"ผมเริ่มเล่นกีฬาฟุตบอลมาก่อนครับ ตอนนั้นเล่นตำแหน่งปีกขวา ชอบการเปิดบอลแต่ไม่ชอบวิ่งเท่าไหร่ แต่ตอนนั้นเล่นแล้วไม่ค่อยรุ่งเท่าไหร่ เพราะไปแข่งทีไรก็แพ้ทุกที"
"ประกอบกับตอนนั้นผมดูถ่ายทอดทีมตะกร้อทีมชาติไทยลงแข่ง แล้วจำได้ว่าเห็นพี่เล่ สุริยันต์ เป๊ะชาญ ลงแข่งแล้วรู้สึกว่ามันเป็นกีฬาที่น่าเล่น ก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะเล่นได้"
"ผมจำได้ว่าจุดเริ่มต้นของผมกับกีฬาตะกร้อ คือ ถ้าอยากเล่นต้องจ่ายเงิน จ่ายเงินในที่นี้คือ ยังเตะตะกร้อไม่เป็น แต่อยากลงสนาม พอไปนั่งเฝ้ารุ่นพี่เล่นที่สนามตอนเย็นๆ ด้วยความเป็นเด็กก็ไม่รู้จะทำยังไง เลยตัดสินใจไปซื้อน้ำขวดราคา 6 บาทมาให้พี่ๆเขา เพื่อแลกกับการได้ลงไปยืนในสนาม แม้ว่าจะยังเล่นไม่เป็นก็ตาม"
จากวันที่เดาะตะกร้อไม่ได้ เด็กน้อยที่เรียนอยู่โรงเรียนบ้านเชี่ยวเฟื่อง อำเภอวิภาวดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็ได้รับโอกาสจากครูตะกร้อคนแรกในชีวิต อย่าง อ.วิรัตน์ คงจำเนียร ที่เห็นอยากจะเล่น อยากจะเก่ง จนเป็นโอกาสของ ด.ช.สิทธิพงศ์ คำจันทร์ กับกีฬาตะกร้อ
"ตอนนั้นผมก็ฝึกทุกเย็น แต่ยังไม่เก่งเท่าไหร่ จำได้ว่าตอนนั้นแค่เตะข้ามตาข่ายก็ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่ด้วยความที่เล่นได้แค่นั้น ไปแข่งกับโรงเรียนอื่นๆก็ไม่ชนะใคร แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมตั้งใจแล้วว่า จะต้องเล่นตะกร้อเก่งให้ได้"
"หลังจากจบป.6 ผมก็ไปเรียนต่อที่ รร.มัธยมวิภาวดี แต่การที่ไม่ได้เน้นพื้นฐานมาตั้งแต่ประถม พอมาเรียนมัธยมเราก็ไปเน้นที่การเล่นแบบลงสนามอย่างเดียว จำได้ว่าตอนเช้าก่อนเข้าแถว ผมและเพื่อนๆก็เตะตะกร้อกันแล้ว เตะทั้งชุดนักเรียนเลย ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่ามันสนุก เราอยากเล่น เราอยากเก่ง และในช่วงม.ต้นผมก็เริ่มเอาชนะโรงเรียนอื่นๆในละแวกนั้นได้บ้างแล้ว มันเลยยิ่งจุดไฟของเรากับกีฬาตะกร้อเข้าไปอีก"
แขนหัก
ถ้าบอกว่าเตะตะกร้อแล้วแขนหัก ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ ถ้าเป็นนักตะกร้อในตำแหน่งตัวฟาด แต่กับตำแหน่งตัวเสิร์ฟ ที่ไม่ได้ใช้ความโลดโผนกลางอากาศ กลับกลายเป็นว่า สิทธิพงศ์ คำจันทร์ เริ่มต้นได้ไม่ดีเท่าไหร่กับการเล่นตะกร้อในวัยเด็ก
"ครั้งแรกในชีวิตกับกีฬาระดับประเทศ นั่นคือกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ที่ สุราษฎร์ธานี บ้านผมได้เป็นเจ้าภาพ ตอนนั้นเขาก็ดึงนักกีฬาฝีมือดีเพื่อมาเล่น จำได้ว่านักตะกร้อเด็กสุราษฎร์ ที่ไปเรียนที่ รร.สวนกุหลาบ ซึ่งเป็นโรงเรียนดังของกีฬาตะกร้อ เขากลับมาเล่น แล้วเราได้โอกาสไปร่วมทีมด้วย ตอนนั้นดีใจมาก เพราะถ้าเทียบดีกรีแล้ว เราก็เป็นแค่ทีมโรงเรียนในระดับจังหวัดแค่นั้นเอง"
"วินาทีที่ผมเดินลงสนาม ตื่นเต้นมาก คนดูตอนนั้นเขาก็จับจ้องมาที่เรา เพราะสรีระตอนนั้นก็สูงยาว แต่ไม่กี่วินาทีถัดมามันกลายเป็นฝันร้ายไปเลย ลูกแรก แต้มแรก กับการจะได้ยกขาเสิร์ฟครั้งแรกให้กับทีมบ้านเกิดในเวทีกีฬาระดับเยาวชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ หลังจากยกขาเสิร์ฟไป รู้สึกตัวอีกทีคือเพื่อนบอกผมว่าแขนหัก"
"ตอนนั้นคือจำได้ว่าเพื่อนโยนตะกร้อให้เสิร์ฟไม่เข้าจุดเท่าไหร่ เราเลยเสียหลักตอนเสิร์ฟ แล้วล้มทับแขนตัวเอง นั่งรถพยาบาลไปหาหมอ หมอบอกว่าแขนมันผิดรูป ในหัวตอนนั้นมันมึนงงไปหมด ทั้งห่วงทีมที่กำลังแข่ง และกังวลกับอาการบาดเจ็บของเราด้วย"
แม้ว่า “แขนหัก” แม้จะเป็นเรื่องแย่ๆ แต่นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตเลยทีเดียว.. เมื่อแขนหักและต้องพักรักษาตัวถึง 5 เดือน และสิ่งที่หมอกำชับกับ สิทธิพงษ์ คือต้องดื่มนมเสริมแคลเซี่ยมเยอะๆ รวมไปถึงการได้กินปลากะตักในทุกๆวันเพื่อเสริมแคลเซี่ยมให้กับร่างกาย จากส่วนสูง 175 เซนติเมตรเมื่อตอนอายุ 15 ปี ความสูงของเจ้าตัวพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและในปัจจุบันเจ้าตัวสูง 192 เซนติเมตร ...
และด้วยสรีระความสูงที่เจ้าตัวพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด ก็ทำให้ลูกเสิร์ฟแบบฉบับแดนสะตอ ทวีความรุนแรงมากขึ้น จนทำให้ชื่อของ สิทธิพงษ์ คำจันทร์
เข้ามาสู่วงการตะกร้อระดับประเทศ .. เริ่มจากการคว้าแชมป์ตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ด้วยการคว่ำนักตะกร้อรุ่นพี่ดีกรีทีมชาติ
เมื่อตอนเรียนอยู่ชั้นม.5 จนจนเป็นใบเบิกทางสู่การติดยศจ่าอากาศตรี ในรั้วทหารอากาศ
"ตอนนั้นถ้าเอาฟอร์มเสิร์ฟผมถือว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นด้วยความที่สรีระมันดีขึ้น และความอยากเล่น ตอนนั้นลงแข่งก็ไม่ชนะใครเพราะเจอแต่ของจริง แต่ถ้านับเฉพาะเกมเสิร์ฟก็ถือว่ามั่นใจ พร้อมสู้กับทุกคน แม้ว่าผลงานของทีมจะตกรอบแรก แต่ก็ยังไปเข้าตาสโมสรทหารอากาศที่ติดต่อมา"
"ตอนนั้นผมก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล แต่การไปอยู่กับสโมสรทหารอากาศก็ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ว่าการเล่นตะกร้อไม่ใช่แค่ลงไปเสิร์ฟอย่างเดียว มันมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก และได้โค้ชวีระ วรวิเศษ รวมถึงการได้ซ้อมกับพวกพี่ๆในค่ายทหารอากาศทำให้ผมได้พัฒนาตัวเองขึ้นมามากขึ้น"
"ในช่วงวัย 17-18 ปี ถือว่าผมอยู่ได้ก้าวไปอีกหนึ่งขั้นกับกีฬาตะกร้อ ทั้งการได้แชมป์ในรายการชิงแชมป์ประเทศไทย การได้แชมป์ตะกร้อไทยแลนด์ลีกแบบไม่แพ้ใครทั้งฤดูกาลกับสโมสรตะกร้อม.กรุงเทพธนฯ รวมถึงเป็นหนึ่งในขุนพลเยาวชนทีมชาติไทย ซึ่งน้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จในช่วงวัย ม.ปลาย"