เนื้อหา
1.การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข่ามามีบทบาทกับชีวิตของผู้คนในหลากหลายด้าน และถือเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน โดยเราสามารถใช้เทคโนโลยีในการเข้าถึงข้อมูลจากผู้อื่น รวมถึงสามารถแชร์ข้อมูลของตนเองไปสู่ผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ต ที่ต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆที่ต้องการได้แล้ว
เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการพัฒนาให้มีรูปแบบที่มีความน่าสนใจและอยู่ใกล้ชิดกับชีวิตของมนุษย์มากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีจึงสร้างทั้งคุณประโยชน์และโทษให้กับผู้ใช้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันเกิดปัญหาทางสังคมจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจในหลากหลายลักษณะ ตัวอย่างของคุณประโยชน์และโทษของการใช้เทคโนโลยี มีดังนี้
1.คุณประโยชน์จากการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศมีทั้ง ประโยชน์มากมายและมีผลต่อการดำรงชีวิตของทุกคนโดยไม่รู้ตัว เช่น
ทำให้เกิดคุณภาพชีวิตทีดีขึ้น และมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้นจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ใช้อำนวยความสะดวกในด้านการศึกษา เช่น ระบบการลงทะเบียน ระบบการจัดตารางสอน นอกจากนี้ ยังใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน เช่น การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต สื่อการสอน หรือบทเรียน
ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันอย่างสะดวก รวดเร็ว โดยใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรือแหล่งอื่นๆ
ทำให้เกิดการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น เช่น การรวบรวมข้อมูลเรื่องคุณภาพในเเม่น้ำลำคลองสายต่างๆ เพื่อนำมาตรวจวัดมลภาวะเเล้วดำเนินการเเก้ไขปัญหา เป็นต้น
2.โทษจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ มักจะเกิดขึ้นจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจ ซึ่งมักจะขาดสติ ความยั้งคิดต่อการรับรู้ข่าวสาร หรือเกิดจากการหลงเชื่อสิ่งที่มีการโฆษณาหลอกลวงทำให้เกิดเหตุการณื ที่มีผลกระทบต่อผู้คนหรือตัวผู้ใช้ได้
1) ปัญหาการติดเกมจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานาน และยังเป็น ปัญหาที่เกิดขึ้นในวัยเด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ และยังก่อให้เกิดปัญหาสังคมบ่อยครั้ง
2)ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์จากการใช้เทคโนโลยรสารสนเทศ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งเกิดจากผู้ที่ ตั้งใจและไม่ตั้งใจ จนนำมาซึ่งปัญหาการเรียกร้องค่าเสียหายต่อผู้ที่กระทำผิด
3) ปัญหาสังคมเสื่อมจากการใช้เทคโนโลยี การใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดกำลังเป็นปัญหาในสังคม
ไทยจากการเผยแพร่หรือแสดงพฤติกรรมเลียนแบบที่ไม่เหมาะสมซึ่งปัจจุบันเด็กเล็กก็สามารถ เข้าไปรับ ชม รับฟังได้ง่าย
4)ปัญหาอาชญากรรมทางข้อมูลจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นปัญหาที่มีผลกระทบ รุนแรง เพราะเป็นการนำข้อมูลส่วนบุคคล หรือองค์กร มาดัดแปลง แก้ไข ปลอมแปลง ทำให้เกิดการสูญ เสียทรัพย์สินต่อผู้ที่ถูกกระทำ
5) ปัญหาการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการคุกคามซึ่งใน ปัจจุบันมีผู้ถูกดำเนินคดีมากมาย จากการก่อความรำคาญ หรือทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน
6) ปัญหาอาชญากรรมที่มีผลต่อชีวิตจากเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงและมี ผลกระทบร้ายแรงในวงกว้างตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงระดับโลก ซึ่งในปัญหานี้เกิดจากการนำความ สามารถทางเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด หรือเพื่อแสวงหาผลกำไร จนทำให้ผูอื่นเดือดร้อน
2.การปฏิบัติตนเมื่อพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศรูปแบบหนึ่งที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดคือ อินเตอร์เน็ต ซึ่งถือเป็น เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายเครือข่ายทั่วโลกเข้าด้วย กันเเละเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายเครือข่ายทั่วโลกเข้าด้วยกัน และเป็นเครือข่ายคอทพิวเตอร์ที่ทุก คนสามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ต โดยการเข้าใช้งาน อินเทอร์เน็ตของแต่ละคนก็มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน
1.รูปแบบของเนื้อหาเกี่ยวกับการพนัน หรือการเสี่ยงโชค มักพบอยูาในรูปแบบของเนื้อหาในการ ชักจูงบุคคลต่างๆ ให้เข้ามาเล่นโดยแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนที่สูงกับการลงทุนที่น้อย
2. รูปแบบของเนื้อหาที่เกี่ยวกับสื่อลามกอนาจาร หรือบางครั้งเรียกว่า สื่อสำหรับผู้ใหญ่ มักเป็นสื่อที่ มีการแสดงเนื้อหาเกียวกับเรื่องเพศ
3. รูปแบบของเนื้อหาเกี่ยวกับการหลอกลวง การเติบโตของสื่อสังคมออนไลน์ หรือเครือข่าย สังคมออนไลน์ในปัจจุบัน
4. รูปแบบของเนื้อหาเกี่ยวกับการคุกคามหรือการข่มขู่ ถือเป็นปัญหาหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อน ให้กับผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นแล้ว ก็ยังมีผลกระทบถึงสิทธิส่วนบุคคล
3.ความรับผิดชอบต่อการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ
การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันมีทั้งการใช้งานเพื่องานส่วนตัว หรือใช้ งานเพื่อส่วนรวม และขณะใช้งานมีทั้งการใช้งานโดยตัวเราคนเดียว หรือการใช้งานร่วม กับคนอื่นซึ่งไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแบบใดหรือลักษณะใดก็ตามล้วนแล้วแต่ต้องมี จริยธรรมและความรับผิดชอบต่อการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งสิ้น
1.ความรับผิดชอบต่อตนเองเมื่อใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นสิ่งที่พึงควรกระทำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือส่งผลกระทบที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ใช้งานบัญชีผู้ใช้เฉพาะของตนเองเท่านั้น
ไม่ติดตั้ง หรือใช้ซอฟต์แวร์ที่ผิดกฎหมาย
ไม่แจกจ่ายข้อมูลส่วนตัวในรูปแบบใดๆ
ไม่แสดง หรือไม่เข้าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม
หมั่นตรวจสอบ ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
2.ความรับผิดชอบต่อบุคคลอื่นเมื่อใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ในการใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่น
ไม่พยายามที่จะใช้งานบัญชีผู้ใช้ของบุคคลอื่น
ไม่คัดลอก หรือนำเสนอผลงานของผู้อื่นที่ไม่ใช่ของตนเอง
ไม่เปลี่ยนแปลง ย้าย หรือลบไฟล์ของผู้อื่น
ไม่ข่มขู่ คุกคาม หลอกลวงผู้อื่นด้วยข้อมูลใดๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านสื่อสังคมออนไลน์
ไม่ส่งอีเมลที่ไม่เหมาะสม ไม่ส่งสิ่งที่อาจเกิดอันตรายต่อคอมพิวเตอร์ หรือแสปมให้กับผู้อื่น
3. ความรับผิดชอบต่อสังคมเมื่อใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นความรับผิดชอบทั้ง ในระดับบุคคลและองค์กร
ไม่พยายามเข้าถึงเครือข่ายใดๆที่ไม่ได้รับอนุญาต
ปฏิบัติตามกฏระเบียบ หรือข้อบังคับขององค์กรในการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ เคารพการใช้กฎระเบียบร่วมกับผู้อื่น
ไม่เปิดอีเมล ไฟล์ หรือโปรแกรมที่ได้รับมาจากแหล่งที่ไม่รู้จัก
ไม่นำข้อมูลสารสนเทศขององค์กรไปเผยแพร่ เพราะข้อมูลทุกอย่างถือเป็นข้อมูลขององค์กรที่ไม่ให้มีการนำออกไปสู่บุคคลภายนอก
ไม่พยายามเจาะระบบ เข้าสู่ระบบ ขโมย คัดลอก โอนย้าย หรือแก้ไข ปลอมแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. ทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา คือ ผลงานอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เป็น ทรัพย์สินอีกชนิดหนึ่ง นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่สามารถเคลื่อนย้าย ได้
4.1 ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา
1.ลิขสิทธิ์ คือ สิทธิแต่ผู้เดียวที่กฎหมายรับรองให้ผู้สร้างสรรค์กระทำการใดๆ เกี่ยวกับงานที่ได้ทำขึ้น
1) ประเภทของงานที่มีลิขสิทธิ์ กฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครองแก่งานสร้างสรรค์ 9 ประเภทตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่
งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
งานนาฏกรรม เช่น งานที่เกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่า
งานศิลปกรรม เช่น งานจิตรกรรม งานประติมากรรม ภาพพิมพ์ งานสถาปัตยกรรม
งานดนตรีกรรม เช่น คำร้อง ทำนอง การเรียบเรียงเสียงประสาน
งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง ซีดี
งานโสตทัศนวัสดุ เช่น วิดีโอ เทป วีซีดี ดีวีดี แผ่นเลเซอร์ดิสก์ที่บันทึกข้อมูล
งานภาพยนตร์ เช่น ภาพยนตร์ รวมทั้งเสียงประกอบของภาพยนตร์
งานแพร่เสียงแพร่ภาพ เช่น การกระจายเสียงวิทยุ หรือถาพทางโทรทัศน์
งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
2) การได้มาซึ่งสิทธิ์ สิทธิในลิขสิทธิ์จะเกิดขึ้นโดยทันทีนับตั้งแต่ผู้สร้างได้ สร้างสรรค์ผลงานเสร็จโด ยไม่ต้องจดทะเบียน
3) เจ้าของลิขสิทธิ์ คือ ผู้ที่มีสิทธิในการจัดการกับงานลิขสิทธิ์ของตนเอง
4) เอกสารที่ใช้ประกอบการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง(กรณีเป็นบุคคลธรรมดา)
สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคลที่นายทะเบียนออกให้ไม่เกิน 6 เดือนของเจ้าของลิขสิทธิ์ (กรณีเป็นนิติบุคคล)
หนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (รับรองสำเนาถูกเนาถูกต้อง)
ผลงานหรือภาพถ่ายงานลิขสิทธิ์ จำนวน 1 ชุด ของเจ้าของลิขสิทธิ์ (กรณีเป็นนิติบุคคล)
หน่วยงานหรือองค์กรของรัฐบาลใช้สำเนาหนังสือแต่งตั้งผู้บริหารหน่วยงานหรือองค์กร รวมทั้งสำเนาบัตรประชาชนของผู้ยื่นคำขอ (รับรองสำเนาถูกต้อง)
5)ประโยชน์ของลิขสิทธิ์ เจ้าของสิทธิ์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ลิขสิทธิ์ และมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใดๆ เกี่ยวกับผลงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ ทำขึ้นหรือผลงานตามข้อใดข้อหนึ่งตามที่กล่าวไว้ข้างต้น
2. สิทธิบัตร คือ หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด
1) ประเภทของสิทธิบัตร
สิทธิบัตรการประดิษฐ์
สิทธิบัตรการออกแบบ
อนุสิทธิบัตร
2) ความแตกต่างระหว่างอนุสิทธิบัตรและสิทธิบัตรการประดิษฐ์
3) ประโยชน์ของสิทธิบัตร
4.2 ข้อดี ข้อเสียของทรัพย์สินทางปัญญา
ข้อดี
ช่วยให้ผู้ที่คิดค้นเกิดความเป็นธรรม เพราะหากผู้ประกอบการรายใดต้องนำไปใช้ ควรมีการขออนุญาตและจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้คิดค้น
ช่วยคุ้มครองเจ้าของผลงานที่เป็นผู้คิดและกลั่นกรองออกมาจนเป็นผลงานที่หลายคนต้องการ
ข้อเสีย
การตั้งราคาอาจไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ส่งผลต่อการซื้อแบบถูกลิขสิทธิ์ต้องเสียเงินแพง
ฐานะและกำลังซื้อของผู้บริโภคในแต่ละประเทศแตกต่างกัน อาจจะแพงต่อผู้บริโภคในประเทศที่ยากจนที่ไม่มีรายได้มากพอจะซื้อทรัพย์สินทางปัญญาจากต่างประเทศมาใช้ และในบางกรณีอาจมีผลกระทบต่อช่ีวิต เช่น ยาต้านมะเร็ง