“รู้ สู้ POD” พร้อมร่วมประกาศเจตนารมณ์รับมือบุหรี่ไฟฟ้าอย่างมียุทธวิธี
-------------------------------------------------------
“รู้ สู้ POD” พร้อมร่วมประกาศเจตนารมณ์รับมือบุหรี่ไฟฟ้าอย่างมียุทธวิธี
-------------------------------------------------------
วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมกับสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย และเครือข่ายขับเคลื่อนสร้างความรู้ที่ถูกต้องเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า จัดเสวนา “รู้ สู้ POD” ณ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
จากผลการเฝ้าระวังพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็ก เยาวชน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ระหว่างวันที่ 1 – 27 พฤษภาคม 2567 ของกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พบว่า ระดับความรู้ภาพรวมอยู่ในระดับดีร้อยละ 71 (คะแนน 80% ขึ้นไป) ส่วนระดับพอใช้และระดับไม่ดี ร้อยละ 29
ส่วนความรู้รายประเด็น พบว่า ครูมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าโดย เข้าใจว่า นิโคตินทำให้ร่างกายตื่นตัวส่งผลดีต่อสุขภาพ ร้อยละ 35.9 และ บุหรี่ไฟฟ้า ทำให้ช่วยเลิกบุหรี่มวนได้ ร้อยละ 14.5 ส่วนกลุ่มเด็ก เยาวชน มีประเด็นที่น่าสนใจคือเด็กอายุน้อยที่สุดที่มีการ สูบบุหรี่ไฟฟ้าคือ 8 ขวบ โดยภาพรวมความรู้ อยู่ในระดับดีขึ้นไป ร้อยละ 46.81 (คะแนน 80% ขึ้นไป)
ความรู้รายประเด็น พบว่า เด็กและเยาวชน มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า โดย เข้าใจว่า นิโคตินทำให้ร่างกายตื่นตัวส่งผลดีต่อสุขภาพ ร้อยละ 51.19 และ บุหรี่ไฟฟ้า ทำให้ช่วยเลิกบุหรี่มวนได้ ร้อยละ 61.23 ทั้งนี้ เด็กไม่เคยได้รับคำแนะนำหรือสอนเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า จากครู อาจารย์ ร้อยละ 38.90 ไม่เคยได้รับคำแนะนำ หรือสอนเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าจากผู้ปกครอง ร้อยละ 64.50
ส่วนทัศนคติเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า เด็กเข้าใจว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน ถึงร้อยละ 50.02 และมีข้อเสนอจากครูและบุคลากรทางการศึกษาในการจัดการเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ว่าอยากให้มีการให้ความรู้กับครูและผู้ปกครอง ร้อยละ 98.7 และ อยากให้มีแนวทางที่ชัดเจนสำหรับครูในการจัดการบุหรี่ไฟฟ้า ร้อยละ 99.0 ผลการเฝ้าระวังดังกล่าว นำมาสู่การร่วมเสวนาของเครือข่ายในการสร้างความรู้ที่ถูกต้องเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อรับมือกับการรุกคืบของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างมียุทธวิธี
พญ.ภาวิณี รุ่งทนต์กิจ รองผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สถานการณ์บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ มีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อก่อนเราอาจจะมีข้อมูลว่า การที่เด็กเยาวชนสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นเรื่องของการสร้างตัวตน ให้เท่ เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ แต่ปัจจุบันมันระบาดลงไปในชั้น ป.1 แล้ว ซึ่งข้อมูลจากกองสุขศึกษานำเสนอว่า 8 ขวบ แต่ใน กทม. 6 ขวบ ก็เจอแล้ว ซึ่งเป็นผลจากการที่บุหรี่ไฟฟ้ามาในหลากหลายรูปแบบ และไม่ได้น่ากลัวเหมือนในอดีต ผู้ผลิตมุ่งเป้ามาที่เยาวชนและลงไปถึงกลุ่มเด็กเล็ก โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น Toy pod ของเล่นน่ารัก และใส่กลิ่นลงไปเพื่อสร้างแรงจูงใจในเด็ก ตลอดจนทำให้ ครู ผู้ปกครองเข้าใจผิดว่า บุหรี่ไฟฟ้า ไม่อันตราย
“ในส่วนของกรุงเทพมหานคร ให้ความสำคัญกับปัญหานี้มาก จึงได้มีการออกประกาศคณะกรรมการควบคุมยาสูบของกรุงเทพมหานครในการที่จะควบคุมทั้งบุหรี่บุหรี่ไฟฟ้า ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครและบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้ลูกหลานในโรงเรียนและบริเวณใกล้เคียงปลอดภัยจากบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้าและสารเสพติด รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้กับบุคลากรและนักเรียน เพื่อให้รู้เท่าทันเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ชี้แจงผู้ปกครองขอความร่วมมือปฏิบัติร่วมกัน ประสานความร่วมมือกับคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและกองบุญชาการตำรวจนครบาลในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเด็กที่สูบแล้วอยากเลิก”
รัชฎาพร บุตรเพ็ชร หัวหน้ากลุ่มงานกิจการนักเรียน กองเสริมสร้างสมรรถนะนักเรียน สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร กล่าวว่ากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงมีปัญหาในหลายมิติ อาจมีคำถามว่า แล้วทำไมต้องบุหรี่ไฟฟ้า
“การปลดล็อคและมาตรการต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้เด็ก เยาวชน เข้าถึงสารเสพติดได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการทั้งในเรื่องระเบียบการให้ความรู้และจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยสำหรับเด็กต้องยอมรับว่าเด็กในปัจจุบันเขาสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด เขาสามารถแยกอุปกรณ์เป็นชิ้นๆแล้วนำเข้ามาประกอบในโรงเรียนได้ ดังนั้นเราก็ต้องหาวิธีการรับมือ เช่นใช้การตรวจค้นก่อนเข้าโรงเรียนการจัดทำประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดร่างระเบียบเรื่องในฐานะขององค์กรที่ดูแลเด็กและเยาวชนในระบบของกรุงเทพมหานคร รวมถึงการสอดแทรกความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพราะการสร้างภูมิคุ้มกันคือสิ่งที่ดีที่สุด ให้เขารักตัวเอง รักครอบครัว”
ด้าน อดิศร แก้วเล็ก รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาเด็กและเยาวชนฯ ไม่ได้ตั้งธงต้านบุหรี่ไฟฟ้า แต่สิ่งที่สภาเด็กและเยาวชนฯ เห็นว่าเป็นปัญหาคือการกระจายลงไปในพื้นที่ต่างจังหวัดเยอะมาก ยิ่งพื้นที่ห่างไกลนับวันจะเพิ่มความรุนแรง อย่างที่จังหวัดลำพูนเพิ่งมีการจับ 200 กว่ารายที่มีการตั้งกลุ่มขายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับน้องประถม มัธยมศึกษาในโรงเรียน สภาเด็กฯจึงรณรงค์ให้มีมาตรการที่ชัดเจนในโรงเรียน ส่วนนอกสถานการณ์ศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น
“การขับเคลื่อนของสภาเด็กฯ ดำเนินการในสองส่วนคือ ระดับนโยบายมีการขับเคลื่อนผ่านสมัชชาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย มีการลงมติว่า เรื่องบุหรี่ไฟฟ้าต้องกลับไปอยู่ในกฎหมายควบคุม ไม่ให้มีการเปิดเสรี เพราะจะส่งผลร้ายกับสุขภาพเด็กและเยาวชน ซึ่งได้ไปยื่นเรื่องให้นายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีการสั่งการหรือมอบนโยบายหน่วยงานภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องดำเนินการเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ในส่วนของระดับปฏิบัติการมีการผลิตสื่อเพื่อให้ความรู้กับน้องๆ รวมถึงการจัดกิจกรรมในโครงการทูบีนัมเบอร์วัน สำหรับยุทธวิธีที่เราจะขับเคลื่อนต่อไปคือ การส่งเสริมสนับสนุนให้น้องๆ ดำเนินการเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป แม้จะเป็นเรื่องยาก และอาจจะมีดรามาในระหว่างทาง อยากให้กำลังใจกับทุกคน โดยมีคาถาที่อยากให้นำไปใช้ในการทำงาน คือ รู้ให้จริงเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า พูดให้เยอะ คือพูดบ่อยๆโดยเอาความรู้ถูกต้องที่เรามีไปพูด และทำให้เป็น ทำให้จริง ทำเพื่อให้เป็นตัวอย่างของคนอื่นๆ”
พชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ปัญหาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้านับวันจะทวีความรุนแรงในระยะยาว ถ้าไม่ถูกสกัดกั้นนับตั้งแต่วันนี้ เพราะมันไม่เลือกว่าจะเป็นเด็กดีหรือไม่ดี เป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง เรียนดีหรือเรียนไม่ดี เพราะข้อมูลล่าสุดที่สถาบันฯ ทำร่วมกับ สสส.พบ 13% ของนักศึกษาแพทย์ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ดังนั้นการเฝ้าระวังบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน ในสถานศึกษา จึงไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเสี่ยง จึงทำให้หลายหน่วยงานลุกขึ้นมาทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง
“บุหรี่ไฟฟ้าเป็นของที่ผลิตไม่ได้ในประเทศไทย ยังไม่มีโรงงานไหนที่ประเทศไทยผลิตได้ เป็นการนำเข้า 100% สิ่งที่ กองสุขศึกษา สำนักอนามัย สำนักการศึกษา กทม. รวมทั้ง สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยดำเนินการในขณะนี้ เป็นกลางกับปลายน้ำ สิ่งสำคัญอีกส่วนหนึ่งคือการป้องกันที่ต้นน้ำ ทำอย่างไรที่บุหรี่ไฟฟ้าจะไม่เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งทำได้ง่ายที่สุดคือ กวดขันการบังคับใช้กฎหมายไม่ให้มันหลุดเล็ดลอดเข้ามา ต่อให้เด็กอยากจะสูบแค่ไหน ถ้าบุหรี่ไฟฟ้าไม่หลุดเข้ามาในประเทศไทย เขาก็หาซื้อไม่ได้ ต้องอาศัยพลังประชาชนในการส่งเสียงร่วมกันว่า การบังคับใช้กฎหมายต้องเข้มงวด ทุกคนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการดูแลลูกหลานของพวกเราทุกคน”
มะลิ ไพฑูรย์เนรมิต ผู้อำนวยการกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กองสุขศึกษา ขับเคลื่อนเรื่องบุหรี่มาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็น 1 ในปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพที่สำคัญ ตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติข้อ 5 คือ งดบุหรี่ สุรา ยาเสพติด จากข้อมูลผลการเฝ้าระวังพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ปี 2567 มีประเด็นที่เป็นเสมือนข้อเสนอจากครูและบุคลากรทางการศึกษาในการจัดการเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า คือ การให้ความรู้กับครูและผู้ปกครอง และมีแนวทางที่ชัดเจนสำหรับครูในการจัดการบุหรี่ไฟฟ้า
“ในส่วนของกองสุขศึกษา มีข้อเสนอเพื่อสนองความต้องการดังกล่าว คือ ให้มีการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันของเครือข่ายในการขับเคลื่อนประเด็นบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะการเชื่อมประสานความร่วมมือในระดับนโยบายลงสู่ระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม เช่น พัฒนาศักยภาพ/สื่อสาร ให้ผู้ปกครอง ครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งจากการเสวนาในครั้งนี้ สิ่งที่คาดหวังจะให้เกิดขึ้น ทุกหน่วยงานจะร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจป้องกัน และลดอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ภายใต้บทบาทภารกิจของแต่ละองค์กร ทั้งสร้างการรู้เท่าทันในกลุ่มเด็ก เยาวชน ครู และบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงการเฝ้าระวัง และสนับสนุนให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยจะมีการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในวัน Kick off รณรงค์สุขบัญญัติแห่งชาติ วันที่ 14 มิถุนายน 2567”