ว่ามีเหตุผลอันสมควรและเป็นการจงใจละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวัน โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการว่าด้วย การลาคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการจึงชอบด้วยกฎหมาย
หยุดลาพักผ่อนโดยไม่รอคำสั่งอนุญาตผิดวินัยราชการ
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดหมายเลขแดงที่ ฟบ.๑๒/๒๕๖๓ เรื่อง หยุดลาพักผ่อนโดยไม่รอคำสั่งอนุญาตผิดวินัยราชการ
การลาพักผ่อน ถือเป็นสิทธิของข้าราชการที่จะลาพักผ่อนได้ แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดขึ้นแก่ทางราชการระเบียบจึงกำหนดให้ผู้ลาต้องเสนอใบลาต่อผู้บังคับบัญชาและต้องอยู่รอให้ผู้มีอำนาจได้พิจารณาก่อนจะหยุดราชการไปทันทีไม่ได้ เมื่อผู้ฟ้องคดีเสนอใบลาพักผ่อนทางโทรสารต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันลาพักผ่อนของผู้ฟ้องคดี จึงไม่เป็นไปตามข้อ ๒๖ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ.๒๕๓๕ ถือเป็นการกระทำผิดวินัย ฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ การสั่งลงโทษตัดเงินเดือน ๕ % เป็นเวลา ๓ เดือน จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ระยะเวลาการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๙๒/๒๕๖๗ เรื่อง ระยะเวลาการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
การพิจารณาอุทธรณคําสั่งลงโทษทางวินัยของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ไม่มีกฎหมายกําหนดระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์ไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องนําบทบัญญัติ ตามมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นกฎหมายกลางที่กําหนดมาตรฐานในการปฏิบัติราชการมาใช้บังคับ ดังนั้น ในกรณีที่ผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์ไม่มีหนังสือ แจ้งเหตุจําเปนที่ต้องขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ์ให้ผูอุทธรณ์ทราบ จึงต้องถือว่าวันถัดจากวันที่ ครบกําหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ไดรับคําอุทธรณ์ คือ วันที่หกสิบเอ็ด เป็นวันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการณ์ฟ้องคดี