คำถามที่พบบ่อย ?
คำถามที่พบบ่อย ?
การปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชี และพัสดุของสถานศึกษา
ถาม : 1) การจัดทำรายงานเงินคงเหลือประจำวันของสถานศึกษา ต้องจัดทำตอนไหน ?
แนวทางคำตอบ : การจัดทำรายงานเงินคงเหลือประจำวัน ต้องจัดทำ เป็นประจำทุกวันที่มีการรับ- จ่ายเงิน หากวันใดไม่มีการรับ- จ่ายเงิน ไม่ต้องจัดทำ
ถาม : 2) หลักเกณฑ์ในการเก็บรักษาและนำส่งเงินรายได้แผ่นดิน ตามระเบียบกระทรวงการคลัง กำหนดไว้อย่างไรบ้าง ?
แนวทางคำตอบ : ระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ. 2562 กำหนดไว้ดังนี้
1. เงินรายได้แผนดินที่ได้รับเป็นเงินสด ให้นำส่งอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง แต่ถ้าส่วนราชการใดมีเงินรายได้แผ่นดิน เก็บรักษาในวันใดเกิน 10,000 บาท ก็ให้นำเงินส่ง โดยด่วน แต่อย่างช้าต้องไม่เกิน 3 วันทำการถัดไป
ถาม : 3) การจัดทำรายงานการเงินของสถานศึกษา ต้องจัดทำรายงานอะไรบ้าง และส่งตอนไหน ?
แนวทางคำตอบ : สถานศึกษาต้องจัดทำรายงานดังนี้
1. รายงานประจำเดือน ประกอบด้วย 1) สำเนารานงานเงินคงเหลือประจำวัน ณ วันสิ้นเดือน 2) รายงานประเภทเงินคงเหลือ 3) งบเทียบยอดเงินฝากธนาคารกระแสรายวัน ทุกบัญชีโดยยอดเงินคงเหลือตามใบแจ้งยอดเงินฝากธนาคาร (Bank Statement) ถูกต้องตรงกับยอดเงินคงเหลือตามทะเบียนเงินฝากธนาคารประเภทกระแสรายวัน และให้จัดส่งรายงานดังกล่าวให้สำนักงานเขตพื้นที่ทราบไม่เกินวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
2. รายงานการใช้จ่ายเงินอุดหนุนทั่วไป ให้รายงานทุกภาคเรียน ส่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ดังนี้
2.1 ภาคเรียนที่ 1 ให้ส่งภายในเดือน เมษายน ของทุกปี
2.2 ภาคเรียนที่ 2 ให้จัดส่งภายในเดือน พฤศจิกายน ขอบทุกปี
3. รายงานการรับ-จ่ายเงินรายได้สถานศึกษา ตามแบบที่สพฐ. กำหนด เสนอคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และจัดส่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทราบ ภายใน 30 วันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ
ถาม : 4) ผู้ปกครองได้รับเงินค่าอุปกรณ์การเรียนและค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้ว จะไม่จัดหาอุปกรณ์การเรียนและเครื่องแบบนักเรียนได้หรือไม่ ?
แนวทางคำตอบ : ตามแนวทางการดำเนินงานตามโรงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้กำหนดแนวทางการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์การเรียนและเครื่องแบบนักเรียน โดยให้โรงเรียนดำเนินการขั้นตอนการจ่ายเงิน การควบคุม ติดตามและตรวจสอบ ตามข้อ 6) สถานศึกษาดูแลให้นักเรียนมีอุปกรณ์การเรียนและเครื่องแบบนักเรียนจริง หากพบว่านักเรียนไม่มีอุปกรณ์การเรียนและเครื่องแบบนักเรียน โ่ดยนักเรียนหรือผู้ปกครองนำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่นที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ผู้ปกครองจะต้องคืนเงินให้กับทางราชการ ดังนั้น ผู้ปกครองจำเป็นต้องดำเนินการจัดหาอุปกรณ์การเรียนและเครื่องแบบให้กับนักเรียน
ถาม : 5) เงินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โรงเรยนจะไม่นำไปใช้ในการจัดหาอินเตอร์เน็ตซิม หรือชั่วโมงอินเตอร์เน็ตสำหรับนักเรียน แต่จะนำเงินสดจ่ายให้นักเรียนเหมือนกับค่าอุปกรณ์การเรียนและค่าเครื่องแบบนักเรียนได้หรือไม่ ?
แนวทางคำตอบ : โรงเรียนไม่สามารถจ่ายเป็นเงินสดให้กับนักเรียนทุกคนเหมือนกับค่าอุปกรณ์การเรียนและค่าเครื่องแบบนักเรียนได้ ให้โรงเรียนดำเนินการจัดหาอินเตอร์เน็ตซิม หรือชั่วโมงอินเตอร์เน็ตสำหรับนักเรียนตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
ถาม : 6) การเบิกจ่ายเงินตามโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) (จำนวน 2,000 บาท ต่อนักเรียน 1 คน) โรงเรียนจะจ่ายเงินให้ผู้ปกครองนักเรียนเป็นเงินสดทุกคนได้หรือไม่
แนวทางคำตอบ : โรงเรียนสามารถจ่ายเงินสดให้ผู้ปกครองหรือนักเรียนทุกคนได้ ในกรณีที่ผู้ปกครองหรือนักเรียนทุกคนไม่มีบัญชีเงินฝากธนาคาร/ ผู้ปกครองหรือนักเรียนทุกคน มีบัญชีเงินฝากต่างธนาคาร (ไม่ใช่ธนาคารกรุงไทย)
ถาม : 8) กรณีเดินทางไปราชการจะนับเวลาเดินทางเพื่อเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงอย่างไร ?
แนวทางคำตอบ : ให้นับตั้งแต่เวลาออกจากสถานที่อยู่หรือสถานที่ปฏิบัติราชการตามปกติจนกลับถึงสถานที่อยู่หรือสถานที่ปฏิบัติราชการตามปกติ แล้วแต่กรณี
1. กรณีที่มีการพักแรม ให้นับยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นหนึ่งวัน ถ้าไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือ
เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงและส่วนที่ไม่ถึงหรือเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงนั้นนับได้เกินสิบสองชั่วโมง(12 ชั่วโมง 10 นาที) ให้ถือเป็นหนึ่งวัน
2. กรณีที่มิได้มีการพักแรม หากนับได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงและส่วนที่ไม่ถึงนั้นนับได้
เกินสิบสองชั่วโมงให้ถือเป็นหนึ่งวัน หากนับได้ไม่เกินสิบสองชั่วโมงแต่เกินหกชั่วโมงขึ้นไปให้ถือเป็นครึ่งวัน
3. กรณีเดินทางล่วงหน้าเนื่องจากลากิจ / พักผ่อน ก่อนปฏิบัติราชการให้นับ
ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติราชการ
4. กรณีไม่เดินทางกลับหลังจากปฏิบัติราชการเสร็จสิ้น เนื่องจากลากิจ / พักผ่อน
ให้นับถึงสิ้นสุดเวลา
ถาม : 9) การจ้างเหมาบุคคลธรรมดามีแนวทางในการจ้างอย่างไร?
แนวทางคำตอบ : การจ้างเหมาบริการบุคคลธรรมดา มีดังนี้
1. การจ้างเหมาบริการบุคคลธรรมดา โดยลักษณะงานเป็นการจ้างมุ่งเน้นผลสำเร็จของงานจ้าง เป็นสำคัญ อาจจะจ้างไม่เต็มปี หรือ 1 ปีก็ได้ เป็นการจ้างปีต่อปี สัญญาสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน/สิ้นปีงบประมาณ
2. ไม่ว่าลูกจ้างเหมาบริการจะแจ้งความประสงค์ต่อสัญญาหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากสัญญาจ้างสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ตามปกติส่วนราชการมีหน้าที่จัดจ้างลูกจ้างเหมาบริการในช่วงกันยายน ทุกปี เพื่อทำงานให้ทัน ในปีงบประมาณถัดไป (1 ตุลาคม) อาจจะได้รายเดิมหรือรายใหม่ก็ได้ แต่จะลงนามสัญญาไม่ได้จนกว่าจะได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ
3. ในกรณีนี้ลูกจ้างเหมาบริการว่างลง ก็ต้องจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่ และต้องดำเนินการตามระเบียบพัสดุฯ 2560 หากวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ก็ใช้วิธีเฉพาะเจาะจง
การดำเนินการให้ถือปฏิบัติตาม หนังสือคณะกรรมการฯ ที่ กค (กวจ) 0505.2/ว346 ลงวันที่ 8 กันยายน 2560 (การยกเว้น) หากเป็นรายเดิม ให้ดู ว347 ลงวันที่ 8 กันยายน 2560 ว86 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2548 ว 67 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 และ ว337 ลงวันที่ 17 กันยายน 2553 (เรื่อง การจ้างเหมาบริการ) และระเบียบพัสดุฯ 2560
ถาม : 10) คณะกรรมการจำหน่ายพัสดุและคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง จะสามารถแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ 3 คน โดยมีหัวหน้าพัสดุกับเจ้าหน้าที่พัสดุ เป็นคนเดียวกันทั้ง 2 คณะได้หรือไม่ จะดำเนินการแต่งตั้งอย่างไร และภายในระยะเวลาเท่าไหร่ ?
แนวทางคำตอบ : คณะกรรมการจำหน่ายพัสดุ และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง จำนวนคณะละ 3 คน หัวหน้าพัสดุ และเจ้าหน้าที่พัสดุ ไม่ควรอยู่ในคณะเดียวกันถึงแม้ระเบียบไม่ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสอบทานระหว่างกัน
การตรวจสอบพัสดุประจำปีให้ดำเนินการตามระเบียบฯ ดังนี้
ข้อ 213 ภายในเดือนสุดท้ายก่อนสิ้นปีงบประมาณของทุกปี ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ หรือหัวหน้าหน่วยพัสดุตาม ข้อ 215 แต่งตั้งผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบพัสดุซึ่งมิใช่เป็นเจ้าหน้าที่ตามความจำเป็น เพื่อตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุในงวด 1 ปีที่ผ่านมา และตรวจนับพัสดุประเภทที่คงเหลืออยู่เพียงวันสิ้นงวดนั้น
วรรค 2 ในการตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มดำเนินการตรวจสอบพัสดุ ในวันเปิดทำการวันแรกของปีงบประมาณเป็นต้นไป ว่าการรับจ่ายถูกต้องหรือไม่ พัสดุคงเหลือมีตัวอยู่ตรงตามบัญชีหรือทะเบียนหรือไม่ มีพัสดุใดชำรุดเสื่อมคุณภาพ หรือสูญไปเพราะเหตุใด หรือพัสดุใดไม่จำเป็นต้องใช้ในหน่วยงานของรัฐต่อไป แล้วให้เสนอรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อผู้แต่งตั้งภายใน 30 วันทำการ นับแต่วันเริ่มดำเนินการตรวจสอบพัสดุนั้น
วรรค 3 เมื่อผู้แต่งตั้งได้รับรายงานจากผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบพัสดุแล้ว ให้เสนอหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ 1 ชุด และส่งสำเนารายงานไปยังสำนักงานการตรวจเงิน แผ่นดิน 1 ชุด พร้อมทั้งส่งสำเนารายงาน ไปยังหน่วยงานต้นสังกัด (ถ้ามี) 1 ชุด ด้วย
ข้อ 214 เมื่อผู้แต่งตั้งได้รับรายงานจากผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบพัสดุตามข้อ 213 และปรากฏว่ามีพัสดุชำรุด เสื่อมสภาพ หรือสูญไป หรือไม่จำเป็นต้องใช้ในหน่วยงานของรัฐต่อไป ก็ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง โดยให้นำความในข้อ 16 และข้อ 17 มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่กรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เป็นการเสื่อมสภาพเนื่องมาจากการใช้งานตามปกติ หรือสูญไปตามธรรมชาติให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณาสั่งการให้ดำเนินการจำหน่ายต่อไปได้
วรรค 2 ถ้าผลการพิจารณาปรากฏว่า จะต้องหาตัวผู้รับผิดด้วย ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐดำเนินการ ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการหรือของหน่วยงานของรัฐนั้นต่อไป
ถาม : 11) การจ่ายเงินกรณีจ้างเหมาบริการจากบุคคลธรรมดา เมื่อส่วนราชการทำการขอเบิกเงินจากคลังแล้ว สามารถจ่ายภายในสิ้นเดือนนั้นๆ เหมือนข้าราชการ ได้หรือไม่ ?
แนวทางคำตอบ : ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0409.3/ว 78 ลงวันที่ 27 กันยายน 2549 เรื่อง วิธีปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินค่าจ้าง ตามสัญญาจ้างเหมาบริการจากบุคคลภายนอก ให้ส่วนราชการปฏิบัติตาม ระเบียบของทางราชการก่อนดำเนินการจ่ายเงินให้กับลูกจ้างผู้มีสิทธิได้รับเงินต่อไป หมายความว่า ณ วันทำการ แรกหลังสิ้นเดือนให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุดำเนินการตรวจรับงานและขอเบิกจ่ายเงินค่าจ้างเหมาบริการดังกล่าวให้กับบุคคลภายนอก ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการจ้าง การส่งมอบงาน และการตรวจรับงาน เช่น ผู้รับจ้างจะต้องจัดทำรายงานสรุปการปฏิบัติงานส่งให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไป ประกอบด้วย ใบส่งมอบงานประจำเดือน ใบสรุปรายงานการมาปฏิบัติงานประจำเดือนทั้งนี้ จะจ่ายให้ภายใน 7 วันของเดือนถัดไป เมื่อผู้รับจ้างได้ทำงานบริการในหน้าที่มีผลสำเร็จของงานครบถ้วนสมบูรณ์ในเดือนนั้นๆ และคณะกรรมการตรวจรับการจ้างได้ตรวจรับมอบงานจ้างเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับการจ่ายเงินค่าจ้างบุคคลภายนอกนั้น กรมบัญชีกลางได้กำหนดให้ส่วนราชการจ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (KTB Corporate Online) ให้แก่ผู้รับจ้างโดยตรง ดังนั้น ด้วยเหตุของเงื่อนไขเวลา จึงไม่สามารถจ่ายเงินภายในสิ้นเดือนนั้นๆ ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาดังกล่าวและหลักเกณฑ์ของกรมบัญชีกลาง
สำหรับสถานศึกษาไม่ได้ใช้วิธีจ่ายผ่านระบบระบบอิเล็กทรอนิกส์ (KTB Corporate Online) ให้จ่ายเป็นเช็คให้กับผู้รับจ้างโดยตรง
ถาม : 12) ถ้าใบเสร็จรับเงิน/ใบรับเงินค่ารถไฟ หรือค่ารถทัวร์สูญหายหรือชำรุด จะทำอย่างไร ?
แนวทางคำตอบ : หากใบเสร็จรับเงินสูญหายหรือชำรุดให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2562 ข้อ 48 วรรค 1 และวรรค 2 และข้อ 49
ข้อ 48 กรณีข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้างของส่วนราชการ จ่ายเงินไป โดยได้รับใบเสร็จรับเงิน ซึ่งมีรายการไม่ครบถ้วนตามข้อ 46 หรือซึ่งตามลักษณะไม่อาจเรียก ใบเสร็จรับเงินจากผู้รับเงินได้ ให้ข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้างนั้น ทำใบรับรองการจ่ายเงิน เพื่อนำมาเป็นเอกสารประกอบการขอเบิกเงินต่อส่วนราชการ
วรรค 1 ในกรณีที่ได้รับใบเสร็จรับเงินแล้วแต่เกิดสูญหาย ให้ใช้สำเนาใบเสร็จรับเงินซึ่งผู้รับเงินรับรอง เป็นเอกสารประกอบการขอเบิกเงินแทนได้
วรรค 2 ในกรณีที่ไม่อาจขอสำเนาใบเสร็จรับเงินตามวรรคสองได้ ให้ข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้างนั้น ทำใบรับรองการจ่ายเงิน โดยชี้แจงเหตุผล พฤติการณ์ที่สูญหายหรือไม่อาจขอสำเนา ใบเสร็จรับเงินได้และรับรองว่ายังไม่เคยนำใบเสร็จรับเงินนั้นมาเบิกจ่าย แม้พบภายหลังจะไม่นำมาเบิกจ่ายอีก แล้วเสนอผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ชั้นอธิบดีหรือตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป สำหรับส่วนราชการ ในราชการบริหารส่วนกลางหรือผู้ว่าราชการจังหวัด สำหรับส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติแล้วให้ใช้ใบรับรองนั้นเป็นหลักฐานประกอบการขอเบิกเงินได้
ข้อ 49 กรณีหลักฐานการจ่ายของส่วนราชการสูญหาย ให้ถือปฏิบัติตามวิธีการ ที่กระทรวงการคลังกำหนด
ถาม : 13) หลักฐานการจ่าย (ใบเสร็จรับเงิน/ใบสำคัญรับเงิน) สามารถแก้ไขได้หรือไม่ อย่างไร ?
แนวทางคำตอบ : ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2562 ข้อ 50
ข้อ 50 หลักฐานการจ่ายต้องพิมพ์หรือเขียนด้วยหมึก การแก้ไขหลักฐานการจ่าย ให้ใช้วิธีขีดฆ่าแล้วพิมพ์หรือเขียนใหม่ และให้ผู้รับเงินลงลายมือชื่อกำกับไว้ทุกแห่ง
แนวทางคำตอบ : บุคคลที่จะยืมเงินได้ คือ ราชการ ลูกจ้างประจำและชั่วคราว และพนักงานราชการ
ระเบียบการขอเบิกเงินจากคลังฯ พ.ศ.2562 “เงินยืม” หมายความว่าเงินที่ส่วนราชการจ่ายให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเพื่อยืมเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการหรือการปฏิบัติราชการอื่นใด ทั้งนี้ ไม่ว่าจะจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายหรือเงินนอกงบประมาณ ข้อ 58
ข้อ 58 การยืมเงินของผู้ยืมที่ไม่มีเงินใด ๆ ที่ส่วนราชการผู้ให้ยืมจะหักส่งใช้คืน เงินยืมได้ ให้ส่วนราชการผู้ให้ยืมกำหนดให้ผู้ยืมนำหลักทรัพย์มาวางเป็นประกันพร้อมทั้ง ทำสัญญาวางหลักทรัพย์หรือหาบุคคลที่กระทรวงการคลังกำหนดมาทำสัญญาค้าประกันไว้ต่อส่วนราชการผู้ให้ยืม
ดังนั้น การยืมเงินในการเดินทางไปราชการให้จ่ายแก่ผู้ไปราชการเท่านั้น เช่น ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้าชั่วคราว และพนักงานราชการ ทั้งนี้ ไม่รวมจ้างเหมาบริการ หากบุคคลนอกเหนือจากนี้จะยืมได้ก็ดำเนินการตามข้อ 58
แนวทางคำตอบ : การจ้างทำของทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท คิดค่าอากรแสตมป์ 1 บาท โดยผู้รับจ้างเป็นผู้ที่ต้องเสียอากรและเป็นผู้ที่ขีดฆ่าอากรแสตมป์ ตัวอย่าง เช่น งานจ้าง 20,000 บาท หารด้วย 1,000 บาท จะต้องติดอากรแสตมป์ 20 บาท กรณีการจ้างตั้งแต่ 200,000 บาท ขึ้นไป กำหนดให้ผู้รับจ้างซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ที่มีวงเงินตามสัญญาจ้างตั้งแต่ 200,000 ขึ้นไป ก่อนลงนามในสัญญา จะต้องชำระอากรแสตมป์เป็นตั๋วเงินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อากรแสตมป์ โดยนำตราสารมาสลักหลังแทนการปิดอากรแสตมป์ทุกครั้ง
ถาม : 16) กรณีซื้อวัสดุก่อสร้าง มาสร้างอาคารฝึกงานชั่วคราว งานดำเนินการเอง โดยจ้างแรงงาน งบประมาณจำนวน 60,000 บาท เป็นค่าวัสดุ 40,000 บาท ค่าแรงงาน 20,000 บาท จะต้องเบิกจ่าย ค่าวัสดุ และ ค่าแรง จากงบรายจ่ายใด ?
แนวทางคำตอบ : เบิกจ่ายจากงบลงทุน หมวดค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง
ถาม : 17) การจัดซื้อเครื่องมือที่มีราคาเกิน 5,000 บาท และเครื่องมือนั้นสามารถใช้งานได้นานกว่า 1 ปี ในหมวดวัสดุนั้นสามารถทำได้หรือไม่
แนวทางคำตอบ : ในการจัดซื้อครุภัณฑ์และวัสดุโดยใช้เงินงบประมาณ จะมีมาตรฐานครุภัณฑ์และวัสดุของสำนักงบประมาณแบ่งประเภทครุภัณฑ์และวัสดุไว้ แม้ว่าของที่จัดซื้อจะมีราคาต่อหน่วยเกิน 5,000.-บาท และสามารถใช้งานได้นานกว่า 1 ปี แต่ตามมาตรฐานครุภัณฑ์ฯ กำหนดไว้ว่าเป็นวัสดุก็สามารถจัดซื้อในหมวดค่าวัสดุได้ ถ้าของที่จัดซื้อเป็นครุภัณฑ์ ย่อมไม่สามารถจัดซื้อโดยจ่ายจากหมวดค่าวัสดุได้