จำนวนเตียง: 60 เตียง
รูปแบบการฝึกปฏิบัติงาน: ฝึกปฏิบัติงานในสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว
มีแพทย์เฉพาะทางหรือไม่: มี
มีแพทย์สาขาเวชศาสตร์ครอบครัวหรือไม่: มี
จุดเด่น: มีศูนย์ไตเทียม มีศูนย์การแพทย์แผนจีน ซึ่งมี รพช. น้อยแห่งที่จะมีไตเทียมและศูนย์การแพทย์แผนจีน มีคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) แยกออกจาก OPD โรงพยาบาล ซึ่งทำการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่าง ๆ ไม่เพียงเฉพาะ DM, HT, DLP แต่ยังมีคลินิก COPD (และ Asthma) คลินิกผู้สูงอายุ คลินิก DM remission ซึ่งจะกล่าวในรีวีวละเอียดต่อไป
ข้อดี: แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวของ รพ. ย่านตาขาว ใจดีทุกคน สอนเยอะมาก ๆ ทั้งการซักประวัติ การตรวจร่างกาย การประเมินที่เกี่ยวข้องกับเวชศาสตร์ครอบครัว รวมไปถึงหลักการ Palliative เบื้องต้น ได้เห็น Case OPD NCDs ใน รพ.สต. ซึ่งมีความแตกต่างจาก Case OPD ใน PCU ที่ได้เรียนในวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวในชั้นปีที่ 4 เพราะ Case ใน รพ.สต. จะมีเคสอื่น ๆ (นอกจาก 3 โรคฮิตของปวงชนชาวไทย) ด้วย เช่น Vertigo, Numbness, Depression นอกจากนี้ การเยี่ยมบ้านยังมีความแตกต่างจากการเยี่ยมบ้านในวิชาเวชศาสตร์ครอบครัว เพราะจะเป็นการเยี่ยมบ้านโดยสหวิชาชีพ และใช้เวลาน้อยกว่าการเยี่ยมบ้านในวิชาเวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งจะกล่าวในรีวีวละเอียดต่อไป
ข้อเสีย: ร้านอาหารในโรงพยาบาลมีน้อย (มาก) มีแค่ร้านอาหารตามสั่ง ที่อร่อยมาก ๆ และร้านขนมจีน ซึ่งไม่เคยกิน ถ้าอยากจะกินร้านอาหารอร่อย ๆ ในย่านตาขาวอาจจะต้องเดินไปประมาณ 500 เมตร - 1.5 กิโลเมตร ไม่ก็ต้องนำรถเข้าไปในโรงพยาบาล (ถ้าวันไหนมีเวลาเยอะ พี่หมอจะพาเรากินร้านอาหารตามที่ร้องขอได้)
รีวิวละเอียด
งานของแพทย์ Family Medicine ใน รพ.ย่านตาขาว ขอแบ่งเป็นส่วน ๆ ดังนี้
ส่วนที่ 1 การตรวจ OPD NCDs ใน รพ.สต.
โดยปกติแล้ว รพ.สต. มีการตรวจรักษาโรคที่พยาบาลเวชปฏิบัติสามารถสั่งยาได้ แต่ถ้าเป็นโรค NCDs (ก็คือพวกเบาหวาน ความดัน และไขมัน) จะมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวออกตรวจ โดยจะมีช่วงเวลาที่แพทย์จะออกตรวจในแต่ละสัปดาห์ เคสส่วนใหญ่ที่มารักษาใน รพ.สต. จะเป็น case follow-up (ติดตามการรักษา) ในบางเคสจะมีการฟังผลเลือดประจำปี เพื่อดูว่าผู้ป่วยนั้นสามารถควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันได้ตามเป้าหมายที่กำหนดใน guideline (แนวทางเวชปฏิบัติ) ได้หรือไม่
ถ้าควบคุมได้ >> อาจพิจารณาให้ยาในขนาดเดิม หรือ ปรับลดขนาดยา
ถ้าควบคุมไม่ได้ >> อาจพิจารณาปรับขนาดยา และปรับปรุงพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle modification) ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงวิถึชีวิต กิจวัตรประจำวัน และเศรษฐานะด้วย
การตรวจ OPD ทำให้ได้ฝึกทักษะการสื่อสาร โดยเฉพาะการสอบถามเรื่องวิถีชีวิต อาหารการกิน และการทำกิจกรรมทางกาย เนื่องจากเป็นปัจจัยที่สามารถลดระดับน้ำตาล ไขมัน และความดันได้ นอกจากยา และยังได้ฝึกทักษะการตรวจร่างกาย ส่วนตัวเคยเจอเคสที่มาด้วยเวียนศีรษะบ้านหมุน ถึงแม้ว่าระยะเวลาการหมุน เข้าได้กับ BPPV แต่การตรวจร่างกายก็สำคัญ ในที่นี้ได้ตรวจร่างกายระบบประสาท (Cerebellar sign) และการตรวจ Dix-hallpike เพื่อดูว่าตากระตุกไหม
ในแต่ละวันที่ได้ตรวจ OPD ผมได้ตรวจประมาณ 30 เคส ต่างจากการเรียนที่โรงเรียนแพทย์ที่ได้ตรวจเพียง 1 เคส แต่การตรวจ 1 เคสนี้คือให้ตรวจแบบ full option เช่น ถ้าคนไข้เป็นเบาหวาน ก็ตรวจ DM foot โดยใช้ monofilament รวมถึงแผลเบาหวาน ส่วนการตรวจที่ รพ.สต. คือจะต้องรีวิวประวัติการจ่ายยาและผล Lab แล้วถามในประเด็นที่สำคัญต่อการควบคุมโรค และมีการตรวจร่างกายในบางเคส
ส่วนที่ 2 การเยี่ยมบ้าน
การเยี่ยมบ้านที่ได้สัมผัสมา จะเห็นว่าเป็นการทำงานของหลายหน่วยงานทั้งโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพส่วนตำบล (ซึ่งมีทั้งสังกัด อบจ. และ สธ.) รวมไปถึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีการทำงานของสหสาขาวิชาชีพทั้งแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพบำบัด แต่ละวิชาชีพก็มีหน้าที่แตกต่างกัน
การเยี่ยมบ้านขอแบ่งได้เป็น
1. การเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุ - ผู้สูงอายุเป็นหนึ่งใน "กลุ่มที่ต้องได้รับการพึ่งพิง" (อีกกลุ่มหนึ่งก็คือเด็กและเยาวชน แต่กลุ่มนี้จะมีเรื่องอนามัยโรงเรียนอยู่แล้ว) ปัญหาของผู้สูงอายุที่พบได้ มีดังนี้
1) ปัญหา NCDs อย่างที่เรารู้กัน เมื่ออายุมากขึ้นประกอบกับวิถีชีวิตของคนตรัง (โดยเฉพาะวัฒนธรรมการกินวันละ 9 มื้อ ซึ่งแก้ได้ยาก) โอกาสในการเกิดโรคเหล่านี้ก็สูง ถ้าไม่มีผู้ดูแล (caregiver) โอกาสในการกินยาผิดก็สูง หรือบางคนไม่มี caregiver แล้วถ้าคนนั้นอ่านหนังสือไม่ออก ก็ต้องออกแบบวิธีการกินยาให้ถูกต้อง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้รูปภาพ
2) ปัญหาการหกล้ม เนื่องจากผู้สูงอายุมีความหนาแน่นของมวลกระดูกที่ต่ำลงเนื่องจาก physiological change ปัญหาการหกล้มก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ต้องป้องกัน การป้องกันทำได้โดยการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของบ้านที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ เช่น การมีราวจับ การทำทางลาด
3) ปัญหาเรื่องระบบประสาท เนื่องจากผู้สูงอายุที่ไม่ได้ใช้ความคิด หรือการเคลื่อนไหวมานาน ก็มีความเสี่ยงเรื่องระบบประสาท ทั้งสมองเสื่อม (dementia) หรือ parkinsonism ซึ่งก็จะมีแบบประเมินที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท รวมไปถึงการตรวจทางระบบประสาท (เท่าที่ทำได้)
และในการเยี่ยมบ้านแต่ละครั้ง จะมีการประเมินสุขภาพจิต เช่น TMSE (การประเมินสภาพจิต), 2Q/9Q/8Q (การคัดกรองโรคซึมเศร้า)
2. การเยี่ยมบ้านผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) ผู้ป่วยในกรณีนี้เป็นผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา เช่น ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (chemotherapy) จึงรักษาแบบ "รักษาตามอาการ (supportive treatment)"
ผู้ป่วยที่ได้ไปเยี่ยมทั้งหมดเป็นผู้ป่วยติดเตียง (bed-ridden) ซึ่งปัญหาของการที่ผู้ป่วยติดเตียงก็คือการเกิดแผลกดทับ (base sore) ซึ่งวิธีการป้องกันแผลกดทับทำได้โดยการใช้เตียงลมและการเปลี่ยนท่าทางการนอน นอกจากนี้แต่ละเคสที่ไปเยี่ยมบ้านจะมีเครื่องให้ oxygen ซึ่งน่าจะมีราคาสูง
ส่วนตัวมองว่าการดูแลผู้แบบ palliative ได้จะต้องมีเศรษฐานะที่ดีระดับหนึ่ง และจะต้องมี caregiver ที่เข้าใจผู้ป่วย จึงทำให้เกิด good (quality) of life และนำไปสู่ good death ได้
ส่วนที่ 3 การป้องกันโรคในผู้สูงอายุ
หนึ่งในหน้าที่ของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ก็คือ Disease Prevention หรือการป้องกันโรค หนึ่งในโรคที่เกิดในผู้สูงอายุและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตก็คือโรคสมองเสื่อม (dementia) ซึ่งโรคนี้จะส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตรัง
แต่จะมีภาวะหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนที่มีสมองปกติและโรคสมองเสื่อมคือ "ภาวะความนึกคิดบกพร่องเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment, MCI)" ซึ่งมีการคัดกรองตั้งแต่ระดับ อสม. ระดับ รพ.สต. และระดับ รพช. ซึ่งจะใช้แบบทดสอบในการคัดกรอง
เมื่อได้คนที่มีภาวะ MCI แล้ว จะเข้าสู่เพื่อฟื้นฟูความนึกคิดผ่านกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งได้จัด 6 ครั้ง ที่เทศบาลตำบลย่านตาขาว กิจกรรมแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างกันไป เช่น ให้ฟังนิทานแล้วให้แต่ละคนเล่าต่อ ๆ กันไป หรือกิจกรรมมิติสัมพันธ์ ที่ให้ทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น นับจำนวนวงกลม หาสิ่งของในภาพ หรือวาดแผนที่
กิจกรรมที่กล่าวมานี้ มีงานวิจัยรองรับว่าสามารถลดภาวะ MCI และบางคนอาจกลับไปสู่คนที่สมองปกติได้
ส่วนที่ 4 NCDs (DM) remission
โครงการนี้เป็นการนำผู้ป่วยเบาหวานที่มี criteria (เกณฑ์การคัดกรอง) ตรงตามที่เขากำหนด มาปรับปรุงตัวเอง โดยเป็นทำงานของสหวิชาชีพเช่นกัน ทั้งแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว พยาบาล เภสัชกร นักโภชนาการ และนักวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยเบาหวานอย่างเป็นองค์รวม นอกจากการใช้ยา เช่น การแนะนำการกินอาหารที่เหมาะสม การทำกิจกรรมทางกายที่เหมาะสม เป้าหมายของ DM remission ก็คือการลดยา (หรือการไม่ใช้ยา) ซึ่งค่ายาเบาหวานมีราคาสูงมาก
ที่ รพ.ย่านตาขาว มีผู้ป่วยเข้าร่วมแล้วส่วนใหญ่ลดยาได้ บางคนก็หยุดยาไปเลย
ส่วนที่ 5 คลินิกผู้สูงอายุ
คลินิกผู้สูงอายุ เป็นคลินิกที่ประเมินผู้สูงอายุแบบองค์รวม กล่าวคือ จะประเมินในหลาย ๆ ด้าน เช่น กิจกรรมทางกาย การคัดกรองภาวะซึมเศร้า การประเมินสุขภาพจิต การประเมินการทำงานในชีวิตประจำวัน (ADL) การประเมินความหนาแน่นของกระดูก (ซึ่งถ้ามีความเสี่ยง สามารถส่งต่อไปยัง รพ.ตรัง เพื่อประเมินเพิ่มเติมได้) รวมไปถึงเรื่อง caregiver การประเมินเหล่านี้ต้องใช้เวลา จึงแยกคลินิกออกมาเฉพาะเลย และการประเมินที่กล่าวมาข้างต้น จะใช้ในการป้องกันโรคในระดับต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล
จากงานทั้ง 5 ส่วนที่ได้ทำของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวทำได้มีมุมมองส่วนตัวดังนี้
1. เมื่ออายุมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยามีมากขึ้น รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสุขภาพมากกว่า คนอายุน้อย แต่ไม่ได้บอกว่าคนที่ไม่มีอายุจะไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรค โดยเฉพาะ NCDs คนที่มี BMI สูง อายุน้อย แต่ระดับไขมันสูงก็เคยเจอมาแล้ว
2. "แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวจำเป็นมากในบริบทการแพทย์ปฐมภูมิ" เพราะเป็นแพทย์ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุด สามารถเข้าถึงได้ที่ รพ.สต. ใกล้บ้าน ทำหน้าที่นอกจากการรักษาโรค แต่ยังทำหน้าที่ในการสร้างเสริมสุขภาพ และการสร้างเสริมสุขภาพ
แต่ปัญหาหลักก็คือจำนวนแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในไทยมีไม่เพียงพอ ใน อ.ย่านตาขาว มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว 3 คน รวมไปถึงแพทย์ที่กำลังเรียนเวชศาสตร์ครอบครัว (และปฏิบัติงานที่ รพ.ย่านตาขาว) อีก 2 คน แต่ในบางอำเภอของตรังยังไม่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งผมยังคิดอีกว่า "ในหลายอำเภอของภาคใต้ก็ยังไม่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว"
ส่วนตัวมองว่าอาจเป็นเพราะงานของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมีความแตกต่างจากแพทย์สาขาอื่น ๆ และเรื่องรายได้ที่ (อาจจะ) น้อยกว่าแพทย์สาขาอื่น ๆ รวมไปถึงถ้าเป็นคนในพื้นที่มาเรียนเวชศาสตร์ครอบครัว จะมีโอกาสที่ทำงานในภูมิลำเนามากกว่า เพราะเท่าที่สัมผัสมาแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในย่านตาขาวเป็นคนย่านตาขาว (หรือคนตรัง)
3. ได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านในจังหวัดตรัง บางคนนับถือศาสนาพุทธ บางคนนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งทานหมูไม่ได้ และจากการเยี่ยมบ้านก็ได้เห็นสภาพแวดล้อมของบ้านแต่ละคน บ้านบางหลังไม่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ (มีบันไดสูง) จึงให้ผู้สูงอายุอยู่ชั้นล่างของบ้าน บ้านบางหลังมีจัดระเบียบข้าวของได้ดี ทำให้ดูสะอาด แต่บางหลังมีขวดลีโอ ขวดรีเจนซี่ มีฝุ่นล่องลอยตามพื้น
ซึ่งวิถีชีวิตเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุด (อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ คือ เศรษฐานะ) ที่ส่งต่อภาวะสุขภาพของแต่ละคน ถ้าวิถีชีวิตที่ดี เช่น การทานอาหารที่เหมาะสม การทำกิจกรรมทางกาย รวมถึงการมีเศรษฐานะที่ดี จะทำให้มี Good health ได้
ผมเคยไปเยี่ยมบ้านตอนที่เรียนเวชศาสตร์ครอบครัว เมื่อชั้นปีที่ 4 เป็นเคสผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี ทำให้เกิดแผลเบาหวาน ในที่สุดก็ต้องตัดขา สภาพบ้านคือเป็นบ้านเช่า ไม่มีความสะอาด มีการจัดเก็บของที่เป็นระเบียบบ้าง
ปัญหาที่สำคัญคือเศรษฐานะที่ไม่ดีนัก เพราะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ เดือนละ 1,000 บาท แต่ค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,200 บาท (ไม่แน่ใจว่าได้ย้ายบ้านเช่าไปยังที่อื่นแล้วหรือยัง) อาหารก็เป็นอาหารที่ได้รับมาจากคนอื่น ปัญหานี้ทำให้เกิดกล้ามเนื้อที่ต้นขาฝ่อ (muscle atrophy) นอกจากนี้ caregiver ก็ไม่ได้ดูแลแม่ ทำให้รู้สึกสงสาร
แต่ก็ทำสิ่งที่พอจะแก้ได้ เช่น การให้ข้าวกล้องและไข่กิน การสอนท่าออกกำลังกายที่เหมาะสม การจัดยาที่สังเกตได้ง่าย การจัดเก็บ insulin ที่ถูกวิธี การสอนทำแผลที่ต้นขา เพราะปัญหาที่สำคัญที่สุดของครอบครัวนี้คือ "เศรษฐานะ"