วิทยานิพนธ์เรื่องที่ 1
Title
การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง
Title Alternative
Administrators’ conflict management affecting the effectiveness Of educational institutions under rayong vocational
Creator
Name: ณัชชรีย์ คำไพ
Organization : มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
Subject
keyword: การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหาร
ThaSH: มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ -- วิทยานิพนธ์
Classification :.DDC: 370.113
ThaSH: วิทยานิพนธ์
ThaSH: การบริหารความขัดแย้ง
ThaSH: อาชีวศึกษา -- การบริหาร
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ระดับการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหาร 2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษา 4) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครู จานวน 274 คน สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง ปีการศึกษา 2563 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียรสัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ โดยใช้วิธี stepwise ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารของสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง ตามความคิดเห็นของครู โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยตามลาดับ คือ ด้านการประนีประนอม ด้านการร่วมมือ ด้านการใช้วิธีบังคับ และด้านการหลีกเลี่ยง 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง ตามความคิดเห็นของครู โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ ด้านผู้เรียนและผู้สาเร็จการศึกษา ด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ด้านครูผู้สอน ด้านปัจจัยพื้นฐาน ด้านการมีส่วนร่วม ด้านผู้บริหารสถานศึกษา 3) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง มีความสัมพันธ์ในทางบวกในระดับมาก (rxy = .797) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหาร ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง คือ ด้านการร่วมมือ ด้านการหลีกเลี่ยง ด้านการประนีประนอม และด้านการใช้วิธีบังคับ ร่วมกันทานายประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง ได้ร้อยละ 64.70 สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ Z'Y = .309X3 +.291X2 +.233X1 +.123X4
ณัชชรีย์ คำไพ (2564) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต การบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
วิทยานิพนธ์เรื่องที่ 2
Titleการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1
Title Alternative
School administrators’conflict management affecting teachers’ teamwork in schools under prachinburi
Primary educational service area office 1
Creator
Name: ธนพงษ์ จอมพระ
Organization : มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
Subject
keyword: การบริหารความขัดแย้ง
ThaSH: มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ -- วิทยานิพนธ์
ThaSH: วิทยานิพนธ์
ThaSH: การบริหารความขัดแย้ง
ThaSH: ครู -- การทำงานเป็นทีม
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับการทำงานเป็นทีมของครู 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครู และ 4) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และข้าราชการครู รวมทั้งสิ้น 291 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการร่วมมือ ด้านการหลีกเลี่ยง ด้านการยอมให้ ด้านการเอาชนะ และด้านการประนีประนอม ตามลำดับ 2) การทำงานเป็นทีมของครู โดยภาพรวมและรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการยอมรับนับถือ ด้านเป้าหมายของทีม ด้านความไว้วางใจกัน ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ และด้านการติดต่อสื่อสาร ตามลำดับ 3) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา กับการทำงานเป็นทีมของครู มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับมากที่สุด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4),การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาใด้านการหลีกเลี่ยง ด้านการร่วมมือ ด้านการยอมให้ ด้านการเอาชนะ และด้านการประนีประนอม ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครู อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสามารถร่วมกันทำนายการทำงานเป็นทีมของครู ได้ร้อยละ 80.30 สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ Z'Y = .388Z4 +.284Z2 +.313Z5 -.203Z1 +.187Z3
ธนพงษ์ จอมพระ (2564). การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต การบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
วิทยานิพนธ์เรื่องที่ 3
Title
การบริหารความขัดแย้งภายในโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ลำปาง ลำพูน
Title Alternative
Conflicts Managing Within Schools of School Administrators under The Secondary Education Service Area Office Lampang, Lamphun
Creator
Name: จิรกานต์ วงค์ลังกา
Address: อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
Subject
keyword: การบริหาร
Description
Abstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ เพื่อศึกษาการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา และเพื่อเปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ลำปาง ลำพูน ที่จำแนกตาม เพศ วุฒิการศึกษาสูงสุด ประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนี้ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา ในปีการศึกษา 2564 ผู้วิจัยได้กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการเฉพาะเจาะจง จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า T-test และค่า F-test โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า การบริหารความขัดแย้งด้านการประนีประนอมมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมา คือ ด้านการร่วมมือ ส่วนด้านที่มีคำเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการเอาชนะ ผลการเปรียบเทียบผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ลำปาง ลำพูน ที่มีเพศ วุฒิการศึกษาสูงสุด ประสบการณ์ในการทำงาน ที่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารความขัดแย้งที่ไม่แตกต่างกันในทุก ๆ ด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
Abstract: The research purposes: To study conflicts managing within schools of school administrators. To compare Conflicts managing within schools of school administrators Under the Secondary Education Service Area Office Lampang, Lamphun, which they were classified by gender, highest educational qualification, and work experiences. The sample group used in this research were educational institute administrators, deputy directors of the school in the 2021 acadernic year. The researcher calculated the sample size according to purposive sampling quantity 80 people. The research instrument was a statistical questionnaire used to analyze the data including percentage, mean, standard deviation, T-test and F-test. The results that conflict management compromise had the highest, followed by cooperation, while the side with the lowest mean was on winning. The results of the comparison of school administrators under the district office Secondary education area, Lampang, Lamphun with gender, highest educational qualification, and work experience. There were no significant differences in opinions on conflict management at the level 0.05.
จิรกานต์ วงค์ลังกา. (2565) การบริหารความขัดแย้งภายในโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ลำปาง ลำพูน. วิทยานิพนธ์.Master of Education., Educational Administration, University of Phayao
วิทยานิพนธ์เรื่องที่ 4
Title
การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1
Title Alternative
Conflict management of school administrators under the sakaeo primary educational service area office 1
Creator
Name: สุพัตรา ครึ่งมี
Subject
ThaSH: มหาวิทยาลัยบูรพา.สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
ThaSH: ผู้บริหารสถานศึกษา -- สระแก้ว
ThaSH: การบริหารความขัดแย้ง
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งของ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 จำแนกตามเพศ ประสบการณ์ในการสอน และขนาดของโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ จำนวน 40 ข้อ ซึ่งค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง .22-.54 และค่าความเชื่อมั่นแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ .89 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 จำนวน 304 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) การทดสอบค่าที (t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และ การทดสอบรายคู่โดยวิธีของ Sheffe’s method ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ยกเว้นด้านการหลีกเลี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง 2. การเปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 จำแนกตามเพศ ประสบการณ์ในการสอน และ ตามขนาดของโรงเรียน โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นจำแนกตามขนาดของโรงเรียน ด้านการเอาชนะ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
Abstract: The purposes of this research were to study and compare conflict management of school administrators under the Sakaeo Primary Educational Service Area Office 1 as classified by sex, teaching experience and school size. The samples was 304 teachers under the Sakaeo Primary Educational Service Area Office 1. The research instrument employed for the data collection was a set of 5 level rating-scale questionnaire. The item discrimination power was .22-.54 and the coefficient reliability was .89. The statistics in the study were frequency, percent, Mean, Standard Deviation, t-test, One-way ANOVA and Sheffe’s test. The finding of the study as follow: 1. The conflict management of school administrators under the Sakaeo Primary Educational Service Area Office 1, in overall and each aspect, was rated at a high level, except avoiding which was rated a medium level. 2. The conflict management of school administrators under the Sakaeo Primary Educational Service Area Office 1 as classified by teachers with different sex, teaching experience and school size, in overall and each aspect, were not statically significant difference, except in the area of competitiveness which was significant difference at the .05 level.
สุพัตรา ครึ่งมี (การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1) วิทยานิพนธ์.การศึกษามหาบัณฑิต, ปริญญาโท, การบริหารการศึกษา, มหาวิทยาลัยบูรพา
วารสารที่ 1
ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์* คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ วิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
รุ่งทิวา ชูทอง คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
รุ่งทิวา ชูทอง คณะอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ในสถาบันการอาชีวศึกษาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) ประเมินรูปแบบการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ในสถาบันการอาชีวศึกษาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 3) เสนอรูปแบบการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ในสถาบันการอาชีวศึกษาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี วิธีดำเนินการวิจัยมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) วิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ในสถาบันการอาชีวศึกษา 2) การใช้เทคนิคเดลฟายกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาองค์ประกอบด้านการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ในสถาบันการอาชีวศึกษา จำนวน 15 คน 3) การสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน เพื่อทราบข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม และ 4) ประเมินรูปแบบจากความคิดเห็นของผู้บริหารสถาบันการอาชีวศึกษาและบุคลากรในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 525 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน และพิสัยระหว่างควอไทล์ ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ในสถาบันการอาชีวศึกษามีความเหมาะสมในระดับมาก โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ 1) การยึดองค์กรเป็นศูนย์กลาง 2) การปรองดอง 3) การไกล่เกลี่ย 4) การยอมให้ 55) การหลีกเลี่ยง และ 6) การแข่งขัน และมีตัวชี้วัดทั้งหมด 32 ตัว
ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์, พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ, รุ่งทิวา ชูทอง, รุ่งทิวา ชูทอง (2564) รูปแบบการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ในสถาบันการอาชีวศึกษา เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย วารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปีที่10 ฉบับที่1 (มกราคม-มิถุนายน2564) 23-35
วารสารที่ 2
จตุรงค์ สุวรรณแสง Faculty of Education, Kasetsart University
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารความขัดแย้งของสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 2) เปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาดังกล่าว จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ และขนาดของสถานศึกษา 3) ศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการบริหารความขัดแย้ง ประชากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษานี้ จำนวน 260 คน ซึ่งกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 240 คน เลือกโดยการสุ่มแบบง่าย และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารการศึกษา จำนวน 5 คน เลือกแบบจำเพาะเจาะจง เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว
ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าการร่วมมือเป็นอันดับสูงสุด รองลงมาคือ การใช้หลักเหตุผล ส่วนการหลีกเลี่ยงเป็นอันดับต่ำสุด 2) การเปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาดังกล่าวจำแนกตามเพศและประสบการณ์ในการบริหาร โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนการจำแนกตามวุฒิการศึกษาและขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3) ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 เห็นว่า ควรเลือกใช้วิธีให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เน้นหลักเหตุผลและสร้างความร่วมมือ
จตุรงค์ สุวรรณแสง (2563) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 สาขาวิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 (2021): January-April 2021
วารสารที่ 3
การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารตามความคิดเห็นของบุคลากรวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดบึงกาฬ
สุปราณีย์ พิรักษา. วิทยาลัยนครราชสีมา
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารตามความคิดเห็นของบุคลากรวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดบึงกาฬ ทั้งนี้รวมทั้งวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารตามความคิดเห็นของบุคลากรวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดบึงกาฬ จำแนกตาม เพศ ตำแหน่ง และประสบการณ์ทำงาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้กำหนดโดยตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน และการสุ่มตัวอย่างง่าย ได้จำนวนทั้งสิ้น 155 คน ครูจำนวน 125 คน และเจ้าหน้าที่ 30 คน ของวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดบึงกาฬ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามแบบประเมินค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.84 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารตามความคิดเห็นของบุคลากรวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ พบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ การร่วมมือ การประนีประนอม การเอาชนะ การยอมให้ และการหลีกเลี่ยง ตามลำดับ 2) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารตามความคิดเห็นของบุคลากรวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดบึงกาฬ จำแนกตาม เพศ ตำแหน่ง และประสบการณ์ทำงาน โดยรวมและรายด้านไม่ต่างกัน ซึ่งไม่สอดคล้องตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
สุปราณีย์ พิรักษา (2020) วิทยาลัยนครราชสีมา ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 (2020): มกราคม - มิถุนายน 2563
ครูเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สําคัญที่สุดในการดําเนินการศึกษาแบบเรียนรวมที่ประสบความสําเร็จ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความตั้งใจของครูชาวซาอุดิอาระเบียในการดําเนินการศึกษาแบบเรียนรวมและอิทธิพลของข้อมูลประชากรทัศนคติการรับรู้ความสามารถของตนเองการรับรู้การสนับสนุนและข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแบบเรียนรวมตามความตั้งใจของพวกเขา การศึกษานี้รวมครูการศึกษาพิเศษและการศึกษาทั่วไปในบริการ 125 คน ผลการวิเคราะห์การถดถอยพบว่าการรับรู้ความสามารถของตนเองและวิชาเอกของครู (การศึกษาพิเศษกับการศึกษาทั่วไป) มีอิทธิพลอย่างมีนัยสําคัญต่อความตั้งใจของพวกเขาที่จะใช้การศึกษาแบบเรียนรวมในห้องเรียนปกติ สุดท้ายนี้ เราจะพูดถึงผลลัพธ์และความหมายสําหรับการวิจัยและการปฏิบัติ
Author Hussain A. Almalky, Abdalmajeed H. Alrabiah (2024) Predictors of teachers’ intention to implement inclusive education/Children and Youth Services Review Volume 158, March 2024, 107457