การลดต้นทุนในการผลิต โดยการนำเทคโนโลยี IIoT มาใช้งาน วิธีนี้เป็นการลงทุนเพื่อลดต้นทุนในระยะยาว ซึ่งสามารถลดต้นทุนเกี่ยวกับกระบวนการ ที่สูญเสียทางด้านเวลาในบันทึก หรือการเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นของกระบวนการผลิตในแต่ละวัน ทั้งนี้ยังช่วยให้การวางแผนผลิตมีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการทราบถึง กำลังการผลิตที่เป็นจริงของเครื่องจักรในแต่ละเครื่องที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับเวลาทำงานจริง ทราบถึงต้นทุนต่าง ๆ ที่สนุบสนุนการผลิต เช่น จำนวนหรือปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ต่อการผลิต ค่ากำลังไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการผลิต ปริมาณลมหรือไอน้ำที่ใช้จริงต่อการผลิต ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาระบบ IIoT ที่ทางเราสร้างขึ้นสามารถ ติดตาม แสดงผล เฝ้าระวัง แทนมนุษย์ได้อย่างสิ้นเชิง และเป็นแบบ Real-time
อีกทั้งในส่วนของกระบวนการซ่อมบำรุง ระบบ IIoT ยังสามารถนำมาลดต้นทุนที่เกิดจากค่าอะไหล่ที่ต้องจัดเก็บหรือค่าแรงที่เกิดจากการเสียโดยไม่ได้คาดการณ์ไว้ เนื่องจากระบบของ IIoT ของเรามีการเก็บข้อมูลสถานะการทำงานจริงของเครื่องจักร เพื่อคาดการณ์อายุการใช้งานคงเหลือของอุปกรณ์แต่ละชิ้นแบบ Real-time ทำให้ไม่จำเป็นจะต้องซ่อมบำรุงล่วงหน้าที่มากเกินไปเพื่อป้องกันปัญหา และไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานคนไปเดินจดเพื่อติดตามสถานะการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาในการหยุดเครื่องจักรเพื่อการบำรุงรักษาได้อีกด้วยเนื่องจากมีการวางแผนโดยใช้ข้อมูลจากระบบ IIoT ที่ได้ ซึ่งอ้างอิงจากสภาพอุปกรณ์จริงจึงไม่ต้องหยุดเครื่องจักรเพื่อทำการบำรุงรักษาบ่อยเกินจำเป็น หรือต้องเปลี่ยนอะไหล่ก่อนกำหนด ทำให้สามารถใช้งานอุปกรณ์ได้คุ้มค่ามากขึ้นอีกด้วย
IIoT สามารถช่วยในการบำรุงรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคลังสินค้าได้โดยการติดตามสถานะการทำงานตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทำให้สามารถมองภาพรวม ในการทำงานได้ตลอดกระบวนการ IIoT ช่วยให้สามารถนับจำนวนในการใช้และจำนวนคงเหลือของวัตถุดิบ และอะไหล่ได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง ซึ่งจะช่วยป้องกัน การขาดแคลนสต็อกและช่วยลดความผิดพลาดในการบริหารจัดการคลังสินค้า เมื่อวัตถุดิบหรือสินค้าในคลังใกล้หมด sensor ก็จะส่งการแจ้งเตือนเพื่อให้ ผู้ที่รับผิดชอบรับทราบ โดยสามารถติดตามผลและควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลได้
โดยส่วนมากความผิดปกติของอุปกรณ์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ เทคโนโลยี IIoT สามารถช่วยให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้รวดเร็วขึ้นและรวบรวมได้จำนวนมากขึ้น ดังนั้นการนำเอาเทคโนโลยี IIoT มาใช้งานเพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานะการทำงานและทราบถึงสภาพการทำงานของอุปกรณ์ รวมถึงข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงสามารถส่งโดยตรงไปยังห้องควบคุมหรือพื้นที่ที่ต้องการได้ แบบ Real-time แทนที่จะต้องเก็บข้อมูลและป้อนข้อมูลด้วยตนเอง และระบบการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถแจ้งเตือนให้พนักงานทราบถึงปัญหาได้ในทันที อีกทั้งข้อมูลที่เก็บเป็นระยะเวลานานยังนำมาวิเคราะห์และทำให้สามารถตรวจพบสภาวะอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายแก่ผู้ปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี
เมื่อมีการนำข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์ทำให้องค์กรรู้จักลูกค้าได้ดีขึ้นและสามารถปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถให้บริการได้ดียิ่งขึ้น เช่น การควบคุมคุณภาพ กระบวนการด้านโลจิสติกส์ อีกทั้งการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าดีขึ้น
ในการใช้งานระบบ IoT เข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทุกกระบวนการผลิต เช่น การผลิตแบบฉีดขึ้นรูป กระบวนการที่เป็นระบบอัตโนมัติต่าง ๆ เพื่อการลดปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น ในการบันทึกชั่วโมงทำงาน ข้อมูลของวัตถุดิบที่ใช้ ข้อมูลของจำนวนผลิตภัณฑ์ที่ได้ ข้อมูลการใช้พลังงานหรือทรัพยากร หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่แตกต่างไปของแต่ละกระบวนการผลิต จะต้องได้มาด้วยการใช้บุคคลมาจดบันทึก ซึ่งอาจมีข้อเสียที่เกิดจากบุคคล (Human Error) ตามมาด้วยเช่นกัน ซึ่งแม้การจดบันทึกจะสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดความเสียหายของเครื่องจักรได้ แต่ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ยังคงต้องการการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การจัดการเพื่อลดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็น จากการวางแผนการผลิตที่ดี ยกตัวอย่างเช่น การเปิดเครื่องเดินเบาไว้ แต่ไม่ได้ทำงาน การที่มีเครื่องจักรอยู่จำนวนมาก และไม่รู้ในทันทีว่าเครื่องไหนผลิตได้เท่าไหร่ อาจจะทำให้เกิดการเปิดเครื่องไว้ แต่ไม่ได้ใช้งาน การกำหนดการใช้เครื่องจักร มากเกินความจำเป็น สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ในการใช้งานระบบ IoT เข้ามาช่วยในเชิงการเกษตร หรือ Smart farm โดยที่ IoT ที่เรานำมาประยุกต์ใช้กับการทำเกษตร เพื่อใช้ในการบริหารจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้แรงงานคนให้น้อยที่สุด และเข้าใกล้คำว่า "เกษตรอัจฉริยะ" หรือสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) ซึ่งได้นำเทคโนโลยี ด้านเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เข้ามาใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์การเกษตรเพื่อให้อุปกรณ์เหล่านั้น สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ควบคุมหลักได้ เช่น เซ็นเซอร์ตรวจอากาศ ความชื้น อุณหภูมิ เซ็นเซอร์วัดดิน (Soil Sensor) หรืออื่น ๆ เท่าที่เกษตรกรต้องการที่จะเฝ้าระวัง ติดตาม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและสร้างมูลค่าได้เป็นอย่างดี โดยใช้ผลของการเฝ้าติดตามมาควบคุมกระบวนการ เช่น
1. ควบคุมการรดน้ำ โดยคำนวณปริมาณน้ำและเวลาในการรดน้ำที่เหมาะสม
2. ติดตามสภาพดิน ตรวจสอบคุณภาพดิน ความชื้น ทำให้เกษตรกรทราบว่าควรปรับปรุงดินอย่างไรให้เหมาะสมกับการปลูกพืชนั้น
3. จัดเก็บฐานข้อมูลการเพาะปลูก เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพผลผลิตและควบคุมต้นทุนการผลิตได้ รวมไปถึงช่วยในการวางแผนการผลิตเพื่อให้เป็นไปตามกลไกของตลาด
ในการทำการเกษตร โดยนำ IoT มาใช้นั้น เกษตรกรอาจมองเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่หากมองถึงผลในระยะยาว และนำมาปรับใช้อย่างถูกจุด โดยคำแนะนำจากทางเรา นอกจากจะสร้างความแม่นยำในการผลิตได้แล้ว ยังจะช่วยลดต้นทุนอื่น ๆ ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น น้ำ ปุ๋ย รวมไปถึงการป้องกันกำจัดศัตรูพืช หรือตามที่เกษรกรต้องการ
ในการใช้งานระบบ IoT เข้ามาช่วยในการควบคุม การจัดเก็บผลิตภัณฑ์ ที่ต้องควบคุมสภาวะการจัดเก็บเป็นอย่างดี เช่น ยารักษาโรค สารเคมี หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในการติดตาม อุณหภูมิ และความชื้น หรือฝุ่น เมื่อเรานำระบบ IoT เข้ามาช่วยทำให้ สามารถมอนิเตอร์ได้ตลอดเวลา และทุกที่ที่เราต้องการ รวมถึงมีระบบแจ้งเตือนเมื่อค่าที่ตั้งไว้ผิดปกติ นอกจากนี้ยังสามารถดาวน์โหลดข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์หรือวางแผนการผลิตหรือการดำเนินการอื่น ๆ ตามที่ต้องการได้อย่างสะดวก ดังนั้นการที่มีระบบแจ้งเตือนและบันทึกข้อมูลอุณหภูมิความชื้นออนไลน์ จะทำให้มั่นใจได้ว่ายา เวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ หรืออากาศภายในห้องจัดเก็บนั้น อยู่ในสภาพที่เหมาะสม หรือมีผลกระทบกับตัวผลิตภัณฑ์หรือไม่ และด้วยเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ทำให้สามารถติดตามด้านคุณภาพตามที่ต้องการควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และมีประสิทธิภาพมากที่สุดที่อย่างง่ายดาย