English Reading Skill
การเดาความหมายจากบริบท Context Clue
ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6
โดย ครูณฤดี เหล่าคนค้า
โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา อำเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น สพม.ขอนแก่น
ผลการเรียนรู้ : อ่านประโยค ข้อความแล้วระบุความหมายของคำศัพท์ในประโยคและข้อความโดยใช้บริบทได้ถูกต้อง
จุดประสงค์การเรียนรู้ : 1. เดาความหมายของคำศัพท์จากบริบทตามลักษณะของคำชี้แนะหรือคำสัญญาณได้ถูกต้อง
2. บอกความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยจากบริบทได้ถูกต้อง
3. ระบุประเภทของคำชี้แนะ หรือคำสัญญาณของแต่ละบริบทได้ถูกต้อง
4. ใช้กระบวนการกลุ่มเพื่อแสวงหาความรู้ได้
5. นักเรียนมีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน
Are you ready? Let's start.
ทำแบบทดสอบก่อนเรียนกันนะ
การเดาความหมายจากบริบท Context Clue
ปัญหาที่พบบ่อยๆ ในการอ่านภาษาอังกฤษก็คือ การไม่รู้ ความหมายของคำศัพท์ จึงทำให้ไม่เข้าใจข้อความที่อ่าน และไม่สามารถตีความโจทย์ข้อสอบได้ อ่านไม่เข้าใจจ วิธีที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ก็คือ ต้องรู้ความหมายศัพท์ แต่การรู้ความหมายศัพท์โดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรม(Dictionary) นั้น ทำได้โดยนักเรียนจะต้องเดาความหมายนั้นจากบริบท(Context) ซึ่งหมายถึง ข้อความ หรือศัพท์หลายๆ คำซึ่งแวดล้อมคำศัพท์ ไม่รู้ความหมาย แล้วทำให้เดาความหมายของศัพท์ที่ไม่รู้ได้ สิ่งจำเป็นต่อการเข้าใจคำศัพท์ เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะความหมายของคำศัพท์นั้นๆต้องขึ้นอยู่กับคำอื่นๆ ซึ่งอยู่ข้างเคียงด้วย เช่น "will" ในประโยค “We will come back soon.” (will = จะ) แต่ถ้าใน ประโยค “With his strong will, he could win the match.” (will = ความปรารถนา) เป็นต้น
เราจะรู้ความหมายของคำศัพท์ได้อย่างไร
นักเรียนสามารถตีความหมายได้โดยอาศัยสิ่งแนะที่อ บริบท(Context Clue) สิ่งชี้แนะหรือตัวสัญญาณ(Clue / Signal Word) ซึ่งสามารถช่วยชี้แนะความหมายของคำศัพท์ที่ไม่ ให้กับนักเรียนได้อย่างถูกต้องตรงตามบริบท สิ่งชี้แนะหรับสัญญาณที่สำคัญควรรู้ได้แก่
1. Definition Clue
2. Restatement Clue
3. Example Clue
4. Comparison or Contrast Clue
5. Cause and Effect Relationship Clue
6. Subjective Clue
7. Experience Clue
8. Tone or Mood Clue
9. Words in a Series Clue
10. Discourse Marker/Transitional Word Clue
- Definition Clue
Definition Clue เป็นการแสดงความหมายหรือนิยามคำศัพท์โดย พิจารณาคำชี้แนะหรือคำสัญญาณ(Clue Signal Words) ที่ปรากฏอยู่ในข้อความนั้นๆ เช่น
1. means
2. to be called
3. to be defined as
4. to be the name given to
5. to be a type of
6. can be defined as
7. may be described as
8. what this means is
9. verb to be
10. to be a kind of
11. to be regarded as
12. to be known as
13. consist of, refer to
14. can be thought of
15. may be seen as
คำชี้แนะดังกล่าว มีความหมายใกล้เคียงกันแปลว่า“คือ,หมายถึง, หมายความว่า, เรียกว่า”
ตัวอย่างเช่น
A person who writes a play is called a playwright.
a playwright เป็นคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
is called เป็นคำชี้แนะหรือคำสัญญาณ
a person who writes a play เป็นคำนิยามหรือความหมาย ของคำว่าa playwright นั่นก็คือคนเขียนบทละคร
2. Restatement Clue
Restatement Clue ผู้เขียนต้องการบอกความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยนั้น โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายขึ้นโดยการ กล่าวซ้ำ บางครั้งอาจเป็นคำแปลโดยตรง หรืออธิบายเพิ่มเติม ผู้เขียนอาจใช้ศัพท์เฉพาะและใช้คำเชื่อมอธิบาย ทราบ การสังเกตบริบทประเภทนี้ สามารถดูได้จากคำชี้แนะหรือคำสัญญาณและ เครื่องหมายวรรคตอนดังนี้
คำชี้แนะและคำสัญญาณที่พบบ่อย เช่น
or (หรือ), that is (นั่นคือ),that is to say / i.e. (นั่นคือ),in other words (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ),namely (กล่าวคือ) เป็นต้น
เครื่องหมายวรรคตอนมีดังนี้
, ............................. เครื่องหมาย Comma
,.............................., เครื่องหมาย Commas
- .............................. เครื่องหมาย Dash
- .............................. เครื่องหมาย Dashes
(...............................) เครื่องหมายวงเล็บ Parentheses
หมายเหตุ i.e. เป็นภาษาลตินมาจากคำว่า id est
แปลว่า that is to say
ตัวอย่างเช่น
1. I spotted a horde - or mass - of birds flying south across the inlet.
horde เป็นคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
-….............. - เป็นเครื่องหมายวรรคตอน ชี้แสดงความหมายข ศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
mass เป็นความหมายของคำว่า horde ดังนั้นhorde จึง หมายถึง จำนวนมหาศาล
2. You can take an escalator, or a moving staircase, to go down to the platform.
escalator เป็นคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
or เป็นคำชี้แนะหรือคำสัญญาณ
a moving staircase เป็นความหมายของคำว่า escalator นั่นก็คือบันไดเลื่อน
3. Example Clue
Example Clue ผู้เขียนบอกความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยโดยการ ยกตัวอย่างประกอบความหมายของ คำศัพท์ทั้งนี้ก่อนที่จะยกตัวอย่างขึ้นมาประกอบ ผู้เขียนจะใช้คำชี้แนะหรือคำสัญญาณ หรืออาจเป็นเครื่องหมายวรรคตอน
คำชี้แนะหรือคำสัญญาณที่พบบ่อยได้แก่
for example / e.g. / for instance / like / as / especially/specifically / such as / as an example
ซึ่งมีความหมายว่า เช่น หรือ ตัวอย่างเช่น
เครื่องหมายวรรคตอนที่พบบ่อย เช่น
, เครื่องหมาย Comma
: เครื่องหมาย Colon
- เครื่องหมาย Dash
ตัวอย่างเช่น
Do you participate in one of the more popular avocation, such as jogging, playing tennis, or stamp collecting?
avocation เป็นคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
such as เป็นคำชี้แนะ หรือสัญญาณ
jogging , playing tennis, stamp collecting เป็นตัวอย่าง
ดังนั้น avocation มีความหมายว่า งานอดิเรก
4. Comparison or Contrast Clue
Comparison or Contrast Clue หมายถึง การชี้แนะความหมายด้วยการ เปรียบเทียบ(Comparison) หรือการ แย้งความ(Contrast) โดยปกติ มักจะให้คำชี้แนะหรือคำสัญญาณแสดง การเปรียบเทียบ หรือแสดงการขัดแย้ง
คำชี้แนะหรือคำสัญญาณแสดงการเปรียบเทียบที่พบบ่อย เช่น
- as / as.....as / like / alike / similar to / resemble (v) = เหมือนกับ
- similarly (adv) / likewise (adv) = ในทำนองเดียวกัน
- correspondingly (adv) / in the same way (adv) /comparing / compared with = เปรียบเทียบกับ
- as if / as though = ราวกับว่า
คำชี้แนะหรือคำสัญญาณแสดงการขัดแย้งที่พบบ่อย เช่น
- but / yet = แต่
- however / nevertheless / nonetheless / anyway = แต่ อย่างไรก็ตาม
- though / although / even though / despite / in spite of / even = แม้ว่า
- while / whereas = ในขณะที่
- on the other hand / on the contrary = ในทางตรงข้าม
ตัวอย่างเช่น
1. The boy was in very mean clothes, but he had a fresh and well-favored face.
ผู้อ่านเดาคำว่า mean ได้จากตัวชี้แนะ but ที่ว่าเด็กผู้ชายใส่เสื้อ ที่....... แต่เขามีใบหน้าที่หล่อและสดชื่นจะเห็นได้ว่าคำว่า but เชื่อมคำว่า mean และ fresh and well-favored ดังนั้นผู้อ่านจึง บอกความหมายของ mean ได้ว่าเก่า สกปรก
2. They were different as if day and night. While he was a lively conversationalist, with something to say an every subject, she was reserved and taciturn.
คำว่า taciturn หมายถึง เงียบขรึม ซึ่งเดาความหมายได้จาก ประโยคแรกว่า ชายและหญิงคู่นี้ แตกต่างกันราวกลางวันและ กลางคืนขณะที่ผู้ชายเป็นคนช่างพูด แต่ผู้หญิงนั้นกลับตรงข้าม คือเงียบขรึม เดาได้จากตัวชี้แนะคือ while ที่บอกความขัดแย้งกัน
5. Clause and Effect Relationship Clue
Cause and Effect Relationship Clue เป็นการแสดงถึง ความสัมพันธ์ ระหว่างสาเหตุ(Cause) และผลลัพธ์ (Result) จากสาเหตุ นั้นๆ ในการค้นหาความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยจากข้อความที่ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลลัพธ์นั้น มีข้อควรจดจำหากคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยปรากฏอยู่ในข้อความที่แสดงเหตุ ให้พิจารณาจากข้อความที่บอกผลลัพธ์เป็นลู่ทางในการเดาความหมาย นั้น แต่ถ้าหากคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยปรากฏอยู่ในข้อความที่ผลลัพธ์ให้พิจารณาจากข้อความที่บอกเหตุ เป็นลู่ทางในการเดาความ ของคำศัพท์ตัวนั้น
คำชี้แนะหรือคำสัญญาณที่บอกข้อความ เป็นเหตุ เช่น
because เพราะว่า
since เพราะว่า
as เนื่องจาก
no่w that เนื่องจาก
for เนื่องจาก
because of เนื่องจาก
owning to/ due to เนื่องจาก
on account of เนื่องจาก
thanks of เนื่องจาก
คำชี้แนะหรือคำสัญญาณที่บอกข้อความเป็นผลลัพธ์ เช่น
so / therefore / thus ดังนั้น
as a result ดังนั้น/ผลลัพธ์คือ
with result that ผลลัพธ์คือ
the final result that ผลลัพธ์สุดท้ายคือ
so เพื่อว่า
accordingly ดังนั้น
result ผลที่ตามมา
cause เป็นสาเหตุให้เกิด
that is why นั่นคือ
mean นั่นหมายถึงว่า
ตัวอย่างเช่น
The prestige of our school has grown because several students have won academic prizes, and all of the students passed university admission tests.
CAUSE : several students have won academic prizes, and all of the students passed university admission tests EFFECT : The prestige of our school has grown Clue : because
ดังนั้นสรุปได้ว่าคคำว่า prestige มีความหมายว่า ชื่อเสียง
6. Subjective Clue
Subjective Clue การชี้แนะชนิดนี้ นักเรียนต้องใช้วิจารณญาณ ส่วนตัว คิดด้วยเหตุผลจากข้อความที่ปรากฏตีความหมายศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย โดยพิจารณาจากข้อความแวดล้อม หรือใจความของเรื่อง และขบคิดตีความหมายของคำศัพท์นั้นออกมาด้วยตนเอง โดยไม่มี คำชี้แนะที่เป็นคำศัพท์ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น
1. The farmers store their grain in the granaries.
จากข้อความแวดล้อมบอกว่า ชาวนาเก็บข้าวเก็บไว้ที่granary แสดงว่าgranary เป็นยุ้งฉางส าหรับเก็บข้าวนั่นเอง
2. You have to hold this glass carefully; it is fragile.
จากข้อความบอกว่า คุณควรจะถือแก้วใบนี้อย่างระมัดระวังแก้ว fragile ดังนั้น fragile จึงควรมีความหมายว่า เปราะบาง นั่นเอง
7. Experience Clue
Experience Clue การชี้แนะชนิดนี้อาศัยประสบการณ์หรือความรู้เดิมของนักเรียนมาช่วยตีความหมาย จึงจะทำ ให้สรุปข้อความ และเดาความหมายของคำศัพท์ได้อย่างมีสมเหตุผล
ตัวอย่างเช่น
1. The water in the Chao Praya river at Bangkok was contaminated. At once they posted
signs warning people about the dangerous condition of the river.
จากประโยคที่สองที่บอกว่า พวกเขาติดป้ายเตือนผู้คนเกี่ยวกับสภาพอันตรายทันทีทำให้ผู้อ่านสามารถเดาได้ว่าcontaminated มีความหมายว่าติดเชื้อปนเปื้อนเชื้อโรค เพราะผู้อ่านสามารถใช้ประสบการณ์เดิมว่า เมื่อไหร่ที่น้ ต้องการประกาศเตือนผู้คน
2. People feel shamed if they do something wrong.
จากประโยคที่ว่า ผู้คนรู้สึก shamed ถ้าพวกเขาทำบางอย่างที่ผิด จากประสบการณ์ของผู้อ่าน จะทำให้วิเคราะห์ได้ว่า shamed น่าจะแปลว่า ละอายใจ
8. Tone and Mood Clue
Tone or Mood Clue คือการบอกความหมายของคำศัพท์โดยการ ใช้Clue ที่บอกผ่านน้ำเสียงของประโยค หรือ ข้อความ ซึ่งนักเรียนต้อง วิเคราะห์ ความรู้สึก น้ำเสียง เจตคติที่อยู่แวดล้อม หรือจาก ข้างเคียงของศัพท์ยากตัวนั้น มาช่วยตีความหมายของคำศัพท์
ตัวอย่างเช่น
1. I was alone. The day was dull with black clouds overhead. The dreary landscape cast a spell of melancholy over me.
ข้อความหน้าคำว่า melancholy ให้ความรู้สึกเศร้า เหงา บรรยากาศ อึมครึม ทิวทัศน์ที่แห้งแล้ง ฉะนั้นน่าจะ เดาได้ว่าmelancholy หมายถึง ความรู้สึกเศร้าห่อเหี่ยว
2. Don’t you dare talking to me like that! I am not your close friend. Stop insult me with such a manner.
จากข้อความข้างหน้าทำให้เราทราบว่าในข้อความมีอารมณ์โกรธ ไ พอใจอยู่มาก และการต่อว่าอีกฝ่าย ดังนั้น insult จึงน่าจะมีความหมายว่า รบกวน ก่อกวน
9. Word In Series Clue
Word in Series Clue หมายถึง การแนะความหมายของคำศัพท์โดยใช้ คำศัพท์ เกี่ยวกับสิ่งต่างๆหรือ
เหตุการณ์ใดที่จัดเรียง หรือตามติดกันมาเป็นชุดๆ เป็นคำที่บอกจำพวก หรือประเภทของคำในประเภทเดียวกัน มีความหมายใกล้เคียงกันแทนคำที่กล่าวมาแเพื่อเลี่ยงการใช้คำซ้ำที่ให้ประโยคสละสลวย เช่น animal,tool,vehicle, container และ vegetable . การรู้จัก Word in Series จะช่วยให้เข้าใจความหมายกว้างๆของศัพท์ที่อยู่ในประเภทเดียวกัน เมื่อต่างๆที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ก็ช่วยให้เข้าใจความหมายคำศัพท์
ตัวอย่างเช่น
Today I don’t really want to go picnic on such a dreary, depressing and gloomy day of the winter time.
คำว่า dreary, depressing, and gloomy เป็นคำศัพท์ที่อยู่ในรูปของ words in series ทำหน้าที่ขยายคำว่า day ถ้าเรารู้จักคำว่า depressing และ gloomy เราก็ สามารถเดาได้ว่า คำว่า dreary หมายถึง อึมครึม หดหู่
10. Discourse Marker and Transitional Word Clue
คำชี้แนะลักษณะนี้คือ คำหรือวลีที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมคำข้อความที่เชื่อมความคิดจากข้อความหนึ่งไปยังอีกข้อความหนึ่งประโยคหนึ่งไปอีกประโยคหนึ่ง ซึ่งคำเชื่อมเหล่านี้จะทำหน้าที่ประหนึ่ง เครื่องกำหนดทิศทางซึ่งจะให้สัญญาณว่า ข้อความที่กำลังอ่านอยู่นั้น มีส่วนต่อเนื่องหรือสัมพันธ์กันอย่างไร แบ่งเป็นกลุ่ม เช่น
1. Time Sequence / Order / Process คือค าหรือข้อความ ที่แสดง ลำดับก่อนหลัง หรือใช้เท้าความ เช่น firstly / first of all / to begin with / lastly
2. Cause and Effect Clue คือ ข้อความมีลักษณะเป็นเหตุเป็น มักใช้ตัวชี้แนะบอกความเป็นเหตุเป็นผลกันเช่น so/ therefore /because / due to / for this reason / because of
3. Emphasis or Certainty Clue ตัวแนะเหล่านี้จะช่วยเน้นย้ำ ข้อความให้หนักแน่นน่าเชื่อถือมากขึ้น แสดงความแน่นอน ไม่ เปลี่ยนแปลง เชื่อมข้อความทำหน้าที่เน้นหรือเสริมซึ่งกันและกัน เช่น actually / indeed / of course / certainly / in fact / in reality
4. Uncertainty Clue คำเชื่อมประเภทนี้ ใช้แสดงความไม่แน่นอน เช่น maybe / probably / possibly / perhaps
5. Condition Clue คำเชื่อมประเภทนี้ จะบอกให้ทราบว่าข้อ ที่มาข้างหน้า และข้อความที่ตามมาเป็นเงื่อนไขต่อกัน provided (that) / if / suppose / supposing (that) / unless / on the condition that
6. Concession Clue คำเชื่อมประเภทนี้ จะบอกให้ทราบว่าข้อความสองข้อความมีใจความที่ขัดแย้งกันเช่น in contrast / on the contrary / however / anyway เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น
Children dress up in witches’ hats or goblin suits to play pranks when celebrating the ancient pagan holiday of Halloween. In contrast, families dress more formally and set elegant tables for the more serious occasion of Thanksgiving
จากเรื่อง มีตัวชี้แนะคือ Incontrast ซึ่งเป็น discourse marker ที่แสดงความ ขัดแย้งกันเชื่อมใจความประโยคหนึ่งและและประโยคที่สองเข้าด้วยกัน ดังนั้น พอสรุปได้ว่า formally ต้องขัดแย้งกับประโยคแรก จึงพอเดาได้ว่า อย่างเป็น ทางการ อย่างมีรูปแบบ