รวมบทความ ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
"คิดแล้วเขียน"
"คิดแล้วเขียน"
การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของบุคคล
การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของบุคคล
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
ในการบริหารงานไม่ว่าภาครัฐ หรือเอกชน ผู้บริหารทุกคนล้วนมีความต้องการให้บุคลากรของตนได้รับการพัฒนา และต้องการให้บุคลากรของตนมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบุคคลที่มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลานั้นจะมีความพร้อมต่อการแข่งขัน และจะเป็นบุคคลที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หน่วยงานหรือองค์กรใดก็ตามที่บุคลากรมีการพัฒนาตนเอง ย่อมก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานและนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าขององค์กร
นอกเหนือจากการพัฒนาบุคลากรเพื่อองค์กรแล้ว การพัฒนาตนเองของบุคลากรยังส่งผลต่อความสำเร็จหรือเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพอีกด้วย การพัฒนาตนเองนั้นถือเป็นการแข่งขันกับตัวเองเพื่อเป็นบันไดไปสู่ความก้าวหน้าในอนาคต และเป็นการเตรียมความพร้อมในการที่จะต้องแข่งขันกับคนอื่น ในโลกของการทำงานที่มีการแข่งขันสูงเวทีการทำงานจะเปิดโอกาสให้กับคนที่มีประสิทธิภาพในการทำงานเสมอ และเช่นเดียวกัน “คนที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงจากการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องในเรื่องต่าง ๆ มักจะพร้อมอยู่เสมอสำหรับการแข่งขันไม่ว่าในเวทีหรือสถานการณ์ใดก็ตาม”
การพัฒนา (Development) คือ การทำให้ดีขึ้น หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า (Change for the better) ส่วนประสิทธิภาพในการทำงานนั้น หมายถึง การทำงานที่ให้ผลผลิต (Out Put) สูงเมื่อเทียบกับปัจจัยนำเข้า (In Put) หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ การประหยัดทรัพยากร (4 M) และเวลา ซึ่งมีความเกี่ยวพันธ์กับต้นทุนนั้นเอง ดังนั้นการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตที่เพิ่มขึ้น หรือสามารถลดต้นทุนได้เพิ่มขึ้น ถ้าจะว่าไปแล้วการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน ถือเป็นการพัฒนาศักยภาพของบุคคลให้มีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของบุคคลนั้น สามารถกระทำได้หลากหลายรูปแบบ ในที่นี้ผู้เขียนขอแนะนำเทคนิคที่ใช้ในการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของบุคคล ซึ่งทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อการพัฒนาตนเองได้ดังนี้
1. วิเคราะห์ตนเอง
ก่อนที่เราจะเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยนตัวเอง สิ่งแรกที่ควรต้องทำคือ การวิเคราะห์ตนเอง คนเรานั้นถ้ารู้ว่าตนเองมีความสามารถ ความชำนาญหรือมีศักยภาพพิเศษในด้านใด ก็ควรที่จะต้องเสริมศักยภาพของตนในด้านนั้น และควรที่จะต้องทำในสิ่งที่ตนเองมีความถนัดหรือมีความชำนาญ และสำหรับความสามารถในด้านที่ยังขาดทักษะและความชำนาญก็ควรที่จะหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อเป็นการพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น ในอนาคต
2. มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลง
การที่จะพัฒนาตนเองได้ ต้องมีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และต้องมีความมุ่งมั่นมากกว่าแค่ความตั้งใจ ต้องมีความเชื่อว่า ศักยภาพของตนเองนั้นสามารถพัฒนาขึ้นได้ และทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ในการที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนใหม่ที่มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น และต้องเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งสิ่งดี ๆ ในชีวิตวันข้างหน้า
3. มองโลกในแง่ดี (คิดบวก)
“พรุ่งนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน”..... “ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ และมีทางออกของปัญหาเสมอ”
หลายคนคงเคยได้ยิน 2 ประโยคนี้มาแล้ว แต่ใครจะสามารถทำใจให้คิดและยอมรับกับความรู้สึกเหล่านี้ได้ตลอดเวลา ในการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของบุคคลนั้น ใช่ว่าจะเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพในงานแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การพัฒนาทางความคิดและทัศนคติในการทำงานก็จะเป็นปัจจัยเสริมต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานให้เพิ่มขึ้น ดังนั้นการมองโลกในแง่ดี หรือการคิดบวกนั้น เป็นพฤติกรรมของบุคคลที่ควรปฏิบัติ และสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เกิดเป็นนิสัย การมองโลกในแง่ดี และการคิดบวกจะช่วยในการเสริมกำลังใจและสามารถช่วยลดปัญหาในเรื่องของความขัดแย้งได้เป็นอย่างดี ทั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับบุคคลอื่น และความขัดแย้งในตัวตนของตนเอง
4. ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
การหาความรู้เพิ่มเติมจะช่วยให้สมองได้รับการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการหาความรู้เพิ่มเติมไม่จำเป็นจะต้องเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ในขณะนั้นเพียงเท่านั้น แต่เราสามารถหาความรู้ในด้านอื่น ๆ ที่เรายังไม่รู้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม อาทิเช่น ความรู้ทางด้านการตลาด เศรษฐกิจ การเมือง กฎหมาย โดยความรู้เหล่านี้เราสามารถหาได้จากการสัมมนา ฝึกอบรม อ่านหนังสือ หรือสอบถาม พูดคุย ปรึกษากับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญก็ได้เช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า “ความรู้ไม่มีวันเรียนจบ และไม่มีใครแก่เกินเรียน” อีกทั้งคนที่มีความรู้มากก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ง่าย หาทางออกของปัญหาได้มากขึ้น
แน่นอนว่าผลตอบแทนสูงสุดที่เราได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานนั้น ไม่ได้อยู่ที่ผลงานของเราแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยู่ที่ศักยภาพทางสมองของเราได้มีการพัฒนามากขึ้น พร้อมกับประสบการณ์และทักษะของการทำงานที่เฉียบคมมากขึ้นกว่าเดิม
5. ตั้งเป้าหมายในการทำงาน
เป้าหมาย เป็นปลายทางที่ต้องให้ไปถึง ไม่ว่าจะในชีวิตการทำการหรือในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการกำหนดเป้าหมายในการทำงานนั้น ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำงาน เพราะในการบริหารงานใด ๆ ก็ตาม มักจะเน้นที่ความสำเร็จตามที่ได้ตั้งใจไว้หรือกำหนดไว้ ไม่ว่าจะกำหนดเอาไว้ในรูปแบบใดก็ตาม ถ้าทำงานแบบมีเป้าหมายว่างานแต่ละอย่างที่อยู่ในความรับผิดชอบมีเป้าหมายของความสำเร็จอยู่ ณ จุดใด ภายในเวลาเท่าใด ความชัดเจนของงานหรือการกำหนดแผนการปฏิบัติงานย่อมอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ กว่าการที่จะปฏิบัติงานไปวัน ๆ หรือทำงานไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีจุดหมายปลายทางของความสำเร็จ
หากเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของบุคคล การตั้งเป้าหมายในการทำงานควรเป็นการตั้งเป้าหมายให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า ศักยภาพปกติของตนจะดำเนินการได้เพื่อให้เกิดการพัฒนาในการที่จะให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย ดังคำกล่าวที่ว่า “ฝันให้ไกล ไปให้ถึง” นั่นเอง
6. วางแผนก่อนลงมือทำ
ในการทำงานนั้นนอกจากการกำหนดวัตถุประสงค์ในการทำงานแล้ว การวางแผนช่วยให้งานบรรลุผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดเวลาและการใช้ทรัพยากรในการทำงาน การทำงานที่มีประสิทธิภาพนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยเงื่อนไขของการวางแผนงานที่ดี การวางแผนที่ดีเกิดจากความคิดที่รอบคอบ คิดจากมุมมองที่หลากหลาย การวางแผนเป็นการสร้างข้อเสนอของการดำเนินงานที่เป็นไปได้หลายทางเลือก โดยเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก และยังเป็นการประเมินสถานการณ์ความเป็นไปได้ในการทำงานเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการทำงานได้อีกทางหนึ่งด้วย ดังนั้นการวางแผนถือองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการทำงานให้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น
7. มีการสื่อสารที่ดี
การสื่อสารมีความสำคัญกับมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด เนื่องจากการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการบอกความต้องการของตนเองต่อผู้อื่น นอกจากนี้การสื่อสารยังเป็นความสามารถหรือทักษะที่ทุกคนมีมาตั้งแต่กำเนิดแม้แต่เด็กทารกที่ยังไม่สามารถที่จะพูดก็ยังมีทักษะในการสื่อสารเพื่อให้ได้ตามที่ตนต้องการ อาทิเช่น เมื่อเด็กทารกหิวก็จะส่งเสียงร้องเพื่อสื่อสารให้ผู้เป็นแม่ได้รับรู้ว่าตนต้องการที่จะกิน (ดื่ม) นมแม่ เป็นต้น
เนื่องจากการสื่อสารเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงความต้องการระหว่างบุคคล โดยเฉพาะในการปฏิบัติงานนั้น จำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะในการสื่อสารทั้ง การพูด การอ่าน การเขียน และการฟัง รวมไปถึงการแสดงออกด้วยท่าทาง โดยมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น เพื่อให้ข้อมูล เพื่อชักจูงหรือโน้มน้าวใจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อให้เกิดการยอมรับและได้รับความร่วมมือจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ด้วยเหตุนี้ ผู้ปฏิบัติงานควรมีการฝึกเพื่อเพิ่มทักษะในการสื่อสารให้เหมาะสมกับกาลเทศะสามารถเลือกใช้ทั้งวัจนภาษา และอวัจนภาษาในการสื่อความหมายให้ชัดเจน เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ต่อไป
8. มีบุคลิกภาพดี
สุภาษิตที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ยังคงใช้ได้ดีเสมอ บุคลิกและการแต่งกาย เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่จะช่วยเสริมความสำเร็จในการทำงาน การแต่งกายนั้นมีหลักการง่าย ๆ คือ อย่าพยายามแต่งกายมากเกินไป หรือน้อยเกินไป และที่สำคัญการแต่งกายต้องให้เหมาะสมกับรูปร่าง และบุคลิกของตนเอง อย่าแต่งกายแบบที่ไม่ใช่ตัวตนของตัวเอง การแต่งการตามแบบอย่างดารา นางแบบ นั้นต้องคิดเสมอว่า ผู้ผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นเมื่อผลิตออกมาแล้วก็มีความต้องการที่จะจำหน่ายให้มาก จึงต้องหาดารา นางแบบมาใส่โชว์ ดังนั้นการที่ดารา นางแบบคนหนึ่งใส่เสื้อตัวหนึ่งสวย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเมื่อเราใส่แล้วจะสวยเหมือนนางแบบ การแต่งกายที่ดีสำหรับการทำงานก็คือ สะอาด สุภาพ และโชว์บุคลิกเฉพาะของคุณออกมา
9. สมาธิเพิ่มพลังในการคิด
สมาธิ คือ การที่มีใจตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแน่วแน่ กล่าวในภาษาชาวบ้านก็คือ การมีใจจดจ่ออยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านนั่นเอง การฝึกสมาธิมิใช่ด้วยเหตุผลของการเข้าถึงนิพานแต่เพียงเท่านั้น แต่การฝึกสมาธิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน เพราะการฝึกสมาธินั้นทำให้ผู้ปฏิบัติมีจิตใจผ่องใส ประกอบกิจการงานได้ราบรื่นและคิดอะไรก็รวดเร็วทะลุปรุโปร่ง เพราะว่าระดับจิตใจได้ถูกฝึกมาให้มีความนิ่งดีแล้ว เมื่อมีความนิ่งเป็นสมาธิดีแล้ว ย่อมมีพลังแรงกว่าใจที่ไม่มีสมาธิ ดังนี้เมื่อจะคิดทำอะไร ก็จะทำได้ดี และได้เร็วกว่าคนปกติ ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกสมาธิมาก่อน
การฝึกสมาธิจะช่วยในด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ ทำให้เป็นผู้มีบุคลิกภาพดี กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า มีความองอาจสง่าผ่าเผย มีผิวพรรณผ่องใส มีความมั่นคงทางอารมณ์ หนักแน่น เยือกเย็น และเชื่อมั่นในตนเอง มีมนุษย์สัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกับกาลเทศะ เป็นผู้มีเสน่ห์ เพราะไม่มักโกรธ มีความเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป การฝึกสมาธิบ่อย ๆ ทำให้เกิดปัญญาในการทำสิ่งใด ๆ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น นอกจากนี้การฝึกสมาธิยังช่วยคลายเครียด และลดความเครียดที่จะเข้ามากระทบจิตใจได้ เมื่อเราไม่เครียด ร่างกายก็จะหลั่งสารทำให้เกิดความสุข ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะมีภูมิต้านทานทั้งภูมิต้านทานทางจิตใจ และภูมิต้านทานเชื้อโรค และยังทำให้ดูอ่อนกว่าวัยช่วยชะลอความแก่ได้ด้วย
10.สุขภาพดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
สุขภาพร่างกายมีส่วนสำคัญต่อการปฏิบัติงาน งานทุกอย่างจะไม่สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้หากผู้ปฏิบัติงานเกิดการเจ็บป่วย ผู้มีสุขภาพดีย่อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรดูแลสุขภาพให้ดี และออกกำลังกายสม่ำเสมอ การมีสุขภาพที่ดีเป็นสภาวะที่ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความพิการใด ๆ ร่างกายสามารถทำงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งลักษณะสุขภาพที่ดีทางกายนั้น ควรประกอบด้วย ร่างกายที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง ระบบต่าง ๆ และอวัยวะทุกส่วนทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ ร่างกายมีการเจริญเติบโตของอวัยวะต่าง ๆ เป็นไปอย่างเหมาะสมกับวัย รวมทั้งภาวะทางสมองด้วย การที่จะมีสุขภาพร่างกายที่ดีได้นั้นร่างกายต้องได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการพักผ่อนที่สุดคือ การได้นอนหลับอย่างพอเพียง ภายหลังจากการนอนหลับและพักผ่อนแล้ว ร่างกายจะคืนสู่สภาพปกติสดชื่น พร้อมรับกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือภารกิจในวันต่อไป
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปฏิบัติเพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของบุคคล ที่ผู้เขียนได้นำเสนอเพียงหวังให้ผู้อ่านได้นำไปปฏิบัติเพื่อการพัฒนาตนเอง ซึ่งนอกจากแนวทางปฏิบัติดังกล่าวแล้วยังมีแนวทางปฏิบัติอื่น ๆ ที่สามารถกระทำได้อีกหลากหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาตนเอง คือ การมีจิตใจที่มุ่งมั่นในการที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทิศทางที่ดีขึ้นนั่นเอง
บทความโดย ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล 11 มกราคม 2556
การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่
การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล[1]
คุณเคยรู้สึกอย่างนี้ไหม “ตอนเด็กไม่อยากไปโรงเรียน พอโตมาทำงานกับขวนขวายอยากกลับไปเรียน” ที่เรารู้สึกเช่นนี้เป็นเพราะเมื่อเรามีวุฒิภาวะมากขึ้นทั้งวุฒิภาวะทางปัญา และอายุ เราเห็นจะว่า การเรียนเป็นทนทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นนั่นเอง
“การพัฒนา” (Development) มีความหมายว่า เป็นการทำให้ดีขึ้น เจริญขึ้น หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า (Change for the better) และผลลัพธ์ที่ได้ควรเป็นไปในทางที่ดีด้วย แต่เป็นที่น่าคิดว่า การทำให้อาวุธซึ่งเป็นเครื่องมือแห่งการทำลายล้าง ให้มีอานุภาพในการทำลายล้าง และสร้างความหายนะมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการเข่นฆ่า เราก็เรียกว่า “การพัฒนา” เช่นกัน ในขณะที่ “คุณภาพ” เป็นสิ่งที่ต้องการ อาทิเช่น คนมีคุณภาพ มีความรู้ ความสามารถ (เก่ง) ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกองค์กร/หน่วยงาน หรือตัวอย่างกรณีสินค้ามีคุณภาพ ทนทานใช้งานได้หลากหลาย สะดวก และประหยัด ย่อมเป็นที่ต้องการของผู้ใช้งานหรือผู้บริโภค
ดังนั้นการพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ จึงเป็นการพัฒนาคนไทยให้เป็นที่ต้องการขององค์กร/หน่วยงาน หรือแม้แต่ในสังคมระดับประเทศและนานาประเทศต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่า การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่เป็นหนึ่งในสี่กรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๖๑) อันประกอบไปด้วย (๑) พัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ (๒) พัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่ (๓) พัฒนาคุณภาพสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ (๔) พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการใหม่ ในการพัฒนาคุณภาพคนนั้นจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าในตัวเรานั้นมีองค์ประกอบ ๒ ส่วน คือ จิตและกาย โดยจิตหมายถึงจิตใจ และกายจะแบ่งออกเป็นกายกับวาจา ตามหลักพุทธศาสนานั้นจิตเป็นศูนย์กลางของการควบคุมร่างกาย
ดังนั้นการพัฒนาที่จิตใจจะส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านร่างกายตามมาอย่างแน่นอน ในการพัฒนาจิตใจนั้นสามารถนำหลักของไตรสิกขา และอริยมรรค 8 มาใช้ร่วมกันในการพัฒนาโดยที่ไตรสิกขา ประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา ส่วนอริยมรรค 8 นั้นก็ประกอบไปด้วย สัมมาทิฐิ-ความเข้าใจถูกต้อง สัมมาสังกัปปะ-การใฝ่ใจถูกต้อง สัมมาวาจา-การพูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันตะ-การกระทำถูกต้อง สัมมาอาชีวะ-การดำรงชีพถูกต้อง สัมมาวายามะ-การพากเพียรถูกต้อง สัมมาสติ-การระลึกประจำใจถูกต้อง และสัมมาสมาธิ-การตั้งใจมั่นถูกต้อง เปรียบไปแล้วกายกับจิตนั้นเสมือน หุ่น(กาย)กับคนเชิด(จิต) นั้นเอง
ในการพัฒนานั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาในหลายมิติ ซึ่งมิติของการพัฒนาจะแบ่งออกเป็น ๔ มิติ คือ มิติด้านร่างกาย มิติด้านจิตใจ มิติด้านความรู้ และมิติด้านทักษะความสามารถ เรียกได้ว่า ครบทุกด้าน (หากมองในแนวทางของหลักบริหารก็จะเหมือนกับหลักการบริการตามแนวทางของ Balance Score Card :BSC นั่นเอง คือการมองในมุม ๓๖๐ องศา)
มิติด้านร่างกาย คนไทยยุคใหม่ต้องเป็นผู้มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีการพัฒนาการในด้านร่างกายและสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ตามเกณฑ์ในแต่ละช่วงวัย จะเห็นได้ว่า ใครที่เคยอ่านบทพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก จะเห็นว่า มหาชนกรอดตายจากเรือล่มได้เพราะมีคุณลักษณะ ๓ ประการ คือ ร่างกายที่แข็งแรง สติปัญญาที่เฉลียวฉลาด และความเพียรที่ถึงพร้อม นั่นเอง
มิติด้านจิตใจ คนไทยยุคใหม่ต้องเป็นผู้ที่รู้จักและเข้าใจตนเอง เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เข้าใจสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงและสภาพแวดล้อมต่างๆ รอบตัวได้เป็นอย่างดี
มิติด้านความรู้ คนไทยยุคใหม่ต้องเป็นผู้มีความรู้ลึกในแก่นสาระของวิชา สามารถรู้รอบตัวในเชิงสหวิทยาการ สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
มิติด้านทักษะความสามารถ คนไทยยุคใหม่ต้องเป็นผู้ที่มีทักษะในด้านการคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการสื่อสาร ทักษะภาษาต่างประเทศ ทักษะการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะทางสังคม ทักษะการอาชีพ ทักษะทางอารมณ์ และทักษะการจัดการที่ดี
ซึ่งเมื่อมีการพัฒนาครบทั้ง ๔ มิติ แล้วเราก็จะได้คนไทยยุคใหม่ที่มีคุณภาพ และเป็นคนที่สังคมมีความต้องการ
ต่อคำถามที่ว่า “การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่จะทำได้อย่างไร” ในการพัฒนาคุณภาพคนนั่น มิใช่จะเริ่มต้นที่การเข้าสู่กระบวนการทางการศึกษา หรือเมื่ออ่านออก เขียนได้ แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาตั้งเริ่มมีการปฏิสนธิอยู่ในครรภ์มารดา ในที่นี้จะเป็นการพัฒนาตามบัญญัติ ๑๒ ประการ ดังนี้
๑.พัฒนาตั้งแต่ในครรภ์มารดา จนกระทั้งเติบโตตามวัย
๒.พัฒนาให้มีคุณธรรมนำความรู้ และเกิดภูมิคุ้มกัน
๓.ผลักดันให้ครอบครัว ชุมชน สถาบันศาสนา และสถาบันการศึกษาร่วมกันพัฒนา
๔.ปลูกฝังทัศนคติและการเรียนรู้ในการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม
๕.เพิ่มพูนความรู้และทักษะพื้นฐานในการทำงาน
๖.สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องให้กับทุกช่วงวัย
๗.พัฒนารูปแบบและหลักสูตรการเรียนรู้ตลอดชีวิต
๘.นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น
๙.เสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง และการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
๑๐.เสริมสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข
๑๑.เสริมสร้างจิตสำนึกด้านสิทธิและหน้าที่พลเมือง
๑๒.ดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
บัญญัติ ๑๒ ประการ ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ผู้บรรยายนำมานำเสนอให้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาบริหารการศึกษาได้นำไปปฏิบัติ หากแต่นักศึกษาท่านใดเห็นว่ามีองค์ประกอบอื่นที่มีความจำเป็นหรือช่วยทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพคนไทย อันเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำของคนเป็นครูที่จะต้องช่วยพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้าโดยมีปัจจัยพื้นฐานคือ การพัฒนาคน แล้วก็สามารถเพิ่มเติมและช่วยเสนอแนะเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติได้ต่อไป
บทความโดย ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
[1] เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ “การพัฒนาคุณภาพคุณไทยยุคใหม่” นักศึกษาปริญญาโท หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ส่วนกลาง) เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕
พฤติกรรมลูกค้ากับการให้บริการที่โดนใจ
พฤติกรรมลูกค้ากับการให้บริการที่โดนใจ
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
(บทความ เมื่อ 6 เมษายน 2558)
ในการให้บริการนั่นการสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ใช้บริการถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความพึงพอใจที่เกิดขึ้นในใจของผู้ใช้บริการจะเป็นปัจจัยทำให้กลับมาใช้บริการซ้ำ ๆ อีกในครั้งต่อไปหรือแนะนำบริการให้แก่คนที่รู้จัก ด้วยเหตุนี้ “การบริการที่มีคุณภาพ” จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ โดยทั่วไปหลายครั้งที่ผู้ใช้บริการเกิดความพึงพอใจขึ้นมาด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บางเรื่อง ในขณะเดียวกันก็อาจเกิดความรู้สึกไม่พอใจด้วยเรื่องไร้สาระเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นกัน ยกตัวอย่างประสบการณ์ของผู้เขียนที่ครั้งหนึ่งมีคุณแม่ลูกหนึ่งเดินเข้ามาที่สำนักงาน ฯ ของผู้เขียน เพื่อขอทราบข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์สื่อสารสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต 3G (Router) ระหว่างที่ผู้เขียนแนะนำข้อมูลอุปกรณ์และการใช้งานให้แก่คุณแม่ฟังเพื่อประกอบการตัดสินใจที่จะซื้อหรือไม่ซื้อ ลูกน้อยก็บ่นอยากกินขนมขึ้นมา พอดีกับที่ห้องทำงานของผู้เขียนจะมีขนมซ็อกโกแล็ตและน้ำส้มติดอยู่ประจำ ก็เลยเอามาให้เด็กน้อยรับประทาน ซึ่งหลังจากนั้นคุณแม่ของเด็กน้อยก็ตัดสินใจซื้อและขอใช้บริการทันที ทั้งยังบอกกับลูกว่า “คุณลุงใจดีกับหนูอย่างนี้แสดงว่าต้องให้บริการดีแน่ ๆ เลย” จะเห็นได้ว่า การตัดสินใจซื้อและขอใช้บริการของคุณแม่ลูกหนึ่งในครั้งนี้เกิดจากความพึงพอใจอันเนื่องมาจากเรื่องเล็ก ๆ ที่เราสามารถทำได้นั่นเอง ซึ่งจากเรื่องเล็ก ๆ ทำให้เกิดความพึงพอใจและความประทับใจ จนนำไปสู่การตัดสินใจใช้บริการในเวลาต่อมา
จะเห็นได้ว่า ในการให้บริการนั้นนอกจากคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่นำเสนอต่อลูกค้าแล้วยังต้อง อาศัยความสามารถในการเข้าถึงจิตใจและเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้บริการแต่ละคน เพื่อที่จะสามารถสนองตอบต่อความต้องการ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของผู้ให้บริการได้อย่างเหมาะสมและนำเสนอบริการที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้บริการ ทั้งนี้จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่า ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการแต่ละคนจะมีพฤติกรรมในการแสดงออกระหว่างการเจรจาที่แตกต่างกัน ในฐานะผู้ขายหรือผู้ให้บริการก็จะต้องใช้วิธีการปฏิบัติในการนำเสนอที่แตกต่างกันไปตามพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละประเภท ซึ่งสามารถที่จะแบ่งได้ดังนี้
ประเภทวีไอพี หรือคนพิเศษ ลูกค้าประเภทนี้เป็นคนประเภทถือตัวและต้องการบริการที่มีความเป็นพิเศษมากกว่าปกติ และมักที่จะชื่นชอบกับคำพูดที่ว่า “สำหรับลูกค้าคนพิเศษเช่นคุณ” หรือ “สำหรับลูกค้าวีไอพีเช่นคุณเท่านั้น” ดังนั้นการให้บริการแก่ลูกค้าประเภทนี้ด้วยการแสดงให้เห็นถึงความพิเศษที่ได้รับย่อมนำมาซึ่งความพึงพอใจอันจะนำไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่จะเกิดขึ้นตามมานั้นเอง
ประเภทขาประจำ ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจ และเป็นกลุ่มที่มีความภักดีในตราสินค้าเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่จะช่วยแนะนำลูกค้าใหม่ให้กับธุรกิจได้เพิ่มขึ้น การให้บริการกับลูกค้าประเภทนี้ต้องเน้นความเป็นกันเอง แต่คงไว้ซึ่งการปฏิบัติอย่างให้เกียรติในฐานะขาประจำ ห้ามให้รอนานต้องกล่าวต้อนรับเมื่อเข้ามาถึงพร้อมแสดงกิริยาที่สื่อให้เห็นว่า “ยินดีต้อนรับ” เพื่อให้รู้สึกว่ามิได้ถูกทอดทิ้งและต้องไม่ปฏิเสธคำแนะนำหรือตำหนิ แต่ต้องยินดีน้อมรับไว้เพื่อการปรับปรุงในโอกาสต่อไป
ประเภทวางตัวเป็นนาย ลูกค้าประเภทนี้มีพฤติกรรมที่ต้องการอยู่เหนือคนอื่น ๆ ดังนั้นในการให้บริการควรมีการรับรองแบบจริงจัง แต่ไม่เกินเลยเพื่อจะได้ไม่ละเลยลูกค้าคนอื่น ๆ ต้องหลีกเลี่ยงการโต้แย้ง ผู้ให้บริการทำหน้าที่ในการให้ข้อมูลและแนะนำ ควรปล่อยให้ทำการตัดสินใจด้วยตนเอง เมื่อได้ข้อสรุปต้อง ปิดการขายทันที
ประเภทคู่รักหวานชื่น ลูกค้าประเภทนี้จะเข้ามาพร้อมกันเป็นคู่ เมื่อมีการนำเสนอสินค้าหรือบริการมักจะพบกับพฤติกรรมตามใจคนรักให้เป็นผู้ตัดสินใจแทน ดังนั้นในการนำเสนอสินค้าหรือการให้บริการ ควรเปิดโอกาสให้ปรึกษาหารือระหว่างกัน และใช้โอกาสในการแนะนำบริการแบบแพ็กคู่สุดพิเศษ สำหรับลูกค้าประเภทนี้จำเป็นที่จะต้องให้เวลาเพื่อการตัดสินใจ
ประเภทพูดน้อยไม่มีคำถาม ลูกค้าประเภทนี้จะตั้งใจฟังคำแนะนำและความเห็น โดยไม่ค่อยที่จะสอบถามเป็นคนประเภทเชื่องช้า การนำเสนอสินค้าหรือบริการต้องให้ข้อมูลรายละเอียดและสอบถามความเข้าใจเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าได้รับทราบข้อมูลและสามารถใช้งานได้จริง และทำการนำเสนออย่างรวบรัดพร้อมช่วยตัดสินใจเพื่อปิดการขาย
ประเภทรู้มาก ลูกค้าประเภทนี้จะแสดงตนเป็นผู้ที่มีความรู้ในสินค้าหรือบริการ และมักจะพูดแสดงความรู้ของตนอย่างมาก ดังนั้นในขณะฟังต้องคิดหาวิธีชักจูงให้เข้าประเด็นและเร่งการตัดสินใจด้วยการสร้างข้อจำกัดในตัวสินค้าหรือบริการ เช่น “ชิ้นสุดท้ายแล้ว” “วันสุดท้ายแล้ว” เพื่อไม่ให้เสียเวลาและทำการปิดการขายโดยทันที
ประเภทใจร้อน ลูกค้าประเภทนี้จะเป็นประเภทที่ไม่ต้องการให้อธิบายยืดเยื้อ แต่ต้องการรายละเอียดหลัก ๆ และเข้าใจง่าย ดังนั้นการนำเสนอสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้าประเภทนี้ต้องพูดอธิบายให้สั้นกะทัดรัด ท่าทีต้องรวดเร็ว กระฉับกระเฉง เข้าข่ายประเภทที่เรียกว่า “มาเร็วไปเร็ว”
ประเภทสองจิตสองใจ ลูกค้าประเภทนี้จะเป็นประเภทที่ขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจ ดังนั้นในการนำเสนอสินค้าและบริการจะต้องทำการชี้แจงและเสนอแนะรายละเอียดเชิงเปรียบเทียบ เพื่อช่วยให้ตัดสินได้ง่ายขึ้น และในฐานะผู้นำเสนอที่ต้องการผลการตัดสินใจจะต้องช่วยเร่งกระบวนการตัดสินใจให้เกิดขึ้นเพื่อ มิให้ต้องใช้เวลามากเกินไปจนเป็นเหตุให้ลูกค้ารายอื่น ๆ ต้องรอนาน
ประเภทรักษ์สิ่งแวดล้อม ลูกค้าประเภทนี้จะเป็นกลุ่มอนุรักษ์ที่จะเลือกสินค้าหรือบริการที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การตัดสินใจมิได้อยู่ที่คุณภาพของสินค้าหรือตัวสินค้าเท่านั้นแต่จะคำนึงถึงผลกระทบของกระบวนการผลิตสินค้า การใช้งานประกอบการตัดสินใจ การนำเสนอจะต้องให้ข้อมูลรายละเอียดประกอบที่มีความชัดเจนว่า สินค้าหรือบริการนั้นมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่อย่างไร
จากที่กล่าวมาเป็นพฤติกรรมลูกค้าประเภทต่าง ๆ กับเทคนิคในการให้บริการที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้เขียน ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนได้ทำการแบ่งกลุ่มเอาไว้เพื่อให้ง่ายต่อการอธิบายและการนำไปประยุกต์ใช้ทั้งผู้บริหารและพนักงานให้สามารถเข้าถึงจิตใจของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจและประทับใจที่จะเลือกใช้สินค้าหรือบริการ อีกทั้งสามารถนำมาเสริมสร้างและพัฒนาตนเองได้ต่อไป
“เกษียณไปไม่จน”
“เกษียณไปไม่จน”
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านจงทำกิจของตนและกิจของผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ผู้อ่านหลายท่านเมื่อเห็นชื่อบทความคงคิดเหมือนกันว่า เป็นเรื่องของการเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณอายุ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วเรื่องดังกล่าวที่กำลังจะพูดถึงนี้เป็นการให้คำแนะนำสำหรับทุกท่านโดยเฉพาะคนที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือแม้แต่บุคคลวัยหนุ่มสาวก็สามารถนำไปเป็นแนวทางเพื่อการวางแผนอนาคตได้เช่นกัน หากจะกล่าวไปแล้วคงไม่มีใครอยากเกษียณอายุไปพร้อมกับความยากจนหรือปัญหารายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ทุกคนต้องการความร่ำรวย ต้องการทรัพย์สินเงินทองโดยเฉพาะเมื่ออายุถึงวัยเกษียณ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวซึ่งจะว่าไปแล้วนั่นคือ ความประมาทในการใช้ชีวิตนั่นเอง จะเห็นได้ว่า แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงประทานปัจฉิมโอวาทก่อนเสด็จปรินิพพานไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านจงทำกิจของตนและกิจของผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด” ดังนั้นเพื่อการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและมีชีวิตที่ไม่ต้องประสบกับปัญหาทางการเงิน ผู้เขียนขอแนะนำแนวทางในการเตรียมความพร้อมและการวางแผนการเงินสำหรับชีวิตและครอบครัวเพื่ออนาคต โดยยึดหลักการง่าย ๆ คือ การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย และเพิ่มการออม ด้วยแนวทางต่อไปนี้
1. การสร้างรายได้
รายได้นั้นยิ่งได้รับมาก ยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งดี นอกจากรายได้ประจำที่ได้รับตามปกติแล้วควรหาทางในการสร้างรายได้เพิ่ม แต่ทั้งนี้ต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับงานประจำจนเสียหาย แนวทางในการสร้างรายได้คือ ต้องไม่เสี่ยงมากเกินไป ไม่เป็นการผิดกฎหมาย ได้รับผลตอบแทนที่ชัดเจนแน่นอน อาทิเช่น
การหาอาชีพเสริมพิเศษ ตามความถนัดหรือใช้ความสามารถพิเศษในการสร้างรายได้เพิ่มบางคนมีความสามารถในทางกีฬาและการออกกำลังกาย ก็สามารถสร้างรายได้ด้วยการเป็นครูฝึกสอนการออกกำลังกายในศูนย์ฟิตเนส หรือการสมัครเป็นครูสอนวายน้ำ สำหรับท่านที่มีความรู้ทางวิชาการก็สามารถสมัครเป็นอาจารย์สอนพิเศษตามสถาบันการศึกษาในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เป็นต้น
การลงทุนเพื่อสร้างรายได้ การลงทุนเพื่อเป็นการสร้างรายได้เพิ่มนั้นสามารถทำได้หลายช่องทางซึ่งหลักการทางการเงินสำหรับการลงทุนมีไว้ว่า “การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ย่อมได้รับผลตอบแทนสูง การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ย่อมได้รับผลตอบแทนต่ำ” สำหรับการลงทุนที่ผู้เขียนจะขอแนะนำได้แก่
การลงทุนด้วยการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินแบบมีกำหนดระยะเวลา ซึ่งจะมีการให้อัตราดอกเบี้ยคงที่ทำให้ผู้ลงทุนสามารถคำนวณรายได้เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนได้ล่วงหน้า ยกตัวอย่างตั๋วสัญญาใช้เงินระยะเวลา 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ราคาฉบับละ 10,000 บาท นั่นหมายถึง ถ้าซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินไว้จำนวน 10 ฉบับ เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท เมื่อครบกำหนด 1 ปี จะได้รับเงินคืน 104,000 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่ระยะเวลาเท่ากัน
การลงทุนด้วยการซื้อสลากออมสิน หรือสลากออมทรัพย์ทวีสิน ซึ่งเป็นทั้งการลงทุนและการออม ที่ถือว่าเป็นการลงทุนเพราะสามารถก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นได้หากผู้ซื้อถูกรางวัล ในขณะเดียวกันก็เป็นการออมเพราะเงินที่ลงทุนไม่เสี่ยงต่อการขาดทุน และมีการได้รับผลตอบแทนเพิ่มที่ชัดเจนเมื่อสลากครบกำหนด
การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ทั้งระยะสั้นและยาวซึ่งออกโดยกระทรวง การคลังและบริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อครบกำหนดรัฐบาลจะจ่ายผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยให้กับผู้ถือพันธบัตร ตามอัตราและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพันธบัตร ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงเพราะมีรัฐบาลเป็นประกันและรับรู้รายได้ที่แน่นอนเมื่อครบกำหนดระยะเวลา
จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นแนวทางการเพิ่มรายได้ให้แก่ทุกท่านได้เพิ่มขึ้นจากรายได้ประจำ และการเพิ่มขึ้นของรายได้นี้จะเป็นส่วนที่เราสามารถนำไปเก็บเป็นเงินออมไว้สำหรับอนาคตได้ (หากมีรายได้เข้ามาทุกสัปดาห์อนาคตวันข้างหน้าคงไม่จนอย่างแน่นอน)
2. การลดรายจ่าย
การลดรายจ่าย สามารถทำได้ด้วยการประหยัดให้ได้มากที่สุด และหลีกเลี่ยงการใช้เงินที่ไม่จำเป็น ต้องแยกให้ออกระหว่าง "ความจำเป็น" กับ "อยากได้" เพราะของทุกอย่างล้วนมีระดับความจำเป็นไม่เท่ากัน ถ้าซื้อของเพียงแค่เพราะอยากได้ก็จะเป็นการฟุ่มเฟือยเงินในกระเป๋าก็จะหายไป พยายามใช้จ่ายไปกับสิ่งของที่จำเป็นสำหรับชีวิตและเลือกจ่ายให้ฉลาด เช่น เลือกซื้อจากร้านที่ถูกที่สุดเพื่อที่จะได้ประหยัด ซื้อเมื่อมีการลดราคาหรือเลือกใช้คูปองส่วนลดเพื่อประหยัดการใช้จ่าย และเลือกที่จะเสียเงินให้กับสิ่งที่สามารถใช้งานได้ตลอดชีวิต เช่น บ้าน ที่ดิน และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่จำเป็นเท่าที่ควร เช่น การใช้จ่ายเพื่องานเลี้ยงสังสรรค์ การซื้อรถยนต์คันใหม่ หรือโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ทั้งที่ของเดิมยังสามารถใช้งานได้ดี การซื้อของผ่อนโดยไม่จำเป็นจะก่อให้เกิดภาระหนี้สินและรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากดอกเบี้ยการผ่อนชำระ สำหรับท่านที่ชอบดื่มสุราหรือของมึนเมา ถ้าสามารถลดการดื่มและนำเงินค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปซื้อสลากออมสินหรือสลากทวีสินเพียงแค่เดือนละ 500 บาท เมื่อถึงสิ้นปีท่านจะมีเงินเพิ่มถึง 6,000 บาท
กรณีท่านที่มีบัตรเครดิตควรนำค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสาธารณูปโภคที่เป็นการจ่ายประจำมาทำการหักผ่านบัตรเครดิต เนื่องจากสามารถนำคะแนนสะสมจากการใช้บัตรมาเปลี่ยนเป็นคูปองเงินสดเพื่อใช้ชำระค่าสินค้าในห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์ค้าส่ง-ค้าปลีกได้ เป็นการสร้างผลประโยชน์เพิ่มจากการชำระเงินค่าสาธารณูปโภค
การลดรายจ่ายนั้นทำได้ไม่ยากหากยึดหลักการดำเนินชีวิตตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงตรัสแก่ประชาชนคนไทย เป็นสิ่งที่ทุกคนควรอย่างยิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
3. การออมเงินสร้างความมั่นคงและมั่งคั่ง
เงินออม เป็นเงินรายได้ที่เหลือจากการใช้จ่ายแล้วนำมาเก็บสะสมเพื่อการใช้จ่ายในอนาคต เงินออมจะเกิดขึ้นเมื่อเงินรายได้สูงขึ้นเพียงพอต่อการใช้จ่าย ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินออม ซึ่งถ้าบุคคลมีรายได้เพิ่มขึ้นเงินออมก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การออมเงินถือเป็นการสร้างหลักประกันให้แก่ชีวิตตนเองและครอบครัวในอนาคต ดังนั้นการสร้างนิสัยในการเก็บออมเงินเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน
แนวทางในการออมเงิน
ออมทุกวัน ด้วยวิธีการซื้อกระปุกออมสินมาวางไว้ในบ้านหรือที่ทำงาน เช่น โต๊ะทำงาน ข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ หน้าทีวี บนหัวเตียง เลือกเอาที่ใดที่หนึ่งที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเพื่อเป็นการฝึกนิสัยการออม โดยหยอดออมสินทุกครั้งที่มีเงินเหลือ
ฝากธนาคาร การออมเงินโดยการฝากไว้กับธนาคารถือเป็นวิธีการออมที่ง่ายที่สุดสำหรับทุกคน โดยการแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งไปฝากไว้กับธนาคารและได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงที่สุดคือ การฝากประจำ การฝากธนาคารถ้าทำทุกวันหรือทุกเดือนนานวันเข้าดอกเบี้ยที่ทบต้นจะทำให้กลายเป็นเงินฝากก้อนโต
การถือหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ การออมเงินด้วยการเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์นั้น จะออมผ่านการถือหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์และได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผลปลายปี โดยปกติจะอยู่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 ต่อปี ซึ่งผู้ที่มีความประสงค์ที่จะออมเงินด้วยวิธีการนี้จำเป็นต้องใช้ความรอบครอบในการศึกษาข้อมูลด้านฐานะทางการเงินของสหกรณ์โดยดูจากผลประกอบการ และความมั่นคงของสหกรณ์ที่ตนจะเข้าเป็นสมาชิก การออมด้วยวิธีการนี้ผู้เขียนขอแนะนำสำหรับท่านที่เป็นข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากความมั่นคงของสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจจะมีสูงกว่าสหกรณ์ออมทรัพย์อื่น ๆ
ซื้อประกันชีวิต การซื้อประกันชีวิตถือเป็นการออมเงินระยะยาว และยังเป็นการประกันความเสี่ยงหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ผลประโยชน์ตามกรมธรรม์จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทั้งปวง การที่หัวหน้าครอบครัวได้ทำประกันชีวิตไว้ก็เท่ากับว่าได้สำรองเงินก้อนใหญ่ตามภาระผูกพันกับบริษัทประกันชีวิตเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แสดงถึงความรับผิดชอบและหลักประกันอันมั่นคงต่อครอบครัวอันเป็นที่รัก และการออมด้วยวิธีการนี้ยังสามารถนำเงินออมที่เรียกว่า “เบี้ยประกันชีวิต” ไปใช้ในการลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีได้อีกด้วย
4. บัตรเครดิตใช้ได้ต้องไม่สร้างหนี้
บัตรเครดิตหรือเครดิตการ์ด นั้นหลายท่านคงได้เห็นคำแนะนำ/ข้อเสนอแนะเพื่อการออมว่าไม่ควรมีหรือใช้เครดิตการ์ด แต่สำหรับผู้เขียนแล้วเห็นว่า สำหรับการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันในปัจจุบันนั้นจะเห็นได้ว่า ห้างสรรพสินค้า ศูนย์ค้าส่ง-ค้าปลีกหลายแห่งมีการให้ส่วนลดพิเศษสำหรับการซื้อด้วยบัตรเครดิต หรืออาจมีการให้คะแนนสะสมเพื่อการแลกซื้อหรือรับคูปองส่วนลด ดังนั้นหากเป็นการใช้บัตรเครดิตเพื่อรับส่วนลดหรือสิทธิพิเศษย่อมสามารถทำได้ และก่อให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่งด้วย แต่เมื่อถึงกำหนดวันครบชำระต้องทำการชำระทันทีโดยไม่ทิ้งให้เป็นภาระหนี้สิ้น เนื่องจากดอกเบี้ยที่เกิดจากการผิดนัดชำระของบัตรเครดิตมีอัตราสูงเป็นการก่อให้เกิดรายจ่ายโดยไม่จำเป็น
ผู้เขียนเชื่อว่าหากผู้อ่านทุกท่านสามารถทำได้ดังที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้าสู่วัยเกษียณท่านก็จะมีเงินมากมาย ไว้เพื่อเลี้ยงดูตัวเองได้โดยไม่เป็นภาระให้กับลูกหลานหรือญาติพี่น้องคนไหน ๆ และสามารถใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณได้อย่างมีความสุข แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นไม่ว่าท่านจะมีเงินทองมากมายเพียงใดก็ตามหากขาดซึ่งสุขภาพที่แข็งแรงแล้วชีวิตของท่านอาจไม่มีโอกาสได้พบกับวันเกษียณอายุอย่างที่ท่านรอคอยก็เป็นได้.....สวัสดีครับ.....
บทความโดย ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล เมื่อ 27 มกราคม 2557
เคล็ดลับการนำเสนอสินค้าและบริการอย่างมืออาชีพและโดนใจ
เคล็ดลับการนำเสนอสินค้าและบริการอย่างมืออาชีพและโดนใจ
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
(บทความ เมื่อ 9 กรกฎาคม 2559)
ทำไมจึงต้องมีการนำเสนออย่างมืออาชีพ ?
การนำเสนออย่างมืออาชีพทำอย่างไร ?
เคล็ดลับของการนำเสนอสินค้ามีอะไรบ้าง ทำยากไหม ?
ในการขายสินค้าหรือบริการนั้น เป้าหมายอยู่ที่การส่งมอบสินค้าหรือบริการนั้นจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อหรือที่เรียกภาษาชาวบ้านว่า “ขายของได้”นั่นเอง ซึ่งผลสำเร็จของการซื้อ-ขายจะมาจากความสามารถในการนำเสนอของพนักงานขาย ที่จะต้องสร้างความประทับใจและกระตุ้นความต้องการของผู้ซื้อให้ทำการตัดสินใจที่จะเลือกใช้สินค้าหรือบริการนั้น ๆ ตามมาภายหลังจากที่การเจรจาหรือการแนะนำสินค้าและบริการจบลง ดังนั้นการนำเสนอถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของกระบวนการซื้อ-ขาย โดยที่ความสำเร็จของการนำเสนอจะขึ้นอยู่กับความสามารถของพนักงานขายแต่ละคน อีกทั้งความสามารถนี้เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์นั่นคือ ความสามารถในการนำเสนอนั้นสามารถที่จะเรียนรู้และทำการฝึกฝนให้เกิดเป็นทักษะและความชำนาญได้ หลายคนอาจตั้งคำถามว่าแล้ว “การนำเสนออย่างมืออาชีพทำอย่างไร ?” “เคล็ดลับของการนำเสนอสินค้ามีอะไรบ้าง ทำยากไหม ?” ซึ่งคำตอบของคำถามนี้จะหมดไปหากผู้อ่านได้ทำการศึกษาบทความนี้และได้ทำการฝึกปฏิบัติจริง แต่ทั้งนี้การนำเสนอเป็นเพียงปัจจัยองค์ประกอบหนึ่งของการเจรจาซื้อ-ขายที่เกิดขึ้น การที่พนักงานขายจะเข้าถึงจิตใจของผู้ซื้อหรือคู่เจรจาได้นั้น ยังคงต้องอาศัยความสามารถในการเข้าถึงจิตใจและเข้าใจพฤติกรรมของผู้ซื้อแต่ละคนอีกด้วย เพื่อที่จะสามารถสนองตอบต่อความต้องการและสามารถนำเสนอสินค้าและบริการอย่างโดนใจและก้าวเข้าสู่การเป็น “นักขายมืออาชีพ” ในอนาคต ทั้งนี้ผู้เขียนขอนำเสนอเคล็ดลับความสำเร็จของการนำเสนอสินค้าและบริการอย่างมืออาชีพและโดนใจ จำนวน 9 ข้อ ดังนี้
1.การเตรียมบทสนทนา
บทสนทนาหรือบทพูด คือ การเตรียมตัวสำหรับการเจรจาในการนำเสนอสินค้าหรือบริการต่อลูกค้า (ผู้ซื้อ, บุคคลเป้าหมาย) เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจ ซึ่งความสนใจของลูกค้าอาจเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาหนึ่งของการนำเสนออย่างที่นักขายหลายคนเรียกว่า “ช่วงเวลานาทีทอง” ดังนั้นการเตรียมตัวในเรื่องที่จะสนทนาโดยเฉพาะคำพูดที่จะใช้ในการสนทนาเพื่อสร้างความประทับใจ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการที่จะเป็นนักขายมืออาชีพเป็นอย่างยิ่ง เพราะคำพูดหรือบทสนทนาที่เตรียมไว้จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่พนักงานขายเอง โดยเฉพาะบทสนทนาที่จะต้องนำมาใช้ในช่วงเวลาที่เป็นนาทีทอง ที่จะสร้างโอกาสในการเจรจาให้แปรเปลี่ยนมาเป็นความประทับใจ ซึ่งจะขอแนะนำว่าคำกล่าว “สวัสดี” เป็นบทสนทนาปกติ แต่ในฐานะนักขายจะต้องสร้างบทสนทนาที่สามารถสร้างความประทับใจและเห็นภาพรวมของสินค้าได้ในช่วงเวลานาทีทอง และควรมีการเตรียมบทพูดไว้ไม่น้อยกว่า 3-4 รูปแบบเพื่อการเจรจากับลูกค้าที่มีพฤติกรรมแต่ต่างกันไป (สามารถเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าได้จาก บทความเรื่อง “พฤติกรรมลูกค้ากับการให้บริการที่โดนใจ”)
2. เตรียมตอบคำถามที่พบบ่อย
โดยปกติลูกค้ามักมีคำถามที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับราคา ส่วนลด คุณภาพ และการใช้งาน ดังนั้นการเตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยจะช่วยทำให้เกิดการจูงใจในการสนทนา และเกิดความมั่นใจในการเจรจา สิ่งสำคัญคือ ไม่ควรรีบตอบคำถามทันที เพราะจะทำให้จบการสนทนาในทันที ยกตัวอย่างเช่น
ลูกค้า โทรทัศน์เครื่องนี้ ราคาเท่าไหร่
พนักงานขาย ราคาเครื่องละ 4,990 บาท ครับ
จบการสนทนา
ลูกค้า โทรทัศน์เครื่องนี้ ราคาเท่าไหร่
พนักงานขาย โทรทัศน์เครื่องนี้เป็นรุ่นใหม่ สามารถใช้งานได้ทั้งในระบบอนาล็อกแบบเดิม และสามารถรับชมช่องดิจิตอลทีวีได้ด้วยครับ ราคาปกติเครื่องละ 5,750 บาท ช่วงนี้จัดโปรโมชั่นละราคาเหลือ 4,990 บาท ครับ ถ้าลูกค้าซื้อ 5 เครื่องขึ้นไปรับเครื่องเล่น DVD 1 เครื่อง ครับ
จบการสนทนา ลูกค้าได้ทั้งข้อมูลคุณภาพของเครื่อง ราคาปกติและส่วนลด พร้อมโปรโมชั่น
3. ค้นหาความต้องการของลูกค้า
นอกจากการตอบคำถามลูกค้าแล้ว ในฐานะผู้ขายก็จะต้องมีคำถามสำหรับลูกค้าด้วยเช่นกัน คำถามจะทำให้ทราบข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับลูกค้า เช่น ความต้องการ งบประมาณ ประสบการณ์ในการใช้สินค้า/บริการของคู่แข่ง โดยที่คำถามจะทำให้เราสามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า และเกิดประโยชน์ต่อการตัดสินใจ ทั้งนี้พึงระลึกเสมอว่า คำถามต้องเป็นประโยคที่สุภาพและให้เกียรติลูกค้าด้วยเสมอ
4. ข้อจำกัดทำให้เกิดการตัดสินใจ
ในการนำเสนอสินค้านั้นบ่อยครั้งที่ข้อจำกัดต่าง ๆ จะส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือปฏิเสธ ดังนั้นการใช้ประโยชน์จากข้อจำกัดจะช่วยทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกใช้สินค้าเราได้รวดเร็วขึ้น อาทิเช่น ลดราคาวันนี้วันสุดท้าย, ช่วงนาทีทองหมดแล้วหมดเลย, เป็นสินค้าชิ้นเอกที่มีเพียง 10 ชุดเท่านั้น, รูปทรงที่ผลิตเกิดจากการออกแบบโดยศิลปินแห่งชาติ เป็นต้น
5. ภาพลักษณ์ภายนอกต้องดูดี
องค์ประกอบหนึ่งของพนักงานขายที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นและประทับใจ คือ ภาพลักษณ์ภายนอกซึ่งลูกค้าสามารถสัมผัสได้ตั้งแต่การพบกันในครั้งแรกระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ ได้แก่ การแต่งกาย ความสะอาดของเสื้อผ้า หน้า ผม เล็บมือ กลิ่นปาก กลิ่นตัว เป็นต้น ดังนั้นก่อนที่จะพบลูกค้าพนักงานขายจะต้องทำการสำรวจตัวเองและใส่ใจต่อภาพลักษณ์ภายนอกของตนเองอยู่เสมอ พึงระลึกเสมอว่า “การประทับใจในครั้งแรกที่พบกัน จะก่อให้เกิดความสำเร็จในการเจรจา”
6. ปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างเสมอภาค
การนำเสนอสินค้าหรือบริการนั้นต้องปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างเสมอภาคโดยไม่มองแค่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงเท่านั้นต้องให้การแนะนำและนำเสนออย่างปราศจากอคติ ต้องคิดเสมอว่า “ทุกคนคือ ลูกค้า” อย่าเพียงแต่ให้ความสำคัญกับเครื่องแต่งกาย หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องประดับเท่านั้น
7. การควบคุมตนเอง
ในระหว่างการนำเสนอสินค้าหรือบริการนั้น พนักงานขายต้องมีการควบคุมตนเองทั้งในด้านอารมณ์ การใช้น้ำเสียง และกริยาท่าทาง เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้ามีหลายประเภท นักขายที่ดีต้องสามารถควบคุมตนเองและสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้าให้เกิดความประทับใจ และปิดการเสนอขายพร้อมส่งมอบสินค้าให้ได้ในที่สุด
8. การนำเสนอต้องเป็นธรรมชาติ
การนำเสนอสินค้าหรือแนะนำและให้ข้อมูล ต้องเป็นธรรมชาติ ไม่ใช้วิธีการแบบท่องจำตามตำรา หรือการนำเสนอแบบอ่านคู่มือประกอบการนำเสนอสินค้า การนำเสนอแบบท่องจำขาดความเป็นธรรมชาติ จะทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในตัวผู้เสนอสินค้า อันนำไปสู่การตอบปฏิเสธที่จะเลือกใช้สินค้าหรือบริการในที่สุด
9. ซักซ้อมการนำเสนอ
การนำเสนออย่างมืออาชีพดังที่กล่าวมาทั้ง 8 ข้อ จะสำเร็จได้นั้นจะต้องเกิดจากการซักซ้อม ฝึกฝนอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความชำนาญและลดอาการประหม่า หากต้องการเป็นนักขายมืออาชีพต้องหมั่นฝึกซ้อมจนเกิดทักษะและความชำนาญ เมื่อมีความชำนาญก็จะเกิดความมั่นใจในการเจรจามากยิ่งขึ้น ต้องจำไว้เสมอว่า “สุดยอดฝีมือ มิได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน”
ฝากไว้ให้คิด
"การตีให้ลูกลงหลุมในครั้งเดียว (Hole in one) ทำได้ยากมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครทำได้”
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
ทำอย่างไรให้ “ขายได้ไม่พลาด”
ทำอย่างไรให้ “ขายได้ไม่พลาด”
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
การขาย เป็นการใช้ความสามารถและความพยายามในการนำเสนอสินค้าหรือบริการจากผู้ขายยังผู้ซื้อ โดยผลของความสำเร็จในการขายอยู่ที่ราคาและการส่งมอบ โดยที่ราคาเป็นไปอย่างสมประโยชน์ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ส่วนการส่งมอบสินค้ามีความถูกต้องครบถ้วนตามที่ผู้ซื้อต้องการ ซึ่งกระบวนการขายประกอบไปด้วยขั้นตอนก่อนการขายเป็นการเตรียมการและการวางแผนการขาย ขั้นตอนระหว่างการขายเป็นการนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อการขายให้แก่ผู้ซื้อหรือผู้ที่สนใจ และขั้นตอนหลังการขายเป็นการให้บริการหลังจากที่ได้มีการส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ดังรูป
การเตรียมการ
การเตรียมการก่อนการขายคือ การทำความเข้าใจตนเองและสินค้าหรือบริการของตน (รู้เรา) เพื่อให้รู้ว่าสินค้าหรือบริการของเรามีข้อดี ข้อด้อยอะไรบ้างที่สามารถนำมาใช้ในการสร้างความน่าสนใจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าอันจะนำมาซึ่งราคาที่ต้องการ และทำความเข้าใจลูกค้า (รู้เขา) ว่ามีความต้องการอย่างไร อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการจะได้รับ เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการขาย
การวางแผนการขาย
การวางแผนการขายเป็นการนำข้อดีและจุดเด่นของสินค้าหรือบริการของเรามาทำการวางแผนการขายซึ่งจะประกอบไปด้วย (1) การสร้างความน่าสนใจให้แก่ตัวสินค้าด้วยหีบห่อ ภาชนะบรรจุ รูปลักษณ์ สีสัน (2) การกำหนดราคาขายและการให้ส่วนลด (3) ช่องทางการจัดจำหน่ายและการนำเสนอสินค้าไปยังผู้ซื้อ (4) การจัดกิจกรรมในการขายเพื่อสร้างความน่าสนใจและการโฆษณาประชาสัมพันธ์
การนำเสนอสินค้าและบริการ
การนำเสนอสินค้าและบริการเป็นการสร้างความน่าสนใจให้แก่ผู้ซื้อในกระบวนการขาย ด้วยการให้รายละเอียดในตัวสินค้าหรือบริการ รวมทั้งการจูงใจผู้ซื้อให้คล้อยตามและเกิดการตัดสินใจในการซื้อสินค้าหรือบริการ ในกระบวนการนำเสนอผู้ขายจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในสินค้าหรือบริการและต้องมีการเตรียมความพร้อมในการนำเสนอ ผู้ขายที่มีความสามารถในการนำเสนอเป็นอย่างมากเราเรียกว่า “นักขายมืออาชีพ” ซึ่งทุกคนสามารถเป็นได้ถ้ามีการฝึกฝน
องค์ประกอบของการนำเสนอสินค้าและบริการ
1. การเตรียมบทสนทนา บทสนทนา/บทพูด คือ การเตรียมตัวสำหรับการเจรจาในการนำเสนอต่อลูกค้า โดยเฉพาะในช่วงเวลา “1 นาทีทอง”
- คำกล่าว “สวัสดี” เป็นบทสนทนาปกติ แต่ท่านจะต้องสร้างบทสนทนาที่สามารถความประทับใจและเห็นภาพรวมของสินค้าได้ในช่วงเวลา “1 นาทีทอง” แรกของการสนทนาให้ได้
- ควรมีการเตรียมบทพูดไว้ไม่น้อยกว่า 3-4 รูปแบบ
2. เตรียมตอบคำถามที่พบบ่อย ปกติลูกค้ามักมีคำถามที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับราคา ส่วนลด คุณภาพ ดังนั้นการเตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยจะช่วยทำให้เกิดการจูงใจในการสนทนา และไม่ควรรีบตอบคำถามทันที เพราะจะทำให้จบการสนทนาในทันที
- “สินค้าของคุณราคาเท่าไหร่ สามารถลดได้กี่% ใช้งานอะไรได้บ้าง”
- “คุณพี่ครับขออนุญาตอธิบายรายละเอียดของสินค้าสัก 2 นาทีเกี่ยวกับคุณลักษณะพิเศษนะครับ”
3. ค้นหาความต้องการของลูกค้า นอกจากการตอบคำถามลูกค้าแล้ว เราเองในฐานะผู้ขายก็จะต้องมีคำถามสำหรับลูกค้าด้วยเช่นกัน อาทิเช่น งบประมาณหรือวงเงินค่าใช้จ่ายที่ลูกค้าต้องการ ประสบการณ์ในการใช้สินค้า/บริการที่ผ่านมา รายละเอียดของสินค้า/บริการที่ลูกค้ามีความสนใจ คำถามจะทำให้เราสามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าและเกิดประโยชน์ต่อการตัดสินใจ โดยที่คำถามต้องเป็นคำถามที่สุภาพและให้เกียรติลูกค้า
4. ข้อจำกัดทำให้เกิดการตัดสินใจ ในการนำเสนอสินค้านั้นบ่อยครั้งที่ข้อจำกัดต่าง ๆ จะส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือปฏิเสธ ดังนั้นการใช้ประโยชน์จากข้อจำกัดจะช่วยทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกใช้สินค้าเราได้รวดเร็วขึ้น อาทิเช่น ลดราคาวันนี้วันสุดท้าย, ช่วงนาทีทองหมดแล้วหมดเลย, เป็นสินค้าชิ้นเอกที่มีเพียง 10 ชุดเท่านั้น, รูปทรงที่ผลิตเกิดจากการออกแบบโดยศิลปินแห่งชาติซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว, เป็นสินค้าที่ทำด้วยมือและมีเพียงชิ้นเดียว, เป็นชิ้นแรกที่นำออกมาขาย
5. ภาพลักษณ์ภายนอกต้องดูดี ภาพลักษณ์ภายนอกได้แก่ การแต่งกาย ความสะอาดของเสื้อผ้า หน้า ผม เล็บมือ กลิ่นปาก กลิ่นตัว เป็นต้น ความน่าเชื่อถือและความประทับใจของผู้ซื้อต่อการนำเสนอสินค้าจะเริ่มขึ้นจากการพบปะระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน เป็นที่ยอมรับในสังคมว่า ภาพลักษณ์ภายนอกสามารถสร้างความประทับใจและความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นแก่ผู้พบเห็น
6. ปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างเสมอภาค ต้องปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างเสมอภาคโดยไม่มองแค่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงเท่านั้น ภาพลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งที่ผู้ขายต้องสร้างให้เกิดความประทับใจแก่ผู้ซื้อ แต่การปฏิบัติของผู้ขายต้องไม่ดูจากภาพลักษณ์ภายนอกของผู้ซื้อ และต้องให้การแนะนำและนำเสนออย่างปราศจากอคติ ต้องคิดเสมอว่า “ทุกคนคือ ลูกค้า” ผู้นำเงินมามอบให้แก่เรา
7. การควบคุมตนเอง ระหว่างการนำเสนอสินค้าหรือบริการนั้น ต้องมีการควบคุมตนเองทั้งในด้านอารมณ์ การใช้นำเสียงและกริยาท่าทาง พฤติกรรมของลูกค้ามีหลายประเภท นักขายที่ดีต้องสามารถควบคุมตนเองและสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้า ให้เกิดความประทับใจ และปิดการเสนอขายพร้อมส่งมอบสินค้าให้ได้ในที่สุด
8. การนำเสนอต้องเป็นธรรมชาติ การนำเสนอสินค้า หรือแนะนำและให้ข้อมูล ต้องเป็นธรรมชาติ ไม่ใช้วิธีการแบบท่องจำตามตำรา หรือการนำเสนอแบบอ่านคู่มือประกอบการนำเสนอสินค้า แต่พูดให้เป็นธรรมชาติเหมือนคุยกัน การนำเสนอแบบท่องจำขาดความเป็นธรรมชาติจะทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในตัวผู้เสนอสินค้า อันนำไปสู่การตอบปฏิเสธที่จะเลือกซื้อสินค้าหรือใช้บริการในที่สุด
9. ซักซ้อมการนำเสนอ การนำเสนออย่างมืออาชีพดังที่กล่าวมาทั้ง 8 ข้อ จะสำเร็จได้นั้นจะต้องเกิดจากการซักซ้อม ฝึกฝน อยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความชำนาญ และลดอาการประหม่า ให้มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด นักขายมืออาชีพต้องหมั่นฝึกซ้อม จนเกิดความชำนาญและเกิดทักษะ ดังที่เรียกว่า “การขายเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ คือ เป็นทั้งความรู้ที่ต้องเรียนรู้และเป็นศิลปะที่ต้องผ่านการฝึกฝน”
การบริการหลังขาย
การบริการหลังขาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการส่งมอบสินค้าหรือบริการแก่ผู้ซื้อไปแล้ว อันได้แก่ การให้คำปรึกษาในการใช้งาน การซ่อมแซมและการบำรุงรักษา การรับคืนหรือเปลี่ยนสินค้าหรือรูปแบบการให้บริการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งบริการหลังการขายเป็นการสร้างความประทับใจหรือสร้างประสบการณ์ที่ดีให้เกิดขึ้นแก่ผู้ซื้อ อันจะนำไปสู่การซื้อครั้งต่อไปหรือการแนะนำบอกต่อไปยังคนรู้จักให้มาเป็นผู้ซื้อรายต่อไป
สิ่งที่ขาดไม่ได้
ในการขายสินค้าหรือบริการใด ๆ ก็ตามผู้ขายหรือผู้แนะนำ จะต้องมีการให้รายละเอียดในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งจำเป็นต้องให้มีความสะดวกกับผู้ซื้อในการติดต่อกลับมาให้ง่ายที่สุด ปัจจุบันมีได้ทั้งโทรศัพท์มือถือ Line Facebook อีเมล์ ฯลฯ เพราะช่องทางการติดต่อสื่อสารมิได้เป็นเพียงแค่ไว้สำหรับเวลาเกิดปัญหาเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางในการสั่งซื้อที่จะเกิดขึ้นในอนคตอีกด้วย
“การเตรียมความพร้อมก่อนการขาย ระหว่างการขาย และหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญ ที่นักขายทุกคนไม่ควรพลาดที่จะต้องมีการเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ สงครามในสนามการค้าไม่ต่างกับสนามรบผู้ชนะคือ ผู้ที่สามารถช่วงชิงโอกาสและความได้เปรียบจากคู่ต่อสู้ได้ก่อนนั่นเอง”
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการขายสินค้าหรือบริการและการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลเป้าหมายเพื่อการแนะนำความรู้ในครั้งนี้
แรงจูงใจทำให้เกิดการซื้อสินค้า
การตลาดสินค้าชุมชน
“แรงจูงใจทำให้เกิดการซื้อสินค้า”
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒
การสนทนาเพื่อการนำเสนอสินค้าของผู้ขายให้แก่ผู้ซื้อเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีความยากในการที่จะทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจ หากมิใช่การนำเสนอที่เกิดจากความต้องการของผู้ซื้อที่มีเจตนาเข้ามาเพื่อซื้อสินค้าด้วยตนเอง (ดังคำเปรียบเปรยว่า “หมูชนปังตอ”) เพราะการนำเสนอเพื่อการขายมิใช่เพียงการแนะนำการใช้งานให้แก่ผู้ซื้อ แต่เป็นการสร้างความน่าสนใจในสินค้าให้เกิดขึ้นในใจของผู้ซื้อ และเป็นการทำให้ผู้ซื้อเกิดความรู้สึกต้องการที่จะได้รับสินค้านั้นกลับไป
การขายสินค้าชุมชน
การขายสินค้าชุมชน แบ่งเป็น ๒ ลักษณะคือ
๑. การขาย ณ ชุมชนที่ผลิตสินค้าอันเนื่องมาจากการเข้ามาด้วยความตั้งใจหรือมีกิจกรรมในการนำผู้ซื้อเข้ามาสู่กระบวนการทางการตลาดด้วยกิจกรรมการท่องเที่ยวหรือทัศนศึกษาดูงาน
๒. การขายโดยชุมชนนำสินค้าไปขาย ณ จุดแสดงสินค้าหรืองานจำหน่ายสินค้าชุมชนในสถานที่ต่าง ๆ
การสร้างแรงจูงใจ
เคล็ดลับที่สำคัญของการขายสินค้าคือ “การขายสินค้าต้องเป็นการขายด้วยใจ เพราะใจของผู้ซื้อจะทำหน้าที่ในการเปิดกระเป๋าเพื่อจ่ายให้แก่ผู้ขาย”
การสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นในใจของผู้ซื้อ เป็นเทคนิคหรือเป็นศาสตร์ที่สามารถฝึกฝนได้ โดยเฉพาะถ้าผู้ขายสามารถที่วิเคราะห์ได้ว่าผู้ซื้อเป็นบุคคลที่มีลักษณะเช่นไร ก็จะตอบสนองความต้องการได้ตรงใจมากเท่านั้น (สามารถศึกษาได้จากบทความหรือคลิป VDO เรื่อง พฤติกรรมลูกค้ากับบริการที่โดนใจ)
ตัวอย่างของการสร้างแรงจูงใจ
๑. คุณสมบัติพิเศษหรือลักษณะพิเศษของสินค้าสร้างความน่าสนใจ เช่น การใช้งานเป็นได้ทั้งหมอนและผ้าห่มในชิ้นเดียว หรือทำความสะอาดได้ทั้งเครื่องหนัง ไม้ ยาง และโลหะ
๒. ความจำเป็นอยู่เหนือความต้องการ ความจำเป็นด้านสุขภาพทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อข้าวกล้องมากกว่าการซื้อข้าวขาวหรือเลือกที่จะซื้อผลไม้มากกว่าขนมหวาน แต่ก็ยอมที่จะซื้อขนมไทยที่มีรสชาติหวานเพื่อเป็นของฝากสำหรับเพื่อนหรือญาติผู้ใหญ่ เพราะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางด้านความรู้สึก
๓.ประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลายทำให้เกิดความน่าสนใจ สินค้าชุมชนหลายอย่างที่เป็นสินค้าสำหรับการใช้งาน ดังนั้นการนำเสนอให้เห็นถึงประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลายจะทำให้เกิดความรู้สึกคุ้มค่ากับการจ่ายเงินเพื่อซื้อให้ได้มา
๔. ความจำเป็นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ณ วันนี้ สินค้าสมุนไพรพื้นบ้าน สินค้าเพื่อสุขภาพ มิใช่การซื้อเพื่อเห็นผลในวันที่ซื้อแต่เป็นการซื้อเพราะหวังผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นการนำเสนอให้เห็นถึงผลที่จะได้รับในอนาคตก็เป็นแรงจูงใจให้เกิดการซื้อ ณ วันนี้ได้
การสร้างแรงจูงใจมีส่วนช่วยในการเพิ่มความสำเร็จในการขายสินค้าหรือบริการได้มากขึ้น เพราะแรงจูงใจเป็นปัจจัยช่วยให้เกิดการตัดสินใจ ดังนั้นผู้ขายจำเป็นต้องมีการฝึกฝนที่จะสร้างประสบการณ์ในการสนทนา และสร้างแรงจูงใจจากการสนทนาเพื่อให้เกิดทักษะและความชำนาญ อันจะนำไปสู่การเป็นนักขายที่มีความสามารถมากยิ่งขึ้นในอนาคต
“ทักษะในการขายเป็นเรื่องที่ฝึกฝนได้ สุดยอดฝีมือไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่มาจากการฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเกิดความชำนาญ”
ขอให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าชุมชนทุกท่านประสบความสำเร็จในการนำเสนอสินค้าและบริการ อันนำมาซึ่งยอดการสั่งซื้อที่ต้องการทุกท่าน.....
ลูกค้า คือ อนาคต
“ลูกค้า คือ อนาคต”[1]
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
ในการทำธุรกิจนั้น “ลูกค้า” ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินการและเป็นบุคคลเป้าหมายที่ธุรกิจต้องการ และลูกค้ายังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้อง
- เมื่อธุรกิจขาดลูกค้าหรือลูกค้าลดน้อยลง จะทำให้ธุรกิจรายได้ลดลงหรือขาดรายได้ ขาดเงินทุนหมุนเวียน ขาดสภาพคล่องทางการเงิน นำไปสู่ภาวะขาดทุนส่งผลต่อการปรับลดเงินเดือน ปรับลดพนักงาน งดการจ่ายเงินโบนัส หากประสบปัญหาขั้นรุนแรงอาจทำให้ธุรกิจต้องปิดกิจการ
- เมื่อลูกค้าไม่พอใจสินค้าหรือการให้บริการ นำไปสู่การตำหนิ การร้องเรียนบริการ การคืนสินค้า ทำให้ขาดความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า พนักงานผู้ทำหน้าที่ในการขายหรือให้บริการโดนตำหนิ หรือถูกลงโทษจากผู้บริหาร สุดท้ายอาจโดนพักงานหรือให้ออกจากงาน
- ลูกค้าพึงพอใจในสินค้าและบริการ นำไปสู่การซื้อสินค้าหรือใช้บริการเพิ่มมากขึ้น ทำรายได้ให้ธุรกิจมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดผลกำไรอันนำไปสู่การเพิ่มค่าตอบแทน เงินเดือน สวัสดิการ เงินโบนัส พนักงานขายหรือผู้ทำหน้าที่ให้บริการได้รับคำชมเชย ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง มีความมั่งคงในชีวิตการทำงานเพิ่มมากขึ้น
ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจผู้ผลิต ผู้จำหน่ายสินค้า หรือ ผู้ให้บริการ
“ลูกค้า คือ ความร่ำรวย”
“ลูกค้า คือ ความมั่งคั่ง”
“ลูกค้า คือ ความมั่นคง”
“ลูกค้า คือ อนาคตของคุณและทุกชีวิตในธุรกิจของคุณ”
“ลูกค้า คือ อนาคต” การมีอนาคตที่สดใสต้องเริ่มจากปัจจุบันที่ดี ดังนั้นจงให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของคุณในวันนี้ เพื่อให้เป็นอนาคตที่ดีที่สุดของคุณในวันข้างหน้า .....
[1] จากการบรรยายในการประชุมสัมมนาเรื่อง การประชุมสัมมนาเรื่อง “การบริการด้วยใจ (Service Mind)” สายงานการไฟฟ้าภาค 2 ประจำปี 2562 ระหว่างวันที่ 23-24 พฤษภาคม 2562 ณ โรงแรมเพชรรัชต์การ์เด้น จังหวัดร้อยเอ็ด วิทยากร ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
๕ องค์ประกอบที่สำคัญของการตลาดสินค้าเกษตรและสมุนไพร (ฉบับย่อ)
๕ องค์ประกอบที่สำคัญของการตลาดสินค้าเกษตรและสมุนไพร (ฉบับย่อ)
โดย พจน์ พจนพาณิชย์กุล
๑.ผลผลิตทางการเกษตรและสมุนไพร สินค้าแปรรูป
• คนขาย (เกษตรกร) ต้องนำเสนอคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตรไปยังผู้ซื้ออย่างตรงไปตรงมา ไม่หลอกลวง รวมทั้งความซื่อตรงในด้านจำนวน ขนาด น้ำหนัก (หน่วยวัด)
• การนำเสนอขายสินค้าที่มีคุณภาพ จะนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ อันนำไปสู่การซื้อซ้ำในครั้งต่อไปหรือจำนวนการสั่งซื้อที่มากขึ้น
• การนำเสนอในสิ่งที่แตกต่างจะทำให้ผู้ซื้อมีความต้องการมากขึ้น
• ภาชนะบรรจุ หีบห่อ ช่วยสร้างความน่าสนใจ
• โลโก้และฉลากสินค้า (Brand) ช่วยให้เกิดการจดจำ และการบอกต่อ
๒.ราคา
• คนขายต้องการทำกำไร คนซื้อต้องการความคุ้มค่าจากเงินค่าจ่ายออกไป
• การตั้งราคาไม่ควรเอาเปรียบผู้ซื้อมากเกินไป ราคาควรเหมาะสมกับปริมาณและคุณภาพ
• ผู้ซื้อจะทำการตัดสินใจ หากคิดว่าราคาสินค้ามีความคุ้มค่ากับคุณภาพของสินค้าที่ได้รับ
๓.ช่องทางการซื้อ-ขาย
• ช่องทางในการซื้อ-ขายสินค้าต้องมีความสะดวกและง่ายต่อการเข้าถึง
• ความสะดวกสบายของสถานที่เพิ่มโอกาสในการซื้อ-ขาย
• ในยุคปัจจุบันช่องทางการซื้อ-ขายแบบออนไลน์สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้อและผู้ขายมากขึ้น รวมทั้งการสั่งซื้อและการชำระเงิน
๔.การนำเสนอ
• การนำเสนอที่ดีช่วยสร้างความน่าสนใจให้แก่สินค้า
• การนำเสนอที่ดีสามารถตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมของผู้ซื้อ จะนำมาซึ่งยอดขายและผลกำไร
• หลายครั้งที่การนำเสนสินค้าจำเป็นต้องใช้กิจกรรมการลด แลก แจก แถม เป็นการสร้างแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งวิธีการแถมย่อมดีกว่าการลดราคา แม้แต่สินค้าเกษตรคนซื้อก็ยังขอแถม เพราะการได้ของเพิ่มเท่ากับต้นทุนการจ่ายที่ลดลง ดังนั้นในการขายสินค้าควรยึดหลัก “ได้เงินมากเข้ากระเป๋า” นั่นคือ เมื่อได้ยอดรวมราคาขายแล้วควรใช้วิธีการแถม มากกว่าการลดราคา
๕.การบริการ
• การซื้อ-ขายในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการบริการมากกว่าในอดีต ซึ่งการบริการที่ว่านี้หมายถึง การให้บริการตั้งแต่ก่อนเริ่มประโยคแรกของการเจรจาหรือก่อนที่จะมีการซื้อขายเกิดขึ้น อาทิเช่น การให้บริการน้ำดื่มหรือห้องสุขาของร้านค้าประชารัฐ ก่อนที่ลูกค้าจะเข้ามาซื้อสินค้าในร้านเหมือนเช่น ปตท. ที่มีห้องน้ำสะอาดไว้บริการตลอดเวลา เพื่อสร้างความประทับใจและดึงดูดให้มีคนเข้ามาใช้บริการ
นอกจากความรู้เรื่องการตลาด ที่จะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรและสมุนไพร หรือสินค้าเกษตรแปรรูปที่ผลิตจะขายได้มาก ๆ และเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคือ การรู้พฤติกรรมของผู้ซื้อว่ามีพฤติกรรมในการกิน การใช้งานอย่างไร ก็จะทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อได้อย่างตรงตามต้องการได้มากยิ่งขึ้น (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://doctorpotp.blogspot.com/2015/04/blog-post.html)
ลูกน้องแบบไหนที่เจ้านายต้องการ
ลูกน้องแบบไหนที่เจ้านายต้องการ
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล[1]
ในชีวิตการทำงานทุกคนล้วนต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การทำงาน หรือสายอาชีพที่ตนปฏิบัติงานอยู่ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเริ่มงานในตำแหน่งหน้าที่ใดก็ตาม ซึ่งความก้าวหน้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ความก้าวหน้าที่เป็นเรื่องของตัวเงินและความก้าวหน้าที่ไม่ใช่ตัวเงิน ความก้าวหน้าที่เป็นเรื่องของตัวเงินอันได้แก่ เงินเดือน สวัสดิการ เงินประจำตำแหน่ง โบนัส เป็นต้น ส่วนความก้าวหน้าที่ไม่ใช่ตัวเงิน ได้แก่ ตำแหน่งหน้าที่ที่สูงขึ้น รถยนต์ประจำตำแหน่ง หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ได้รับ เป็นต้น ซึ่งความก้าวหน้าเหล่านี้จะได้มาจากความเห็นชอบหรือยินยอมโดยผู้บังคับบัญชาหรือเจ้าของกิจการ หรือที่เรียกว่า “เจ้านาย” นั่นเอง คำว่า “เจ้านาย” นั่นเป็นคำเรียกที่ใช้กันติดปากมาตั้งแต่สมัยอดีต ซึ่งสังคมไทยเป็นสังคมแบบเจ้าขุนมูลนาย แต่สำหรับการบริหารงานในปัจจุบันผู้บริหารจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์กับพนักงานหรือผู้ปฏิบัติงาน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “การจูงใจในการทำงาน” กันมากขึ้นเพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงหันมาใช้คำว่า “ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างาน” แทนคำว่า “เจ้านาย” ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันมากขึ้น ในฐานะผู้ปฏิบัติงานที่ต้องการความก้าวหน้าจำเป็นต้องรู้ว่า คุณสมบัติของลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นที่ต้องการและได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานนั่นเป็นอย่างไร ดังจะได้กล่าวต่อไปนี้
1. เป็นมนุษย์ธรรมดา ที่ไม่ใช่ดาราหรือซุปเปอร์สตาร์
ต้องเป็นบุคคลที่สามารถปฏิบัติงานได้เช่นคนทั่วไปไม่มีสิทธิพิเศษเหนือเพื่อนร่วมงาน และให้ความสำคัญกับงานที่ต้องปฏิบัติมากกว่าการทำงานแบบนักแสดง คือ ต้องมีคนให้ความสนใจถึงทำงานหรือจะทำเฉพาะงานที่มีโอกาสแสดงให้ผู้อื่นได้เห็นเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็มักจะขออภิสิทธิ์เหนือเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ในชีวิตจริงของการทำงานนั้นผู้ปฏิบัติงานจะต้องได้รับมอบหมายงานทั้งที่เป็นงานเบื้องหน้าและงานเบื้องหลัง งานทุกอย่างในองค์กรจะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ดังนั้นผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชามักชื่นชอบพนักงานที่ปฏิบัติงานอย่างตั้งใจจริงมากกว่าผู้ที่ต้องการปฏิบัติงานเพื่อแสดงผลงานเท่านั้น
2. ก้าวทันเทคโนโลยี แต่ไม่ลุ่มหลงเทคโนโลยี
เทคโนโลยีนำมาซึ่งความสะดวกในการปฏิบัติงานและความทันสมัย การก้าวทันเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ดีและถือเป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้ปฏิบัติงานในการสนใจที่จะใฝ่หาความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะการนำความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการปรับปรุงงานให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้การให้ความสนใจต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาตนและพัฒนางาน แต่ไม่ใช่ความหลงใหลเทคโนโลยีจนละทิ้งหน้าที่การทำงาน ดังคำกล่าวที่ว่า “เรียนรู้ อย่างรู้ทัน ไม่ติดกับดัก” ยกตัวอย่างเช่น Line หรือ Facebook ที่สามารถนำมาใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารและใช้งานเพื่อสนับสนุนการทำงานได้เพื่อความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ถ้าพนักงานเอาแต่เล่นสนุกเพื่อความบันเทิงของตนเองและกลุ่มเพื่อนจนไม่สนใจงานที่ทำก็จะทำให้เสียงานและกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานมากกว่าเกิดประโยชน์จากการใช้งานเทคโนโลยี
3. มีความมุ่งมั่น และทุ่มเทพลังในการทำงานเพื่อความสำเร็จขององค์กร
ในฐานะผู้ปฏิบัติงานที่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร จะต้องให้ความสำคัญกับความสำเร็จขององค์กรและต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทพลังกาย พลังใจในการทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมขององค์กรมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง ต้องมีความตั้งใจในการทำงานแม้งานนั้นจะมีความยากยิ่งอย่างไรก็ตาม
4. รู้หน้าที่ มีความรับผิดชอบ
หน้าที่และความรับผิดชอบเป็นของคู่กัน ผู้ปฏิบัติงานเมื่อได้รับมอบหน้าที่มาแล้วก็จะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบด้วยไปพร้อม ๆ กัน ผู้ปฏิบัติงานเมื่อรู้หน้าที่ของตนเองและปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมาด้วยความตั้งใจและสนุกกับงานที่ตนเองทำ ก็จะก่อให้เกิดความสุขผลของงานในความรับผิดชอบก็จะออกมาดีมีประสิทธิภาพ อาทิเช่น พนักงานต้อนรับ หน้าที่ของพนักงานต้อนรับคือการให้บริการซึ่งจำเป็นต้องมีการกล่าวทักทายและการให้คำแนะนำแก่ผู้มาเยือน ดังนั้นผู้ปฏิบัติหน้าที่พนักงานต้อนรับต้องไม่เบื่อการสนทนาและต้องมีใจรักที่จะให้บริการ ความรับผิดชอบสูงสุดที่พนักงานต้อนรับพึงมีคือ การสร้างความพึงพอใจและประทับใจให้แก่ผู้ที่มาปฏิสัมพันธ์ด้วย
5. เคารพกฎระเบียบ
คนที่เคารพกฎระเบียบ ย่อมไม่ทำในสิ่งที่ผิด ไม่คดโกง และไม่ทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งกฎระเบียบ คือ บรรทัดฐานในการปฏิบัติงาน หรืออีกนัยหนึ่งคือ แบบแผนที่กำหนดไว้สำหรับผู้ปฏิบัติงาน เพื่อควบคุมมิให้ผู้ปฏิบัติงานทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นพนักงานที่ปฏิบัติงานอย่างเคารพกฎระเบียบย่อมเป็นที่รักใคร่ของผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน
6. เก็บรักษาความลับขององค์กร
ทุกองค์ย่อมมีความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรับรู้ อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด โดยเฉพาะความลับที่เป็นความลับต่อความมั่นคงและอยู่รอดขององค์ ตัวอย่างเช่น สูตรอาหาร แนวทางในการทำกลยุทธ์ทางการตลาด การเก็บข้อมูลลูกค้า เป็นต้น ทุกองค์กรให้ความสำคัญกับความขององค์กรเป็นสำคัญบางองค์กรมีการกำหนดระเบียบการรักษาความลับขององค์กรอย่างเป็นทางการ เพื่อให้พนักงานทุกคนต้องลงนามรับทราบและถือปฏิบัติหากใครทำผิดหรือเจตนาไม่ปฏิบัติก็จะถือเป็นความทั้งทางแพ่งและอาญา
7. รักทรัพย์สินขององค์กรเหมือนเป็นของตน แต่ไม่หวงทรัพย์สินขององค์กรเหมือนเป็นของตน
การบริหารทรัพย์สินถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของกำไรหรือขาดทุน เพราะในการบริหารทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุดย่อมนำมาซึ่งการประหยัดและช่วยเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น ดังนั้นทุกคนในองค์กรควรมีความรักในทรัพย์สินขององค์กรเหมือนเป็นของตน เพราะหากทุกคนคิดเช่นนี้ก็จะดูแลและบำรุงรักษาไว้ซึ่งทรัพย์สินนั้น ๆ เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ต้องไม่หวงทรัพย์สินขององค์กรเหมือนเป็นของตนเพราะความหวงจะทำให้ทรัพย์สินนั้นเกิดประโยชน์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเนื่องจากความหวงว่าเป็นของตน จึงไม่อยากให้ใครนำไปใช้จนเป็นเหตุให้เกิดความด้อยค่าของทรัพย์สินนั้น อันเนื่องมาจากการไม่มีการใช้งานเพราะถูกหวงไว้โดยคนบางคนเพียงเท่านั้น
8. ทำงานคุ้มค่าแรง แต่ให้ดีต้องทำงานเกินค่าแรง เจ้านายชอบ
การที่นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนการทำงานให้แก่ผู้ปฏิบัติงานนั้น ความต้องการของนายจ้างก็คือ ความคุ้มค่าของผลงานที่ได้รับเมื่อเทียบกับเงินค่าแรงที่ได้จ่ายไป แต่หากมีใครที่ทำงานให้เกินค่าแรงอย่างนี้เรียกว่า “ความเสียสละ” ย่อมเป็นที่พึงพอใจของนายจ้างมากยิ่งขึ้น หากเป็นผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาก็เช่นกันในการประเมินผลงานเพื่อการพิจารณาค่าตอบแทนหรือการขึ้นเงินเดือนก็จะต้องวัดจากปริมาณงานหรือผลงานที่องค์กรได้รับจากผู้ปฏิบัติงานเช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า “ทำงานคุ้มค่าแรงทำได้อย่างนี้มีแต่ก้าวหน้า”
9. รู้ใจเจ้านาย
การรู้ใจเจ้านาย ผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชา หรือนายจ้าง เป็นสิ่งที่ดีโดยเฉพาะทั้ง 8 ข้อที่กล่าวมาคือ สิ่งที่เจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาต้องการ เราควรปฏิบัติตามอันจะนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การทำงาน และเป็นที่ต้องการของทุกองค์กรหรือไม่ว่าหน่วยงานใดก็ตาม
[1] การบรรยายพิเศษเรื่อง ลูกน้องแบบไหนที่เจ้านายต้องการ ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ประจำปีการศึกษา 2559 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 3 วันที่ 24 กรกฎาคม 2559
การบริหารสถานศึกษาสไตล์ “Benchmarking”
การบริหารสถานศึกษาสไตล์ “Benchmarking”
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
“Benchmarking” เป็นเครื่องมือทางการบริหารจัดการ เพื่อนำองค์กรไปสู่ความเป็นเลิศ ในการดำเนินงาน (Best Practice) โดยการนำองค์ความรู้ทางการบริหารจัดการองค์กรของตน และผลสำเร็จจากการดำเนินงานของกิจการหรือองค์กรของตนไปเปรียบเทียบกับองค์กรอื่นหรือกิจการอื่น เพื่อศึกษาข้อมูลและกลยุทธ์ในการบริหารงาน ทั้งนี้เพื่อให้ได้แนวคิดและข้อเสนอแนะ ในการกำหนดทิศทางในการปรับปรุงงาน และการบริหารงานให้บรรลุผลดียิ่งขึ้น เป็นการบริหารงานโดยการศึกษาจากความสำเร็จของผู้อื่น ตามปกติแนวคิดการบริหารงานแบบ Benchmarking ถูกนำมาใช้ในองค์กรธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ โดยมีชื่อเรียกว่า “การเปรียบเทียบสู่ความเป็นเลิศ” การเปรียบเทียบตามวิธีการของ Benchmarking สามารถทำได้หลายระดับ เช่น เปรียบเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน เปรียบเทียบกับหน่วยงานในองค์กรเดียวกัน เปรียบเทียบกับหน่วยงานที่มีลักษณะการทำงานเหมือนกัน เปรียบเทียบกับกระบวนการผลิตของบริษัทอื่น หรืออาจเปรียบเทียบกับนโยบายของบริษัทอื่นเป็นต้น สำหรับกรณีของการบริหารจัดการสถานศึกษาแล้ว การนำแนวคิด Benchmarking มาใช้ในการบริหารสถานศึกษา จะช่วยให้เกิดการพัฒนา (Development) และการเปลี่ยนแปลง (Change) ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ทั้งสภาพแวดล้อมทางกายภาพของสถานศึกษา รวมทั้งบุคลากรทั้งในระดับบริหารและระดับปฏิบัติการในสถานศึกษานั้น ๆ ในการนี้จำเป็นต้องเริ่มต้นจากกระบวนการเปรียบเทียบ (Benchmark) กับผู้ที่ดีกว่าหรือดีที่สุดเป็นอันดับแรก ซึ่งวงการบริหารทั่วไปต่างยอมรับกันว่า Benchmark เป็นขั้นตอนมาตรฐานสากลที่ทำได้โดยง่าย วงการศึกษาก็เช่นเดียวกัน สถานศึกษาเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดการศึกษา และเพื่อให้การพัฒนางานเข้าสู่มาตรฐานทั้ง ๓ ด้าน คือ มาตรฐานด้านการบริหารโรงเรียน มาตรฐานด้านการเรียนการสอน และมาตรฐานด้านคุณภาพนักเรียน ได้อย่างมีคุณภาพ ผู้บริหารโรงเรียน ครู คณะกรรมการสถานศึกษา และผู้เกี่ยวข้อง จึงควรแสวงหาเทคนิคและวิธีการมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น และBenchmark คือ วิธีการหนึ่งที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารสถานศึกษาเพื่อเข้าสู่มาตรฐานที่กำหนดได้
ทำไมต้อง Benchmarking
หัวใจสำคัญของการทำ Benchmarking อยู่ตรงที่ทำให้องค์กรมีวิธีการปรับปรุงที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม เพราะใช้องค์กรที่เหนือกว่าเป็นตัวตั้งและนำมาเปรียบเทียบหรือเทียบเคียง ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบที่มิใช่การลอกเลียนแบบ เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เรารู้ว่าองค์กรของเราอยู่ห่างชั้นกับองค์กรนั้นๆ แค่ไหน และต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามต้องการ ซึ่งแนวทางที่ได้มาจากการรวบรวมข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ถึงรูปแบบการดำเนินงาน กระบวนการ และวิธีที่องค์กรแม่แบบใช้แล้วประสบความสำเร็จ จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับองค์กรของตนเพื่อให้เข้าใจถึงข้อแตกต่าง และแนวทางปฏิบัติ เพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กร ด้วยวิธีการของ Benchmarking จะช่วยให้องค์กรได้แนวทางปฏิบัติ โดยลดความผิดพลาดอันอาจเนื่องมากจากการดำเนินงาน หรือการคาดการณ์ผิด ทั้งนี้เนื่องจากองค์กรแม่แบบ สามารถดำเนินงานจนบรรลุผลสำเร็จมาแล้ว และยังเป็นการช่วยประหยัดทรัพยากรในการบริหารจัดการได้อีกทางหนึ่งด้วยโดยเฉพาะวงการศึกษาที่มีสถานศึกษาหลายแห่งประสบผลสำเร็จในการบริหารจัดการตามเกณฑ์มาตรฐานจนได้รับรางวัลมาแล้ว ดังนั้นการนำ Benchmarking มาใช้ในการบริหารสถานศึกษาถือว่า มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง
รูปแบบของการทำ Benchmarking ในสถานศึกษา
๑. การเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน (Competitive Benchmarking) เป็นการทำ Benchmarking ที่ทำการศึกษากระบวนการทำงาน หน้าที่ และกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการดำเนินงานและข้อมูลในมติต่าง ๆ ระหว่างสถานศึกษาของตนกับสถานศึกษาอื่น (คู่แข่งขัน) ที่มีศักยภาพโดยตรงเพื่อที่ผู้บริหารจะได้เห็นจุดอ่อนของตน ความแตกต่างในความสามารถและศักยภาพ ตลอดจนวิธีการดำเนินงาน เพื่อที่จะสามารถพัฒนาสถานศึกษาของตนเองให้เท่าเทียมหรือเหนือกว่าสถาบันการศึกษาต้นแบบที่ดีที่สุดได้
๒. การเปรียบเทียบภายในองค์กร (Internal Benchmarking) โดยการทำ Benchmark เปรียบเทียบกันระหว่างหน่วยงานหรือกระบวนการต่างๆ ภายในสถาบันการศึกษา เพื่อทำการศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาเพื่อให้เป็นต้นแบบ (Prototype) ในการพัฒนาการ และเพื่อการเปรียบเทียบในรูปแบบอื่นต่อไป
๓. การเปรียบเทียบตามหน้าที่ (Functional Benchmarking) เป็นการเปรียบเทียบการดำเนินงานในแต่ละหน้าที่ (Function) ที่เราสนใจ โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของความเป็นสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานขององค์กร เป็นการปฏิบัติทั่วทั้งองค์การ เนื่องจากการ Benchmark ตามหน้าที่จะช่วยลดความยุ่งยากในการหาคู่เปรียบเทียบ (Benchmarking Partner) ซึ่งเราสามารถคัดเลือกคู่เปรียบเทียบได้จากองค์กร หรือหน่วยงานที่มิใช่เพียงสถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่จะทำการเปรียบเทียบจากหน้าที่การปฏิบัติงาน โดยการเลือกองค์กรที่มีการปฏิบัติงานดีที่สุด (Best Practice) มาเป็นแม่แบบในแต่ละหน้าที่ ก่อนกระจายหรือขยายผลไปยังส่วนอื่นขององค์กร
๔. การเปรียบเทียบทั่วไป (Generic Benchmarking) เป็นการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการเฉพาะ (Specific Benchmarking) เป็นการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการเฉพาะ (Specific Process) ที่ใช้กันอย่างทั่วไปในการจัดการศึกษาและสถาบันการศึกษา โดยกระบวนการต่าง ๆ อาจมีการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับหลายหน้าที่ การ Benchmark ทั่วไปจะเป็นประโยชน์ในการบริหารและพัฒนากระบวนการต่างของสถาบันการศึกษาให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
ข้อจำกัดของการทำ Benchmarking
๑. ผู้บริหารสถานศึกษาไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงของตนเอง ทำให้ไม่สามารถกำหนดออกมาได้ว่าจะเปรียบเทียบกับอะไร หรือแก้ปัญหาด้านใด ดังนั้นผู้บริหารและบุคลากรภายในสถานศึกษาที่จะทำการ Benchmarking ต้องรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาของตนเป็นอย่างดี เพื่อจะได้ทราบว่าตนมีจุดเด่น หรือจุดด้อยอย่างไร มีความต้องการที่จะแก้ปัญหาด้านใด
๒. สถาบันการศึกษาที่จะเลือกเป็นแม่แบบในการทำ Benchmarking นั้นควรเป็นสถาบันการศึกษาที่ได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จอยู่ในระดับหนึ่ง เพื่อจะได้นำจุดเด่นดังกล่าวมาปรับปรุงในส่วนของสถาบันการศึกษาที่จะทำการปรับปรุง
๓. ข้อมูลที่ต้องการจะทราบจากสถาบันการศึกษาที่เราต้องการศึกษาอาจหามาได้หลายวิธีการ แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ข้อมูลที่ได้จากภายในสถาบันการศึกษาแม่แบบนั้น ซึ่งตามปกติสถาบันการศึกษาแม่แบบ มักเป็นสถาบันที่ได้รับรางวัลและมีความต้องการเผยแผ่ข้อมูลของตนอยู่แล้ว
๔. ไม่เข้าใจการทำ Benchmarking อย่างแท้จริง ผู้บริหารบางคนคิดว่าเป็นการลอกกระบวนการ วิธีการของแม่แบบมาใช้ โดยขาดการวิเคราะห์ให้เหมาะสมกับสถาบันการศึกษาของตน (ซึ่ง Benchmarking เป็นเครื่องมือบริหารสำหรับองค์กรที่ต้องการพัฒนาและปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นความสำคัญของ Benchmarking อยู่ตรงที่ทำให้องค์กรมีแนวทางที่จะเดินไปถึงเป้าหมายอย่างชัดเจน เพราะใช้องค์กรของต้นแบบเป็นตัวเปรียบเทียบ จากนั้นนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงให้เหมาะสมกับองค์กรก่อนนำไปใช้)
หน้าที่ของผู้บริหารในการบริหารสถานศึกษาสไตล์ “Benchmarking”
๑. หน้าที่ด้านการวางแผน (Planning) หน้าที่ด้านการวางแผนเป็นหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเป้าหมาย (Goals) วัตถุประสงค์ (Objective) กลยุทธ์ (Strategies) และแผนงาน (Plan) เป็นการกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ต่าง ๆ และจัดทำแผนงานเพื่อประสานกิจกรรมต่างๆ ที่จะกระทำในอนาคต เป็นการเตรียมการเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ลดวามเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ดังนั้นในการทำหน้าที่ด้านการวางแผนของผู้บริหารในการบริหารสถานศึกษาสไตล์ “Benchmarking” ต้องมีการเทียบเคียงกับสถานศึกษาในระดับเดียวกันกับสถานศึกษาของตนเพื่อศึกษารูปแบบ และเทคนิควิธีการในการวางแผน อันจะนำไปสู่ความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษาของตน อาทิเช่น การกำหนดเป้าหมายในการปฏิบัติงานให้แก่บุคลากรในสถานศึกษา โดยยึดสถานศึกษาต้นแบบเป็นหลัก และทำการกำหนดเป้าหมายสถานศึกษาของตนให้อยู่ในระดับเดียวกันหรือระดับที่ใกล้เคียง เป็นต้น
๒. หน้าที่ด้านการจัดองค์กร (Organizing) เป็นการพิจารณาถึงงานที่จะต้องกระทำ ใครเป็นผู้ทำงานนั้นต้องมีการจัดกลุ่มงานอย่างไร ใครต้องรายงานใคร และใครเป็นผู้ตัดสินใจ นั่นคือการมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบ และกำหนดสายการบังคับบัญชา
ดังนั้นในการทำหน้าที่ด้านการจัดองค์กรของผู้บริหารในการบริหารสถานศึกษาสไตล์ “Benchmarking” ต้องมีการเทียบเคียงกับสถานศึกษาในระดับเดียวกันกับสถานศึกษาของตน อีกทั้งควรมีการเทียบเคียงภายในสถาบันการศึกษาเอง เพื่อให้บุคลากรเกิดความรู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาการจัดสายการบังคับบัญชา ควรมีความยืดหยุ่นพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง ควรมีการศึกษาด้านการจัดโครงสร้างองค์กรของสถาบันการศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการ เพื่อนำมาปรับปรุงโครงสร้างการบริหารองค์กรภายในสถาบันการศึกษาของตน
๓. หน้าที่ในการชักนำ (Leading) เป็นการนำและจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชา การสั่งการ การเลือกช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และการขจัดความขัดแย้ง หรือเป็นการกระตุ้นให้พนักงานใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
ในการทำหน้าที่ด้านการชักนำของผู้บริหารในการบริหารสถานศึกษาสไตล์ “Benchmarking” นั้น ควรใช้รูปแบบการเปรียบเทียบทั่วไป (Generic Benchmarking) เป็นการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการเฉพาะ (Specific Benchmarking) หน้าที่ด้านการชักนำเป็นหน้าที่ทางการบริหารที่ต้องอาศัยทั้งศาสตร์ และศิลป์ในการปฏิบัติ ผู้บริหารควรทำการศึกษาทักษะและวิธีการจากประสบการณ์และความสำเร็จของผู้บริหารสถานศึกษาที่นำมาเป็นแม่แบบ และนำมาประยุกต์ให้เข้ากับตนเอง ทั้งนี้ยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมต่อสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ อีกด้วย
๔. หน้าที่ในการควบคุม (Controlling) เป็นการตรวจสอบกิจกรรมต่างๆ ที่ได้กระทำไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานได้เป็นไปตามมาตรฐาน หรือแผนที่วางไว้ รวมทั้งแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องอีกด้วย การควบคุมจะนำมาซึ่งความมีมาตรฐาน และความสำเร็จของการปฏิบัติงาน และด้วยวิธีการที่หลากหลายของการควบคุมตามหลักของการบริหารจัดการหนึ่งในนั้นคือ การควบคุมด้วยการเปรียบเทียบ (Comparisons) เป็นการเปรียบเทียบจากมาตรฐาน หรือคู่แข่ง
ดังนั้นในการทำหน้าที่ด้านการควบคุมของผู้บริหารในการบริหารสถานศึกษาสไตล์ “Benchmarking” จึงมิใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่เป็นแนวปฏิบัติที่ผู้บริหารมีหน้าที่ที่ต้องกระทำ แต่การควบคุมด้วยการเทียบเคียงตามหลักการของ Benchmarking จะเป็นการควบคุมในระดับองค์กร หรือระดับสถานศึกษาเป็นหลัก ซึ่งจะมีความแตกต่างจากการควบคุมในระดับภายในองค์กรหรือการควบคุมระดับปฏิบัติงาน ผู้บริหารสถานศึกษาต้องการเทียบเคียงสถานศึกษาของตนกับสถานศึกษาที่นำมาเป็นแม่แบบ และทำการศึกษาแนวทางที่สถานศึกษาแม่แบบดำเนินงานจนสามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานทางการศึกษาตามระเบียบข้อบังคับ และนำมาปรับใช้กับสถานศึกษาของตน ทั้งนี้การควบคุมด้วยการเทียบเคียงควรอยู่ในระดับมาตรฐานเดียวกัน ยกเว้นจะเป็นการเทียบเคียงเพื่อยกระดับมาตรฐานของตน ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเทียบเคียงกับกับสถานบันการศึกษาที่มีมาตรฐานที่สูงกว่า โดยมาตรฐานหลักมี ๓ ด้าน คือ มาตรฐานด้านการบริหารโรงเรียน มาตรฐานด้านการเรียนการสอน และมาตรฐานด้านคุณภาพนักเรียน
โดยสรุป ผู้บริหารเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่และพัฒนาการของสถานศึกษา สถานศึกษาจะเข้าสู่มาตรฐานทั้ง ๓ ด้าน (มาตรฐานด้านการบริหารโรงเรียน มาตรฐานด้านการเรียนการสอน และมาตรฐานด้านคุณภาพนักเรียน) หรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ และการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษาโดยตรง ซึ่งในการบริหารสถานศึกษาสไตล์ “Benchmarking” นั้น นอกจากหน้าที่ทางการบริหารที่ผู้บริหารต้องปฏิบัติแล้ว ผู้บริหารควรมีบทบาทสำคัญ คือ การเป็นผู้ริเริ่ม ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงและสร้างนวัตกรรมใหม่ของสถานศึกษา และมีส่วนร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม ในการสร้างองค์การเรียนรู้โดยเฉพาะการเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนและดำเนินการของสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาต้องส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการของโครงการพัฒนาสถานศึกษาอย่างเต็มความสามารถทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยการสนับสนุนทั้งในด้านงบประมาณ ทรัพยากร การให้ความสำคัญและกำลังใจแก่บุคลากรในสถานศึกษา และที่ขาดไม่ได้คือ การเป็นต้นแบบหรือตัวแบบเพื่อการเทียบเคียง (Benchmarking) ที่ดีให้แก่บุคลากรในสถานศึกษา เพื่อให้บุคลากรในสถานศึกษามองเห็นภาพที่เป็นรูปธรรม และกล้าที่จะปฏิบัติตาม อันจะนำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารสถานศึกษาสไตล์ “Benchmarking” ต่อไป
อ้างอิง
บุญดี บุญญากิจ และกมลวรรณ ศิริพานิช. (๒๕๔๕). Benchmarking ทางลัดสู่ความเป็น
เลิศทางธุรกิจ. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ: อินโนกราฟฟิกส์.
พจน์ พจนพาณิชย์กุล. (๒๕๔๘). เอกสารบรรยายสรุปวิชาการจัดการ. ปราจีนบุรี:
ม.ป.ท.
พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ. (๒๕๔๔). วัดรอยเท้าช้าง (พิมพ์ครั้งที่ ๔). กรุงเทพฯ: ศรีเมือง
การพิมพ์.
สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม. (๒๕๕๓). องค์ความรู้ในการ
ประกอบธุรกิจ : Benchmarking. ค้นเมื่อ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓,
จาก http://www.ismed.or.th/SME/
ความแตกต่างอีกประการหนึ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์
ความแตกต่างอีกประการหนึ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
4 พ.ย. 2556
“มนุษย์เมื่อมีผู้ครอบครองเราเรียกผู้นั้นว่า “คู่ครอง” แต่สำหรับสัตว์เมื่อมีผู้ครอบครองเราเรียกผู้นั้นว่า “เจ้าของ” และมีเพียงสัตว์เท่านั้นที่ผู้ครอบครองสามารถส่งมอบความเป็นเจ้าของไป-มาระหว่างกันได้ แต่สำหรับมนุษย์แล้ว “คู่ครอง” คือ การมีชีวิตเป็นคู่และคอยประคับประครองระหว่างกันตลอดไป โดยไม่สามารถส่งมอบความเป็นเจ้าของระหว่างกันไป-มาได้ เพราะมันคือ สิ่งที่เรียกว่า “จิตวิญญาณ” ของความเป็นมนุษย์นั่นเอง”
กลเม็ดเคล็ดลับกับ ดร.พจน์ "การกระตุ้นยอดจำหน่ายบัตรเติมเงิน"
การกระตุ้นยอดจำหน่ายบัตรเติมเงิน my
เมื่อลูกค้าเข้ามาซื้อบัตรเติมเงิน หรือเปิดเบอร์ใหม่และทำการเติมเงินเพื่อใช้งาน Data พนักงาน กสท ที่ให้บริการ ควรกล่าวเชิญชวนให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจเพิ่มในการซื้อบัตร อาทิเช่น
: เพื่อความสะดวกของลูกค้าเติมเงินทีเดียว 6 รอบการใช้งานเลยนะครับ
: ลูกค้าใช้งานเดือนละ 99 บาทมาแล้ว เดือนนี้ทดลองแบบเดือนละ 215 บาท เลยนะครับ
: ลูกค้ามีหลายเบอร์เติมเงินพร้อมสมัครเน็ตพร้อมกันทุกเบอร์เลยนะครับ จะได้จำง่ายว่าอินเตอร์เน็ตหมดวันเดียวกัน
: ซื้อบัตรเติมเงินติดไปเก็บไว้สัก 200 บาท นะครับ เผื่อคนที่บ้านต้องการเติมเงิน
: ซื้อเพิ่มเป็น 2,000 บาทเลยนะครับ ช่วงนี้มีแถมของชำร่วย
เคล็ดลับ.....ข้อห้ามสำคัญในการเจรจา
ห้ามถามว่า “ดีไหม” “เอาไหม” “ได้ไหม” “อย่างไหนดี” เพราะจะทำให้ลูกค้าเกิดความคิดที่เป็นเงื่อนไขในการตัดสินใจ แต่ควรใช้คำพูดที่ช่วยให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจ ดังเช่น 4 ประโยคข้างต้น
“เกษียณไปไม่จน”
“เกษียณไปไม่จน”
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านจงทำกิจของตนและกิจของผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ผู้อ่านหลายท่านเมื่อเห็นชื่อบทความคงคิดเหมือนกันว่า เป็นเรื่องของการเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณอายุ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วเรื่องดังกล่าวที่กำลังจะพูดถึงนี้เป็นการให้คำแนะนำสำหรับทุกท่านโดยเฉพาะคนที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือแม้แต่บุคคลวัยหนุ่มสาวก็สามารถนำไปเป็นแนวทางเพื่อการวางแผนอนาคตได้เช่นกัน หากจะกล่าวไปแล้วคงไม่มีใครอยากเกษียณอายุไปพร้อมกับความยากจนหรือปัญหารายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ทุกคนต้องการความร่ำรวย ต้องการทรัพย์สินเงินทองโดยเฉพาะเมื่ออายุถึงวัยเกษียณ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวซึ่งจะว่าไปแล้วนั่นคือ ความประมาทในการใช้ชีวิตนั่นเอง จะเห็นได้ว่า แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงประทานปัจฉิมโอวาทก่อนเสด็จปรินิพพานไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านจงทำกิจของตนและกิจของผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด” ดังนั้นเพื่อการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและมีชีวิตที่ไม่ต้องประสบกับปัญหาทางการเงิน ผู้เขียนขอแนะนำแนวทางในการเตรียมความพร้อมและการวางแผนการเงินสำหรับชีวิตและครอบครัวเพื่ออนาคต โดยยึดหลักการง่าย ๆ คือ การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย และเพิ่มการออม ด้วยแนวทางต่อไปนี้
1. การสร้างรายได้
รายได้นั้นยิ่งได้รับมาก ยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งดี นอกจากรายได้ประจำที่ได้รับตามปกติแล้วควรหาทางในการสร้างรายได้เพิ่ม แต่ทั้งนี้ต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับงานประจำจนเสียหาย แนวทางในการสร้างรายได้คือ ต้องไม่เสี่ยงมากเกินไป ไม่เป็นการผิดกฎหมาย ได้รับผลตอบแทนที่ชัดเจนแน่นอน อาทิเช่น
การหาอาชีพเสริมพิเศษ ตามความถนัดหรือใช้ความสามารถพิเศษในการสร้างรายได้เพิ่มบางคนมีความสามารถในทางกีฬาและการออกกำลังกาย ก็สามารถสร้างรายได้ด้วยการเป็นครูฝึกสอนการออกกำลังกายในศูนย์ฟิตเนส หรือการสมัครเป็นครูสอนวายน้ำ สำหรับท่านที่มีความรู้ทางวิชาการก็สามารถสมัครเป็นอาจารย์สอนพิเศษตามสถาบันการศึกษาในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เป็นต้น
การลงทุนเพื่อสร้างรายได้ การลงทุนเพื่อเป็นการสร้างรายได้เพิ่มนั้นสามารถทำได้หลายช่องทางซึ่งหลักการทางการเงินสำหรับการลงทุนมีไว้ว่า “การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ย่อมได้รับผลตอบแทนสูง การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ย่อมได้รับผลตอบแทนต่ำ” สำหรับการลงทุนที่ผู้เขียนจะขอแนะนำได้แก่
การลงทุนด้วยการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินแบบมีกำหนดระยะเวลา ซึ่งจะมีการให้อัตราดอกเบี้ยคงที่ทำให้ผู้ลงทุนสามารถคำนวณรายได้เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนได้ล่วงหน้า ยกตัวอย่างตั๋วสัญญาใช้เงินระยะเวลา 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ราคาฉบับละ 10,000 บาท นั่นหมายถึง ถ้าซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินไว้จำนวน 10 ฉบับ เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท เมื่อครบกำหนด 1 ปี จะได้รับเงินคืน 104,000 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่ระยะเวลาเท่ากัน
การลงทุนด้วยการซื้อสลากออมสิน หรือสลากออมทรัพย์ทวีสิน ซึ่งเป็นทั้งการลงทุนและการออม ที่ถือว่าเป็นการลงทุนเพราะสามารถก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นได้หากผู้ซื้อถูกรางวัล ในขณะเดียวกันก็เป็นการออมเพราะเงินที่ลงทุนไม่เสี่ยงต่อการขาดทุน และมีการได้รับผลตอบแทนเพิ่มที่ชัดเจนเมื่อสลากครบกำหนด
การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ทั้งระยะสั้นและยาวซึ่งออกโดยกระทรวง การคลังและบริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อครบกำหนดรัฐบาลจะจ่ายผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยให้กับผู้ถือพันธบัตร ตามอัตราและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพันธบัตร ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงเพราะมีรัฐบาลเป็นประกันและรับรู้รายได้ที่แน่นอนเมื่อครบกำหนดระยะเวลา
จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นแนวทางการเพิ่มรายได้ให้แก่ทุกท่านได้เพิ่มขึ้นจากรายได้ประจำ และการเพิ่มขึ้นของรายได้นี้จะเป็นส่วนที่เราสามารถนำไปเก็บเป็นเงินออมไว้สำหรับอนาคตได้ (หากมีรายได้เข้ามาทุกสัปดาห์อนาคตวันข้างหน้าคงไม่จนอย่างแน่นอน)
2. การลดรายจ่าย
การลดรายจ่าย สามารถทำได้ด้วยการประหยัดให้ได้มากที่สุด และหลีกเลี่ยงการใช้เงินที่ไม่จำเป็น ต้องแยกให้ออกระหว่าง "ความจำเป็น" กับ "อยากได้" เพราะของทุกอย่างล้วนมีระดับความจำเป็นไม่เท่ากัน ถ้าซื้อของเพียงแค่เพราะอยากได้ก็จะเป็นการฟุ่มเฟือยเงินในกระเป๋าก็จะหายไป พยายามใช้จ่ายไปกับสิ่งของที่จำเป็นสำหรับชีวิตและเลือกจ่ายให้ฉลาด เช่น เลือกซื้อจากร้านที่ถูกที่สุดเพื่อที่จะได้ประหยัด ซื้อเมื่อมีการลดราคาหรือเลือกใช้คูปองส่วนลดเพื่อประหยัดการใช้จ่าย และเลือกที่จะเสียเงินให้กับสิ่งที่สามารถใช้งานได้ตลอดชีวิต เช่น บ้าน ที่ดิน และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่จำเป็นเท่าที่ควร เช่น การใช้จ่ายเพื่องานเลี้ยงสังสรรค์ การซื้อรถยนต์คันใหม่ หรือโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ทั้งที่ของเดิมยังสามารถใช้งานได้ดี การซื้อของผ่อนโดยไม่จำเป็นจะก่อให้เกิดภาระหนี้สินและรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากดอกเบี้ยการผ่อนชำระ สำหรับท่านที่ชอบดื่มสุราหรือของมึนเมา ถ้าสามารถลดการดื่มและนำเงินค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปซื้อสลากออมสินหรือสลากทวีสินเพียงแค่เดือนละ 500 บาท เมื่อถึงสิ้นปีท่านจะมีเงินเพิ่มถึง 6,000 บาท
กรณีท่านที่มีบัตรเครดิตควรนำค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสาธารณูปโภคที่เป็นการจ่ายประจำมาทำการหักผ่านบัตรเครดิต เนื่องจากสามารถนำคะแนนสะสมจากการใช้บัตรมาเปลี่ยนเป็นคูปองเงินสดเพื่อใช้ชำระค่าสินค้าในห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์ค้าส่ง-ค้าปลีกได้ เป็นการสร้างผลประโยชน์เพิ่มจากการชำระเงินค่าสาธารณูปโภค
การลดรายจ่ายนั้นทำได้ไม่ยากหากยึดหลักการดำเนินชีวิตตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงตรัสแก่ประชาชนคนไทย เป็นสิ่งที่ทุกคนควรอย่างยิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
3. การออมเงินสร้างความมั่นคงและมั่งคั่ง
เงินออม เป็นเงินรายได้ที่เหลือจากการใช้จ่ายแล้วนำมาเก็บสะสมเพื่อการใช้จ่ายในอนาคต เงินออมจะเกิดขึ้นเมื่อเงินรายได้สูงขึ้นเพียงพอต่อการใช้จ่าย ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินออม ซึ่งถ้าบุคคลมีรายได้เพิ่มขึ้นเงินออมก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การออมเงินถือเป็นการสร้างหลักประกันให้แก่ชีวิตตนเองและครอบครัวในอนาคต ดังนั้นการสร้างนิสัยในการเก็บออมเงินเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน
แนวทางในการออมเงิน
ออมทุกวัน ด้วยวิธีการซื้อกระปุกออมสินมาวางไว้ในบ้านหรือที่ทำงาน เช่น โต๊ะทำงาน ข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ หน้าทีวี บนหัวเตียง เลือกเอาที่ใดที่หนึ่งที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเพื่อเป็นการฝึกนิสัยการออม โดยหยอดออมสินทุกครั้งที่มีเงินเหลือ
ฝากธนาคาร การออมเงินโดยการฝากไว้กับธนาคารถือเป็นวิธีการออมที่ง่ายที่สุดสำหรับทุกคน โดยการแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งไปฝากไว้กับธนาคารและได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงที่สุดคือ การฝากประจำ การฝากธนาคารถ้าทำทุกวันหรือทุกเดือนนานวันเข้าดอกเบี้ยที่ทบต้นจะทำให้กลายเป็นเงินฝากก้อนโต
การถือหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ การออมเงินด้วยการเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์นั้น จะออมผ่านการถือหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์และได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผลปลายปี โดยปกติจะอยู่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 ต่อปี ซึ่งผู้ที่มีความประสงค์ที่จะออมเงินด้วยวิธีการนี้จำเป็นต้องใช้ความรอบครอบในการศึกษาข้อมูลด้านฐานะทางการเงินของสหกรณ์โดยดูจากผลประกอบการ และความมั่นคงของสหกรณ์ที่ตนจะเข้าเป็นสมาชิก การออมด้วยวิธีการนี้ผู้เขียนขอแนะนำสำหรับท่านที่เป็นข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากความมั่นคงของสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจจะมีสูงกว่าสหกรณ์ออมทรัพย์อื่น ๆ
ซื้อประกันชีวิต การซื้อประกันชีวิตถือเป็นการออมเงินระยะยาว และยังเป็นการประกันความเสี่ยงหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ผลประโยชน์ตามกรมธรรม์จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทั้งปวง การที่หัวหน้าครอบครัวได้ทำประกันชีวิตไว้ก็เท่ากับว่าได้สำรองเงินก้อนใหญ่ตามภาระผูกพันกับบริษัทประกันชีวิตเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แสดงถึงความรับผิดชอบและหลักประกันอันมั่นคงต่อครอบครัวอันเป็นที่รัก และการออมด้วยวิธีการนี้ยังสามารถนำเงินออมที่เรียกว่า “เบี้ยประกันชีวิต” ไปใช้ในการลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีได้อีกด้วย
4. บัตรเครดิตใช้ได้ต้องไม่สร้างหนี้
บัตรเครดิตหรือเครดิตการ์ด นั้นหลายท่านคงได้เห็นคำแนะนำ/ข้อเสนอแนะเพื่อการออมว่าไม่ควรมีหรือใช้เครดิตการ์ด แต่สำหรับผู้เขียนแล้วเห็นว่า สำหรับการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันในปัจจุบันนั้นจะเห็นได้ว่า ห้างสรรพสินค้า ศูนย์ค้าส่ง-ค้าปลีกหลายแห่งมีการให้ส่วนลดพิเศษสำหรับการซื้อด้วยบัตรเครดิต หรืออาจมีการให้คะแนนสะสมเพื่อการแลกซื้อหรือรับคูปองส่วนลด ดังนั้นหากเป็นการใช้บัตรเครดิตเพื่อรับส่วนลดหรือสิทธิพิเศษย่อมสามารถทำได้ และก่อให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่งด้วย แต่เมื่อถึงกำหนดวันครบชำระต้องทำการชำระทันทีโดยไม่ทิ้งให้เป็นภาระหนี้สิ้น เนื่องจากดอกเบี้ยที่เกิดจากการผิดนัดชำระของบัตรเครดิตมีอัตราสูงเป็นการก่อให้เกิดรายจ่ายโดยไม่จำเป็น
ผู้เขียนเชื่อว่าหากผู้อ่านทุกท่านสามารถทำได้ดังที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้าสู่วัยเกษียณท่านก็จะมีเงินมากมาย ไว้เพื่อเลี้ยงดูตัวเองได้โดยไม่เป็นภาระให้กับลูกหลานหรือญาติพี่น้องคนไหน ๆ และสามารถใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณได้อย่างมีความสุข แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นไม่ว่าท่านจะมีเงินทองมากมายเพียงใดก็ตามหากขาดซึ่งสุขภาพที่แข็งแรงแล้วชีวิตของท่านอาจไม่มีโอกาสได้พบกับวันเกษียณอายุอย่างที่ท่านรอคอยก็เป็นได้.....สวัสดีครับ.....
บทความโดย ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล เมื่อ 27 มกราคม 2557
แนวคิดทางการตลาดกับการสอบสัมภาษณ์
แนวคิดทางการตลาดกับการสอบสัมภาษณ์
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
28 กรกฎาคม 2561
“หากเราสามารถนำเสนอสมรรถนะของตนเองได้อย่างชัดเจน และสามารถเทียบได้กับความคุ้มค่าของอัตราค่าจ้าง ย่อมเป็นที่ต้องการของนายจ้างในการรับเข้าทำงาน”
ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานไม่ว่าหน่วยงานหรือองค์กรใดก็ตาม วิธีการหนึ่งที่นำมาใช้ในการคัดเลือกคือ “การสัมภาษณ์” ถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะผ่านกระบวนการในการทดสอบองค์ความรู้ในภาคทฤษฎีและปฏิบัติมาแล้วก็ตาม ในบางหน่วยงานหรือบางองค์กรโดยเฉพาะองค์กรธุรกิจ อาจเลือกใช้วิธีการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานด้วยวิธีการสัมภาษณ์เพียงอย่างเดียว การสัมภาษณ์สามารถใช้ในการทดสอบองค์ความรู้ของผู้สมัครงานหรือผู้เข้ารับการสอบสัมภาษณ์แล้ว ยังทำให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับผู้สมัครได้มากขึ้น ซึ่งเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับคุณลักษณะในด้านอารมณ์ ทัศนคติ ความคิดเห็น บุคลิกภาพและรสนิยมของผู้สมัคร ซึ่งผู้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางการบริหารหรือเป็นผู้ที่มีหน้าที่ในการบริหารบุคคล และมักใช้การสัมภาษณ์ในการทดสอบวุฒิภาวะทางอารมณ์ของผู้ตอบคำถามด้วย ดังนั้นการเตรียมตัวเพื่อการสอบสัมภาษณ์จะช่วยให้ผู้สมัครมีความพร้อมในการตอบคำถามและมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
การสมัครงานนั้นหากเปรียบเทียบว่าเป็นการขายสินค้า ตัวสินค้าที่จะขายให้บรรลุผลสำเร็จก็คือ ตัวผู้สมัครงาน ซึ่งผู้ซื้อก็คือ กรรมการสอบสัมภาษณ์ ดังนั้นการนำเสนอสินค้า (ผู้สมัครงาน) ที่โดนใจผู้ซื้อ (กรรมการ) สามารถทำให้กรรมการสอบหรือผู้ซื้อเห็นความสำคัญและคุณลักษณะพิเศษของสินค้าได้มากเท่าใดยิ่งเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อมากยิ่งขึ้น เมื่อเราเปรียบเทียบการสมัครงานเป็นการขายสินค้าดังนั้นการนำแนวคิดทางการตลาดมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้ ซึ่งผู้เขียนเองก็ยังไม่เคยเห็นใครพูดถึงวิธีการนี้มาก่อน แต่การเริ่มต้นในสิ่งที่ผู้อื่นยังไม่เคยทำก็มิใช่สิ่งผิดอีกทั้งผู้เขียนเองก็เคยกล่าวไว้ว่า “บุคคลใดก็ตามที่เดินตามทางที่ผู้อื่นแผ้วถางไว้ให้ ไม่มีวันที่จะเดินนำหน้าได้เลย”
แนวคิดทางการตลาดที่นำมาประยุกต์ใช้ในการเตรียมตัวเพื่อการสอบสัมภาษณ์งานนั้นก็คือ แนวคิดที่เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่เรียกว่า “ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix : 4P’s)” ซึ่งเป็นแนวคิดทางการตลาดที่นักการตลาดนำมาใช้ในการสร้างรายได้และยอดขายให้แก่สินค้าและบริการ และผู้เขียนเองก็จะนำมาใช้ในการแนะนำให้แก่ผู้สมัครงานได้นำไปใช้ในการเตรียมตัวเพื่อการสอบสัมภาษณ์งาน อันประกอบด้วยตัวสินค้า/บริการ ราคา สถานที่จัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด โดยมีรูปแบบและวิธีการในการประยุกต์ใช้ดังนี้
1. ตัวสินค้าหรือบริการ คือ สิ่งที่ผู้ขายนำเสนอต่อผู้ซื้อเพื่อสนองตอบต่อความต้องการ (Want) หรือเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ซื้อเกิดความรู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องซื้อ (Need) อีกทั้งสินค้าต้องมีคุณสมบัติเป็นที่ต้องการ มีประโยชน์ใช้สอยได้ตามโฆษณา ซึ่งสินค้าหรือบริการก็จะหมายถึง “ตัวผู้สมัครงานนั่นเอง”
หากผู้สมัครงานเป็นเพียงสิ่งที่จะเข้ามาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ซื้อ ผู้ซื้ออาจลดความต้องการจนเกิดความรู้สึกว่าหากไม่ได้สิ่งนี้มาก็ไม่ได้ทำให้เสียหายอะไร แต่ถ้าผู้สมัครงานเป็นสิ่งของที่มีความจำเป็นต่อผู้ซื้อ ก็จะทำให้ผู้ซื้อขวนขวายที่จะได้มาไว้ในครอบครองให้ได้ ดังนั้นในการสมัครงานและการสัมภาษณ์งานผู้สมัครจะต้องแสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นความสำคัญหรือคุณลักษณะที่โดดเด่นของตนเองให้มากที่สุด อีกทั้งต้องเป็นคุณลักษณะที่ตรงตามที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น การแนะนำตัวเองของผู้สมัครเกี่ยวกับความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และความสามารถพิเศษ รวมถึงทักษะความชำนาญพิเศษที่ผู้สมัครมี โดยเฉพาะความสามารถและทักษะความชำนาญพิเศษ ควรเป็นเรื่องที่มันมีความพิเศษกว่าคนอื่นจริง ๆ หรือเป็นสิ่งที่น้อยคนนักที่จะทำได้ เพราะสิ่งนี้จะเป็นปัจจัยในการทำให้ผู้สมัครได้รับการพิจารณาค่าตอบแทนที่สูงกว่าปกติทั่วไป เหมือนเช่นตัวสินค้าที่โดดเด่นย่อมมีราคาสูงกว่าสินค้าปกติทั่วไปนั่นเอง
2. ราคา คือ มูลค่าที่คิดเป็นเงินเพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าหรือบริการ ในการตัดสินใจจ่ายเพื่อให้ได้สินค้านั้น ผู้ซื้อจะต้องพิจารณาจากความเหมาะสมและความคุ้มค่าของสินค้าเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่จ่ายออกไป
หากพิจารณาในมุมมองของการสมัครงาน ราคาจะหมายถึง เงินเดือนหรือค่าตอบแทนการจ้างที่นายจ้างหรือผู้รับสมัครงานยินดีจ่ายตอบแทนให้แก่ผู้สมัครงาน ดังนั้นการในสัมภาษณ์งานมักมีการสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจในเงินเดือนหรือค่าจ้างที่จะได้รับหรือมีการถามคำถามเกี่ยวกับอัตราเงินเดือนที่ต้องการ ซึ่งผู้สมัครจำเป็นจะต้องแจ้งอัตราเงินเดือนที่มีความเหมาะสมกับคุณลักษณะส่วนบุคคลของตนเอง โดยพิจารณาจากความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนางานหรือนำพาให้งานบรรลุเป้าหมายได้อย่างประหยัดทั้งทรัพยากรและเวลา ดังนั้นผู้สมัครควรแจ้งอัตราเงินเดือนที่ต้องการโดยไม่ให้สูงเกินไปจนเป็นเสมือนสินค้าที่มีราคาแพง หรือต่ำเกินไปจนดูเหมือนเป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ การแจ้งอัตราเงินเดือนที่เหมาะสมเปรียบเสมือนการตั้งราคาสินค้าที่มีความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับประโยชน์ใช้สอยของสินค้าที่ผู้ซื้อได้รับโดยเฉพาะความสามารถและทักษะความชำนาญพิเศษ หากผู้สัมภาษณ์มองเห็นถึงความคุ้มค่าของอัตราเงินเดือนที่ต้องจ่ายเมื่อเทียบกับความสามารถเฉพาะตำแหน่งงานที่ได้รับจากผู้สมัคร ย่อมทำให้ผู้สมัครได้รับการพิจารณาในการคัดเลือกให้บรรจุเข้าทำงาน ในอัตราเงินเดือนที่ต้องการ
3. สถานที่จัดจำหน่าย เป็นความสะดวกสบายในการเข้าถึงตัวสินค้า สถานที่ติดต่อ และความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
สำหรับการสมัครเข้าทำงานก็เช่นกันการที่ผู้รับสมัครมีความต้องการรับสมัครพนักงานเข้าทำงานก็จะต้องเริ่มจากความสะดวกในการสรรหาและคัดเลือก รวมไปถึงช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้รับสมัครกับตัวผู้สมัครงาน ในปัจจุบันมีช่องทางการติดต่อสื่อสารมากมายและมีความสะดวกมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะการใช้ช่องทางการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งการให้ข้อมูลช่องทางการติดต่อที่มีความทันสมัยจะเป็นการบ่งบอกถึงการก้าวทันเทคโนโลยีของตัวผู้สมัครงานเอง และนอกจากความสะดวกในการติดต่อสื่อสารแล้วในเรื่องของความสะดวกในการเดินทางมาทำงานก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้สัมภาษณ์จะต้องสอบถาม เพราะหากผู้สมัครมีสถานที่พักใกล้กับสถานที่ทำงานย่อมส่งต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการเดินทาง และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้สัมภาษณ์นำมาใช้ในการการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน
4. การส่งเสริมทางการตลาด เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ในการจูงใจผู้ซื้อให้เกิดการตัดสินใจ และยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึกของผู้ซื้อให้คล้อยตามแผนการตลาดที่ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายต้องการ อันจะได้แก่ การลด แลก แจก แถม หรืออรรถประโยชน์ส่วนเพิ่มที่ผู้ขายจัดให้เมื่อมีการซื้อสินค้านั่นเอง
สำหรับการพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครเข้าทำงานก็เช่นกัน ผู้สัมภาษณ์ นายจ้างหรือผู้รับสมัครย่อมมีความต้องการที่จะได้พนักงานหรือลูกจ้างที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างคุ้มค่ากับอัตราค่าจ้างที่ได้จ่ายไป และย่อมเป็นการคาดหวังของนายจ้างหรือผู้รับสมัครที่ต้องการให้พนักงานหรือลูกจ้างที่รับเข้าทำงานสามารถปฏิบัติหน้าที่หลักตามที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติงานอื่นที่นอกเหนือจากหน้าที่หลักเพิ่มเติม ซึ่งหากพิจารณาในทางการตลาดถือว่าเป็นกำไรที่ได้รับเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการที่ผู้สมัครสามารถนำเสนอรายละเอียดของศักยภาพหรือความสามารถพิเศษของตนให้ปรากฎเด่นชัดจนเป็นที่ต้องการของผู้รับสมัครได้มากกว่าผู้สมัครรายอื่น ย่อมเป็นการมอบส่วนลดและของแถมที่มีความโดดเด่นเป็นที่น่าสนใจนั่นเอง
การสมัครงานไม่ใช่เรื่องยากหากแต่การทำให้ตนเองผ่านกระบวนการในการคัดเลือก เพื่อเข้าสู่การรับเข้าทำงานเป็นสิ่งที่ยากกว่า “แต่หากเราสามารถนำเสนอสมรรถนะของตนเองได้อย่างชัดเจน และสามารถเทียบได้กับความคุ้มค่าของอัตราค่าจ้าง ย่อมเป็นที่ต้องการของนายจ้างในการรับเข้าทำงาน” ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของการเริ่มชีวิตการทำงานเท่านั้น ก้าวต่อไปคือ การปฏิบัติงานในหน้าที่เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย จนไปถึงการพัฒนาตนเองไปสู่ความก้าวหน้าในชีวิตการทำงานในอนาคตและการดำรงอยู่อย่างมั่นคงและปลอดภัยตลอดชีวิตการทำงาน.....
3 นาที กับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตอนที่ 1
3 นาที กับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตอนที่ 1
(Eastern Economic Corridor : EEC)
พจน์ พจนพาณิชย์กุล
เมื่อ 9 พฤษภาคม 2560
“ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก” (Eastern Economic Corridor : EEC) หมายถึง พื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออกประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายเพื่อการพัฒนาให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจชั้นนำของเอเชีย ที่จะสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของประชาชน ทั้งนี้เนื่องจากมีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ประกอบด้วย ท่าเรือพาณิชย์ ท่าเรืออุตสาหกรรม ทางพิเศษระหว่างเมือง รถไฟทางคู่ สนามบิน และแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก
ดังนั้นคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2559 และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการดำเนิน โครงการและงบประมาณเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ภายใต้หลักการของความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) ในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2560 - 2564) โดยมีแนวทางการพัฒนา 5 แนวทาง ดังนี้
1. พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ พร้อมกับเร่งรัดการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ โดยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมใช้เทคโนโลยีระดับสูงร่วมกับการวิจัยและพัฒนา เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ บริหารจัดการกากอุตสาหกรรม พัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศ สนับสนุนการพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิตเชื่อมโยง กำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ส่งเสริมให้ภาคประชาชนสถาบันการศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการติดตามเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตลอดจนจัดตั้งกองทุนของภาคอุตสาหกรรมเพื่อดูแลชุมชน
2. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจที่มีศักยภาพรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและเชื่อมโยงสู่ตลาดโลก เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น โดยขยายขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทุกรูปแบบให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย ได้มาตรฐานสากล และบูรณาการเชื่อมโยงกันทั้งระบบ ทั้งท่าอากาศยาน 3 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา และการขนส่งทางบก ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นและเชื่อมโยงสู่พื้นที่โดยรอบและตลาดโลก
3. พัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ โครงสร้างพื้นฐานและบริการทางสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ได้มาตรฐาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน สร้างสมดุลของการพัฒนา และกระจายผลประโยชน์สู่ชุมชน โดยพัฒนาระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ โครงข่ายน้ำ (น้ำดิบ น้าประปา) ระบบไฟฟ้า เทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดการสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะขยะ น้ำเสีย ให้มีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนและแผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560-2564) ยกระดับบริการสาธารณสุขทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ตลอดจนส่งเสริมการเชื่อมโยงภาคเศรษฐกิจหลักกับเศรษฐกิจชุมชนในทุกภาคการผลิต ทั้งในภาคอุตสาหกรรมบริการ การท่องเที่ยว และธุรกิจเพื่อสังคม
4. พัฒนาสภาพแวดล้อมเมืองสำคัญของจังหวัดให้เป็นเมืองน่าอยู่ เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีสมดุล โดยให้ความสำคัญต่อการเพิ่มพื้นที่สีเขียวการดูแลความปลอดภัยของประชาชน การจัดทำผังเมืองและการบังคับใช้ การสร้างสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น การพัฒนาประสิทธิภาพเทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อมโยงในพื้นที่ การให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการวางแผนการพัฒนาเมือง รวมถึงการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการพัฒนา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง อาทิ
จังหวัดฉะเชิงเทรา : พัฒนาเป็นเมืองที่อยู่อาศัยชั้นดีที่ทันสมัยรองรับการขยายตัวของกรุงเทพฯ และ EEC
พัทยา : พัฒนาเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ สุขภาพและนันทนาการศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงสินค้านานาชาติชั้นนาของอาเซียน เมืองนวัตกรรมการท่องเที่ยว เมืองท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีชีวิตชีวา และศูนย์การให้บริการด้านการแพทย์ระดับนานานาชาติ (Medical Tourism)
อู่ตะเภา : พัฒนาเป็นศูนย์ธุรกิจการบินและโลจิสติกส์อาเซียน
ระยอง : พัฒนาเป็นเมืองแห่งการศึกษาและวิทยาศาสตร์ เมืองนานาชาติที่มีธุรกิจทันสมัย
5. ให้สิทธิประโยชน์และการอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรม เป้าหมาย ทั้งในด้านภาษี การจัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเป้าหมาย การอำนวยความสะดวกในการอนุมัติ อนุญาต และการจัดตั้งเขตการค้าเสรี เป็นต้น
ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) คือ การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ขยายตัวอย่างน้อยร้อยละ 5 ต่อปี เกิดการจ้างงานใหม่ไม่น้อยกว่า 100,000 อัตราต่อปี จำนวนนักท่องเที่ยวในพื้นที่เพิ่มขึ้น 10 ล้านคนต่อปี ลดต้นทุนโลจิสติกส์ 400,000 ล้านบาทต่อปี ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้รับบริการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และบริการสาธารณสุขที่เพียงพอและทั่วถึง
แหล่งที่มาของข้อมูล :
ปรเมธี วิมลศิริ. การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. 10 ตุลาคม 2559.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560-2564). 2559
3 นาที กับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตอนที่ 2
3 นาที กับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตอนที่ 2
(Eastern Economic Corridor : EEC)
พจน์ พจนพาณิชย์กุล
เมื่อ 10 พฤษภาคม 2560
การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก เป็นการพัฒนาบนพื้นที่ที่ต่อยอดมาจากการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard Development Program : ESB) ทำให้การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นการต่อยอดจากการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม ที่ได้มีการดำเนินการมาแล้วกว่า 30 ปี โครงการ Eastern Seaboard เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจของภาคตะวันออก และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อให้เกิดการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เกิดอุตสาหกรรมใหม่ ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม อาทิ ท่าเรือแหลมฉบัง Motorway ระบบขนส่งทางราง ดังนั้นโครงการ Eastern Seaboard จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรม ตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำให้เป็นกลุ่มโรงงานปิโตรเคมีและพลังงานที่มาบตาพุดแห่งแรก เช่น โรงกลั่นและแยกก๊าซ พลาสติกและเคมี จนถึงอุตสาหกรรมปลายน้ำอย่างครบวงจร เป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมส่งออกแห่งแรก เช่น Textile, Electronic, Automobiles เป็นต้น
การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ไม่ได้เกิดขึ้น ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน เป็นการเชื่อมโยงแบบบูรณาการ การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย การพัฒนาเมืองและชุมชนในพื้นที่ การสนับสนุนด้วยการพัฒนายกระดับระบบขนส่งคมนาคมทั้งในและนอกประเทศที่มีประสิทธิภาพสูง การใช้ Smart technology (นวัตกรรม-เทคโนโลยี) ควบคู่การพัฒนาคนไทยให้เป็นคนคุณภาพ (Smart People) และการใช้นโยบายอุตสาหกรรมของประเทศขับเคลื่อนด้วย New Technology มุ่งเน้นการยกระดับและสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อนวัตกรรมและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงขึ้น เนื่องจากทั้ง 3 จังหวัดเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และมีศักยภาพสูงในการส่งเสริมให้เป็นฐานการผลิต 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) รวมทั้งเป็นการต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) และการพัฒนา 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve)
ระยะเวลาดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ระยะ ในช่วง 15 ปี ได้แก่
· ระยะสั้น (พ.ศ. 2559-2560) เป็นการเร่งรัดโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมที่อยู่ระหว่างดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย เช่น ก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์ (พัทยา-มาบตาพุด) ก่อสร้างรถไฟทางคู่ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย พัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) และศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง ขยายช่องจราจรทางเข้าแหลมฉบังและปรับปรุงขยายถนนสายหลัก ปรับปรุงระบบส่งและสถานีไฟฟ้า เพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำ ก่อสร้างระบบผันน้ำ ปรับปรุงขยายประปา ระบบระบายน้ำ การจัดการขยะ เพิ่มศักยภาพการให้บริการสาธารณสุข รวมทั้งเร่งรัดศึกษาความเหมาะสมและหรือจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการลงทุนที่สำคัญ เช่น สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 และท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ เป็นต้น
· ระยะกลาง (พ.ศ. 2561-2563) ครอบคลุมการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 รถไฟความเร็วสูง (กรุงเทพฯ-ระยอง) รถไฟรางเบาพัทยา ท่าเรือเฟอร์รี่เชื่อมชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในสนามบินอู่ตะเภา ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ก่อสร้างขยายถนนเชื่อมโยง/ทางเลี่ยงเมือง ระบบท่อส่งน้ำ/ผันน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสีย และวางผังเมืองรวมชุมชน โดยมีรูปแบบการลงทุนทั้งภาครัฐและให้เอกชนร่วมลงทุน
· ระยะยาว (พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป) ครอบคลุมการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 ระบบรางและระบบน้ำ เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งระบบไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
องค์ประกอบการขับเคลื่อนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
1. คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ
2. คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานกรรมการ
3. สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในสำนักงาน
แหล่งที่มาของข้อมูล :
กระทรวงอุตสาหกรรม. เอกสารสัมมนา “Eastern Economic Corridor Development Project” Driving Forward 15th February 2017.
ปรเมธี วิมลศิริ. การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. 10 ตุลาคม 2559.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560-2564). 2559
3 นาที กับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตอนที่ 3
3 นาที กับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตอนที่ 3
(Eastern Economic Corridor : EEC)
พจน์ พจนพาณิชย์กุล
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2560
เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) หรือเมืองนวัตกรรมในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก คือ การสร้างพื้นที่ที่มีระบบนิเวศนวัตกรรมอย่างสมบูรณ์แบบ หรือเป็นเมืองนวัตกรรม (Innovation City) ที่เป็นต้นแบบของการพัฒนางานวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในลักษณะองค์รวม ที่เน้นการบูรณาการการทำงานร่วมกันตามแนวทางประชารัฐ เพื่อสนับสนุนการสร้างเศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันเพื่อก่อเกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการรวมศูนย์ห้องปฏิบัติการและสนามทดสอบนวัตกรรม (Fabrication Laboratory & Test-bed Sandbox) ศูนย์รับรองมาตรฐานนวัตกรรมทางด้านระบบและอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยจัดตั้งเป็นเขตทดสอบนวัตกรรมอัจฉริยะของประเทศ ที่ผ่อนปรนกฎระเบียบที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ตลอดจนการเป็นชุมชนการจ้างงานผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีระดับสูงของทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต
โดยมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) ระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานพันธมิตรจากภาคเอกชน สถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ รวม 50 หน่วยงาน (เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560)
เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกมี 2 แห่ง คือ (1) วังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ 3,000 ไร่ เป็นที่ตั้งของ ARIPOLIS ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ ระบบอัจฉริยะและ BIOPOLIS อุตสาหกรรมชีวภาพ (2) พื้นที่อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (Space Krenovation Park : SKP) ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 120 ไร่ มุ่งเน้นอุตสาหกรรรมการบินและอวกาศ (Aerospace)
เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) มีวัตถุประสงค์หลักในการดำเนินงานดังนี้
1. วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะของไทย เพื่อถ่ายทอดให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมายในระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ให้ผู้ประกอบการสามารถใช้เครื่องจักร อุปกรณ์ และระบบอัตโนมัติในราคาที่เหมาะสม และสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรรมในพื้นที่ ตลอดจนสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมอากาศยาน
2. เชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมของไทยกับระบบการค้าของโลกผ่านการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะตลอดห่วงโซ่อุปทาน (End-to-End Intelligent Supply Chain) เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศและส่งเสริมให้ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ
3. ส่งเสริมให้เกิดวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ทางด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะและนวัตกรรมเพื่อเป็นพื้นฐานรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ อุตสาหกรรมในระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก และอุตสาหกรรมทั่วประเทศในอนาคต
4. เชื่อมโยงเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศกับต่างประเทศ เพื่อสร้างสังคมนวัตกรรมของประเทศรองรับความต้องการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ในลักษณะบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา และภาครัฐ โดยพิจารณาในมิติของการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ การวิจัยพัฒนานวัตกรรมขั้นสูง และความชัดเจนต่อเนื่องของนโยบายและมาตรการส่งเสริม (Triple Helix) และขยายผลต่อยอดไปสู่การมีส่วนร่วมของประชาชน (Quadruple Helix)
5. ขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวสู่ประเทศนวัตกรรม (Innovation Thailand) ด้วยการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมที่สมบูรณ์ให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่มีความเข้มข้นของงานวิจัยและพัฒนา ห้องปฏิบัติการวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน ห้องทดลองภาคสนาม (Living Lab) ศูนย์ทดสอบชั้นนำ ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
แหล่งที่มาของข้อมูล :
กระทรวงอุตสาหกรรม. เอกสารสัมมนา “Eastern Economic Corridor Development Project” Driving Forward 15th February 2017.
ปรเมธี วิมลศิริ. การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. 10 ตุลาคม 2559.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560-2564). 2559
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ. (2560). ข่าวประชุม สัมมนา. ค้นเมื่อ 18 พฤษภาคม 2560, จาก http://www.sti.or.th
“ความเพียร” เป็นความพยายามในการประกอบกิจของตนให้ประสบผลสำเร็จเป็นการปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นต่อเนื่องไม่ย่อท้อ บุคคลหากมีความเพียรพยายามย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ แต่ผลของความสำเร็จเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากกรรมหรือการกระทำ ดังนั้นกรรมจึงเป็นตัวกำหนดผลของความเพียรนั้น
“ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล..... ๒๗ กันยายน ๒๕๖๑”
“ในการเข้าสอบก็เหมือนการแข่งขันการประกอบอาหาร ที่ผู้แข่งขันจะไม่รู้มาก่อนว่ากรรมการจะให้ประกอบอาหารอะไร ดังนั้นผู้เข้าแข่งขันจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการประกอบการอาหาร เครื่องครัว เครื่องปรุงและวิธีการปรุงรส ของอาหารทุกประเภท เพื่อที่เมื่อกรรมการสั่งให้ประกอบอาหารก็จะสามารถทำได้ทันที ส่วนชัยชนะนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินของกรรมการ ผู้เข้าแข่งขันถือว่าได้ทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์แล้ว”
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล (เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2560)
"คำแนะนำเพื่อการสอบเข้าทำงานที่มอบให้แก่นักศึกษา ปี 2560"
“ความสำเร็จมิใช่ว่าจะต้องเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้มีการลงมือกระทำหรือการปฏิบัติทุกครั้งไป เพราะการปฏิบัติมีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ ซึ่งเราก็ต้องใช้ความพยายามและต้องมีการปฏิบัติซ้ำบ่อย ๆ เพื่อให้เกิดเป็นความชำนาญแล้วความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ มากกว่าความไม่สำเร็จ (ล้มเหลว) ดังนั้นความพยายามจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความสำเร็จ....”
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล ... ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒
"ยุติธรรมไม่ใช่เพียงแค่การมอบความเสมอภาค และความเท่าเทียมแต่เพียงภายนอกเท่านั้น หากแต่เป็นการมอบความเสมอภาคและความเท่าเทียมภายในจิตใจด้วย"
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล ..... 5 สิงหาคม 2561
การเลือกในแต่ละครั้งสุดท้ายใจของเราคือ ผู้เลือก
“เมื่อเกิดคำถามในใจว่าเราควรเลือกสิ่งใด หรือเลือกว่าจะทำตามวิธีไหน ทางเลือกไหนควรจะดีที่สุดเหมาะสมที่สุด และเมื่อเราไม่สามารถตัดสินใจเองได้เพราะเหตุผลใดก็ตาม เราก็จะหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การเสี่ยงทาย หมอดู หรือแม้แต่ความน่าจะเป็นเพื่อเลือก แต่ในความเป็นจริงแล้วหัวใจของเราเองต่างหากที่เป็นผู้เลือก เพียงแต่เรากำลังหาเหตุผลในการสนับสนุนการตัดสินใจของใจเราเท่านั้นเอง”
พจน์ พจนพาณิชย์กุล ... 26 กรกฎาคม 2561
พี่น้องคือ กัลยาณมิตรใกล้ตัวที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เกิด หากเราไม่สามารถพูดคุย ปรึกษาหารือ หรือให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ วันข้างหน้าอย่าหวังว่าคนอื่นที่เข้ามาในชีวิตของเราจะมาเป็นมิตรแท้ให้แก่เราได้ พูดคุยกับพี่น้องไม่ต้องใช้ความอดทนแต่ใช้หัวใจ กับคนอื่น ๆ หลาย ๆ ครั้งเรายังต้องอดทนกับคำพูด หรือการกระทำของคนอื่นทั้งที่เราไม่ชอบได้ พี่น้องเหมือนแขนขา ลูกเมียเหมือนเสื้อผ้า มิตรสหายเป็นเพียงของใช้ ของใช้ไม่พอใจซื้อใหม่ เสื้อผ้าขาดยังพอเย็บได้ แขนขาขาดไม่อาจต่อได้และคนเราจะอยู่อย่างยากลำบากหากขาดแขน-ขา (พี่-น้อง) ไม่มีอะไรแค่พ่ออยากจะสอนเท่านั้น ถ้าไม่มีพ่อก็ยังมีพี่-น้อง ที่ต้องคอยช่วยเหลือกัน
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล ..... วันที่ 11 มกราคม 2562
เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติ
“การเข้าใจธรรมชาติมิได้หมายถึง การเข้าใจในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเพียงเท่านั้น แต่เป็นการเข้าใจในธรรมชาติของทุกสิ่ง เมื่อเข้าใจในธรรมชาติของทุกสิ่งว่าเป็นเช่นนี้ อย่างนี้แล้ว เราก็จะไม่ทุกข์ เพราะเรารู้จักธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ ของคน ๆ นั้น เมื่อเข้าใจและปล่อยวางอย่างรู้ทัน เราก็จะมีความสุข”
พจน์ พจนพาณิชย์กุล ... 3 พฤศจิกายน 2561
การเตรียมความพร้อมของผู้สมัครรับเลือกตั้ง
สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบล
การเตรียมความพร้อมของผู้สมัครรับเลือกตั้ง
สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบล
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
ผู้ตรวจการเลือกตั้งจังหวัดนครนายก
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564
เมื่อใกล้เวลาที่จะมีการเลือกตั้งไม่ว่าในระดับใดหรือแม้แต่เมื่อใกล้ถึงกำหนดการครบวาระการดำรงตำแหน่งของนักการเมืองในทุกระดับไม่ว่าในระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่น เช่น สภาผู้แทนราษฎร หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง อบจ. กทม. เมืองพัทยา เทศบาล หรือ อบต. บุคคลผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองย่อมต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อการสมัครรับเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น สำหรับการเมืองในระดับประเทศของเรานั้นผ่านการเลือกตั้งไปเป็นที่เรียบร้อย ในขณะที่การเมืองระดับท้องถิ่นของเรายังคงเหลือการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบล หรือที่เรียกกันว่า “เลือกตั้ง อบต.” นั่นเอง
สำหรับการเตรียมความพร้อมของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบล นั้นควรจะมีการเตรียมในเรื่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้
1. การเตรียมพร้อมด้านความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ที่จำเป็น
2. การจัดเตรียมเอกสารในการสมัคร และข้อมูลที่ใช้ในการสมัคร
3. การแนะนำตัวและการหาเสียงเลือกตั้ง
1. การเตรียมพร้อมด้านความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ที่จำเป็น
ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ ที่สำคัญประกอบด้วย
(1) พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒
(2) ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒
(3) ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วย วิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๓
(4) ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ประเภทของค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2563
(5) พระราชบัญญัติ สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.๒๕๓๗ (รวมทั้งฉบับแก้ไข)
(6) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับผู้สมัครที่มีความประสงค์ที่จะทำการหาเสียงเลือกตั้งด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะต้องให้ความสำคัญและระมัดระวังมิให้เป็นการกระทำที่ผิดหรือขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อันจะนำไปสู่การร้องเรียนจากผู้สมัครที่เป็นคู่แข่งขันได้
การมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย พรบ. ระเบียบ ข้อบังคับ ช่วยทำให้ผู้สมัคร ฯ สามารถวางแผนการได้ตั้งแต่การสมัครไปจนถึงการหาเสียงเลือกตั้งและภายหลังจากจบการเลือกตั้ง ว่าจะต้องดำเนินอะไรบ้าง อย่างไร
2. การจัดเตรียมเอกสารในการสมัครและข้อมูลที่ใช้ในการสมัคร
การจัดเตรียมเอกสารในการสมัครและข้อมูลที่ใช้ในการสมัคร ประกอบด้วย
• รูปถ่าย (จำนวนตามระบุในประกาศรับสมัคร)
• บัตรประจำตัวประชาชน พร้อมถ่ายสำเนา
• สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมถ่ายสำเนา
• ใบรับรองแพทย์
• หลักฐานแสดงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี หรือหนังสือยืนยันการไม่ได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ส.ถ./ผ.ถ. 4/2) กรณีเป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้
• หลักฐานอื่น ๆ
• เอกสารเปลี่ยนชื่อตัว – ชื่อสกุล
• อกสารการลาออกจากราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ
• หลักฐานการศึกษา โดยเฉพาะผู้ที่สมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล
• หนังสือรับรองเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือสมาชิกรัฐสภา สำหรับผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า และมีความประสงค์ที่จะสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล
คำแนะนำสำหรับรูปถ่ายที่ใช้ในการสมัคร
1. เป็นรูปถ่ายปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย จำได้
2. เสื้อผ้า / ชุดที่สวมใส่มีความเหมาะสมกับบุคลิกส่วนตัว
3. กรณีไม่มีเครื่องแต่งกายหรือชุดเสื้อผ้าเอง สามารถใช้บริการแต่งรูปภาพจากร้านถ่ายรูปได้
4. เครื่องแบบของทางราชการต้องศึกษาระเบียบ ข้อบังคับเรื่องการประดับเครื่องหมาย หรือเครื่องแต่งกายให้ชัดเจนว่าสามารถทำได้หรือไม่
5. พึงระลึกเสมอว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง”
3. การแนะนำตัวและการหาเสียงเลือกตั้ง
• การแนะนำตัว เป็นการบอกกล่าวหรือให้ข้อมูลที่มีลักษณะเป็นการประชาสัมพันธ์เพื่อบอกให้รู้เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว นโยบาย ความต้องการที่จะทำงานเพื่อชุมชนของผู้ที่มีความประสงค์สมัครรับเลือกตั้งไปยังสมาชิกในชุมชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้มีความประสงค์สมัครรับเลือกตั้งสามารถกระทำได้ก่อนการประกาศให้มีการเลือกตั้ง
• การหาเสียงเลือกตั้ง เป็นการแสวงหาคะแนนนิยมจากประชาชนหรือสมาชิกจากชุมชน เพื่อให้ลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่นแล้วแต่กรณี ผ่านสื่อกลาง ช่องทาง วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการที่อยู่ภายใต้กฎหมายเลือกตั้ง สำหรับการหาเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่มีประกาศให้มีการเลือกตั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ทั้งหมดนี้เป็นการเตรียมความพร้อมของผู้ที่ต้องการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการรับเลือกตั้งควรมีการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า สวัสดีครับ.....
ป้ายและประกาศหาเสียงเลือกตั้ง “ติดตั้งอย่างไรไม่ถูกร้องเรียน ไม่ต้องรื้อ ไม่ต้องแก้ไข ถูกใจคนตรวจ”
ป้ายและประกาศหาเสียงเลือกตั้ง
“ติดตั้งอย่างไรไม่ถูกร้องเรียน ไม่ต้องรื้อ ไม่ต้องแก้ไข ถูกใจคนตรวจ”
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
ผู้ตรวจการเลือกตั้งจังหวัดนครนายก
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
ป้ายและประกาศหาเสียงเลือกตั้ง “ติดตั้งอย่างไรไม่ถูกร้องเรียน ไม่ต้องรื้อ ไม่ต้องแก้ไข ถูกใจคนตรวจ” คงต้องเรียกว่าเป็นเคล็ดลับหรือเทคนิคในการปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้ง สำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งกันเลยนะครับ ที่ต้องเรียกกันแบบนี้เพราะว่า หลังจากที่ผู้สมัครทุกท่านได้ชม ได้ฟังและนำไปทำตามจะช่วยทำให้ท่านลดปัญหาเรื่องการถูกร้องเรียนจากการปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้ง ทำให้ท่านมีเวลาที่จะไปคิดในเรื่องของการหาเสียงหรือการแนะนำตัวแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้มากขึ้น .... เรามาดูกันนะครับเริ่มจาก
(๑) ประกาศหาเสียงเลือกตั้ง ต้องมีขนาดความกว้างไม่เกิน ๓๐ เซนติเมตร และมีขนาดความยาวไม่เกิน ๔๒ เซนติเมตร
(๒) แผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้ง ต้องมีขนาดความกว้างไม่เกิน ๑๓๐ เซนติเมตร และมีขนาดความยาวไม่เกิน ๒๔๕ เซนติเมตร
(๓) จำนวนประกาศหาเสียงเลือกตั้งที่สามารถทำได้ในการหาเสียงเลือกตั้ง จัดทำได้ไม่เกินห้าเท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้ง ยกเว้นการเลือกตั้งเทศบาลนคร กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา จัดทำได้ไม่เกิน 10 เท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้ง
(๔) จำนวนแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งที่สามารถทำได้ในการหาเสียงเลือกตั้งจัดทำได้ไม่เกินสามเท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้ง ยกเว้นการเลือกตั้งเทศบาลนคร กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา จัดทำได้ไม่เกินห้าเท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้ง
(๕) ข้อมูลหรือรายละเอียดที่สามารถมีได้ในประกาศเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง และแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง คือ ชื่อ รูปถ่าย หมายเลขประจำตัวของผู้สมัคร ชื่อของพรรคการเมือง สัญลักษณ์ของพรรคการเมือง (ต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลหรือพรรคการเมืองนั้น) สัญลักษณ์ นโยบายของผู้สมัคร คติพจน์ คำขวัญ ข้อมูลประวัติเฉพาะที่เกี่ยวกับตัวผู้สมัคร พร้อมระบุชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ของผู้ว่าจ้าง ผู้ผลิต จำนวน และวันเดือนปีที่ผลิตไว้บริเวณที่เห็นได้ชัดเจน
(๖) ข้อความที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งบนประกาศหรือแผ่นป้ายต้องเป็นคำสุภาพ โดยไม่ใช้ถ้อยคำที่รุนแรงหรือปลุกระดมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้น
(๗) สถานที่ในการปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้ง การปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครสามารถกระทำได้เฉพาะสถานที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น ถ้าเป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นผู้ประกาศกำหนดสถานที่ปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง
(๘) สถานที่ในการปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายหาเสียง บางแห่งจะต้องมีการขออนุญาตก่อนเข้าดำเนินการ
(๙) สถานที่ต้องห้ามในการติดป้ายหาเสียงเลือกตั้ง ได้แก่ วงเวียน อนุสาวรีย์ สะพาน สะพานลอย สะพานลอยคนเดินข้าม เกาะกลางถนน สวนหย่อม ส่วนสาธารณะ ต้นไม้ ซึ่งอยู่ในที่สาธารณะ
(๑๐) ทรัพย์สินของทางราชการที่ไม่สามารถนำมาใช้ในการปิดประกาศหรือติดป้ายหาเสียงเลือกตั้ง ได้แก่ เสาไฟฟ้า เสาโทรศัพท์ ตู้ไปรษณีย์ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจร กำแพงหรือรั้วของหน่วยงานราชการหรือสถานศึกษา
(๑๑) เมื่อได้รับแจ้งว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการปิดประกาศหรือติดป้ายหาเสียงเลือกตั้งให้เร่งดำเนินการแก้ไขในทันที
(๑๒) การติดป้ายหาเสียงเลือกตั้งบนถนนทางหลวงระหว่างเมืองหรือถนนทางหลวงชนบท ไม่สามารถกระทำได้ตลอดเส้นทางถนน แต่จะมีการอนุญาตให้ติดตั้งได้เฉพาะบางช่วง บางตอน ของถนนระหว่างหลักกิโลเมตรเริ่มต้นถึงกิโลเมตรสิ้นสุดเท่านั้น
(๑๓) ร้านขายข้าวแกง ร้านก๋วยเตี๋ยวและอาหารตามสั่ง มิใช่สถานที่ปิดประกาศหรือติดป้ายหาเสียงเลือกตั้ง ควรระมัดระวังด้วยความหวังดีของญาติ และเพื่อนสนิทอาจนำมาซึ่งข้อร้องเรียน
(๑๔) พึงระลึกไว้เสมอว่า “ไม่ว่าการดำเนินการในการปิดประกาศหรือติดป้ายหาเสียงเลือกตั้งจะกระทำโดยผู้รับจ้างหรือบุคคลอื่นใดที่ท่านมอบหมายไปก็ตาม” แต่ความรับผิดชอบทั้งหมดยังคงเป็นของท่าน ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้นความผิดในกฎหมายเลือกตั้ง หรือความผิดทางแพ่งและอาญา ท่านจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบนั่นเอง
การปิดประกาศเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งและติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สมัครจะต้องปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่น ดังนั้นผู้สมัครควรทำการศึกษาข้อมูลในระเบียบดังกล่าว ประกอบกับข้อบัญญัติทางกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนและเข้าใจเพื่อเป็นการป้องกันการกระทำความผิดโดยความไม่รู้หรือศึกษาข้อมูลมาไม่เพียงพอ
สำหรับท่านผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ต้องการหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง และกฎ ระเบียบ ประกาศเกี่ยวกับการเลือกตั้งสามารถติดตามได้ในช่องยูทูป “พจน์ พจนพาณิชย์กุล” ของผมได้นะครับ ขอขอบคุณทุกท่านครับ สวัสดีครับ
“ผู้ตรวจการเลือกตั้ง คือใคร”
“ผู้ตรวจการเลือกตั้ง คือใคร”
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
วันที่ 14 เมษายน 2562
“ผู้ตรวจการเลือกตั้ง” คือ ผู้ได้รับการคัดเลือกและแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง ตามมาตรา ๒๘ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งกำหนดให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือการเลือกสมาชิกวุฒิสภาแต่ละครั้ง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีผู้ตรวจการเลือกตั้งซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งขึ้น เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละจังหวัดในระหว่างเวลาที่มีการดำเนินการเลือกตั้ง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการเลือกตั้ง และการกระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง หรือการกระทำใดที่จะเป็นเหตุทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แล้วรายงานให้คณะกรรมการหรือกรรมการทราบเพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
คุณสมบัติของผู้ตรวจการเลือกตั้ง
(๑) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปี แต่ไม่เกินเจ็ดสิบปี นับถึงวันสมัคร
(๓) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน นับถึงวันสมัคร
(๔) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
(๕) มีความเป็นกลางทางการเมือง
(๖) มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีความประพฤติเสื่อมเสีย
(๗) มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลักษณะต้องห้ามของผู้ตรวจการเลือกตั้ง
(๑) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ
(๒) เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง หรือกรรมการหรือที่ปรึกษาของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
(๓) เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดในเวลาห้าปีที่ผ่านมาก่อนการแต่งตั้ง
(๔) ติดยาเสพติดให้โทษ
(๕) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
(๖) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ
(๗) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
(๘) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่
(๙) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
(๑๐) อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิ
สมัครรับเลือกตั้ง
(๑๑) ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
(๑๒) เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันสมัคร เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(๑๓) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ
(๑๔) เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษให้จำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(๑๕) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในความผิดฐานฟอกเงิน
(๑๖) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง
(๑๗) เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(๑๘) เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงยังไม่เกินสองปี
(๑๙) เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
(๒๐) อยู่ระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
(๒๑) เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ หรือมาตรา ๒๓๕ วรรคสามของรัฐธรรมนูญ
(๒๒) มีบุพการี คู่สมรส หรือบุตรเป็นหรือสมัครรับเลือกตั้งหรือรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(๒๓) เคยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด แต่ได้ลาออกหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติให้พ้นจากตำแหน่ง
ผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด
“ผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด” หมายถึง ผู้ตรวจการเลือกตั้งที่ได้รับคำสั่งแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดและกรุงเทพมหานคร โดยมีจังหวัดละไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินแปดคนดังต่อไปนี้
(๑) จังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งไม่เกินห้าเขตเลือกตั้ง ให้มีผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดห้าคน
(๒) จังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งหกถึงแปดเขตเลือกตั้ง ให้มีผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดหกคน
(๓) จังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งเก้าถึงสิบเอ็ดเขตเลือกตั้ง ให้มีผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดเจ็ดคน
(๔) จังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งตั้งแต่สิบสองเขตเลือกตั้งขึ้นไป ให้มีผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดแปดคน
หน้าที่และการปฏิบัติงาน
ผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดมีหน้าที่และอำนาจในจังหวัดที่ได้รับการแต่งตั้ง ดังต่อไปนี้
(๑) ตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และมีอำนาจแจ้งเตือนให้ปฏิบัติให้ถูกต้องได้ ถ้าไม่มีการดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องให้รายงานให้คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกรรมการการเลือกตั้งทราบโดยเร็ว
(๒) ตรวจสอบการกระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง หรือการกระทำใดที่จะเป็นเหตุทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
(๓) เข้าไปในที่เลือกตั้ง หรือสถานที่นับคะแนนเลือกตั้ง
(๔) ปฏิบัติงานอื่นตามระเบียบ คำสั่ง ประกาศ และมติของคณะกรรมการการเลือกตั้งและตามที่ได้รับมอบหมาย
ระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่
ผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดมีระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งแต่งตั้ง ซึ่งต้องไม่ช้ากว่าสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งหรือการเลือกมีผลใช้บังคับ แต่ต้องไม่เร็วกว่าสามสิบวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งมีผลใช้บังคับจนถึงวันประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมดหรือวันประกาศผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา แล้วแต่กรณี
ในจังหวัดที่มีความจำเป็นจะต้องมีผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดเนื่องจากการเลือกตั้งยังไม่เสร็จสิ้น คณะกรรมการการเลือกตั้งอาจมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่งได้อีกไม่เกินหกสิบวัน
ผู้ตรวจการเลือกตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออกโดยยื่นหนังสือลาออกต่อประธานกรรมการการเลือกตั้งหรือกรรมการการเลือกตั้งที่ได้รับมอบหมาย
(๓) คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำ จังหวัดผู้ใดขาดความสุจริต ขาดความเที่ยงธรรมมีความประพฤติเสื่อมเสีย ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม หรือขาดประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ละทิ้งหน้าที่ หรือไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ หรือกระทำการขัดต่อระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมีหน้าที่สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด ทั้งนี้การสนับสนุนและการอำนวยความสะดวกดังกล่าวจะต้องไม่กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจหลักของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจัดให้มีการประชุมผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด เพื่อชี้แจงข้อมูลที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดก่อนการปฏิบัติหน้าที่
การประเมินผลการปฏิบัติงาน
เมื่อผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง หรือหลายคณะตามความเหมาะสม หรืออาจมอบหมายให้สถาบันการศึกษาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นสมควร เพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด และรายงานผลประเมินให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาต่อไป หลักเกณฑ์และวิธีการในการประเมินให้เสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนดำเนินการประเมิน
ให้สำนักผู้ตรวจการเป็นส่วนงานรับผิดชอบการประเมินผลกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดผู้ใดไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานให้คัดชื่อผู้นั้นออกจากบัญชีรายชื่อผู้ตรวจการเลือกตั้ง
อ้างอิง
“พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๐” (๑๓ กันยายน ๒๕๖๐). ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๙๓ ก, น. ๑ - ๓๑.
“ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยผู้ตรวจการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๑” (๒๖ เมษายน ๒๕๖๑). ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๒๙ ก, น. ๓๔ - ๔๘.
สิ่งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถทำได้ในการหาเสียงเลือกตั้ง
และข้อห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
สิ่งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถทำได้ในการหาเสียงเลือกตั้ง
และข้อห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
ผู้ตรวจการเลือกตั้งจังหวัดนครนายก
วันที่ 23 ตุลาคม 2565
สิ่งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)สามารถทำได้ในการหาเสียงเลือกตั้ง
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำ สถานที่ปิดประกาศเกี่ยวกับการเลือกตั้งและสถานที่ติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
1. ผู้สมัครสามารถหาเสียงเลือกตั้งด้วยการปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ (มาตรา ๘๓) โดย
1.1 จัดทำประกาศเกี่ยวกับการเลือกตั้งมีจำนวนรวมกันแล้วไม่เกิน 10 เท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น โดยกำหนดเป็นแนวตั้ง มีขนาดความกว้างไม่เกิน 30 เซนติเมตรและมีขนาดความสูงไม่เกิน 42 เซนติเมตร (กระดาษขนาด เอ3) พร้อมระบุชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ของผู้ว่าจ้าง ผู้ผลิต จำนวน และวันเดือนปีที่ผลิตไว้บริเวณที่เห็นได้ชัดเจน
1.2 จัดทำแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง จำนวนไม่เกิน 2 เท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น มีขนาดความกว้างไม่เกิน 130 เซนติเมตร และมีขนาดความยาวไม่เกิน 245 เซนติเมตร พร้อมระบุ ชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ของผู้ว่าจ้าง ผู้ผลิต จำนวน และวันเดือนปีที่ผลิตไว้บริเวณที่เห็นได้ชัดเจน
1.3 กรณีที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองสามารถปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยวิธีการจัดทำ ขนาด จำนวน และสถานที่ ให้ถือปฏิบัติตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งและผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดประกาศกำหนดในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด (ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๕)
2. แจกเอกสารหรือวีดิทัศน์เกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งในเขตชุมชน สถานที่ต่าง ๆ หรืองานพิธีการต่างๆ โดยเอกสารหรือวีดิทัศน์เกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งสามารถระบุชื่อ รูปถ่าย หมายเลขประจำของตัวผู้สมัคร ชื่อของพรรคการเมือง สัญลักษณ์ของพรรคการเมือง นโยบายของพรรคการเมือง คติพจน์ คำขวัญ หรือข้อมูลประวัติเฉพาะที่เกี่ยวกับตัวผู้สมัครหรือพรรคการเมือง พร้อมระบุชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ของผู้ว่าจ้าง ผู้ผลิต จำนวน และวันเดือนปีที่ผลิตไว้อย่างชัดเจนที่ด้านหน้าของเอกสารหรือวีดิทัศน์ด้วย และสามารถนำภาพของผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคการเมือง และสมาชิกพรรคการเมืองลงโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งได้เท่านั้น
3. ใช้พาหนะต่าง ๆ ในการหาเสียงเลือกตั้ง หรือจัดสถานที่หรือเวทีเพื่อโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งได้ ทั้งนี้ ให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองแจ้งรายละเอียดให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทราบภายในสิบวันหลังจากปิดรับสมัครรับเลือกตั้งตามแบบที่กำหนดท้ายระเบียบ
4. สามารถใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อช่วยในการหาเสียงเลือกตั้งได้
5. สามารถปิดประกาศการโฆษณาหรือติดแผ่นป้ายการโฆษณาที่ยานพาหนะในการหาเสียงเลือกตั้ง สถานที่หรือเวทีเพื่อโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองได้ ซึ่งกรณีนี้ไม่อยู่ภายใต้บังคับของประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำ สถานที่ปิดประกาศเกี่ยวกับการเลือกตั้งและสถานที่ติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเฉพาะเรื่องขนาด จำนวน สถานที่ และบุคคลที่ปรากฏในประกาศหรือแผ่นป้าย
โดยประกาศการโฆษณาหรือแผ่นป้ายการโฆษณา สามารถระบุชื่อ รูปถ่าย หมายเลขประจำของตัวผู้สมัคร ชื่อของพรรคการเมือง สัญลักษณ์ของพรรคการเมือง นโยบายของพรรคการเมือง คติพจน์ คำขวัญ หรือข้อมูลประวัติเฉพาะที่เกี่ยวกับตัวผู้สมัครหรือพรรคการเมือง พร้อมระบุชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ของผู้ว่าจ้าง ผู้ผลิต จำนวน และวันเดือนปีที่ผลิตไว้อย่างชัดเจนที่ด้านหน้าของประกาศการโฆษณาหรือแผ่นป้ายการโฆษณาด้วย และสามารถนำภาพของผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคการเมือง และสมาชิกพรรคการเมืองลงโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งได้เท่านั้น
การปิดประกาศการโฆษณาหรือติดแผ่นป้ายการโฆษณาที่ยานพาหนะที่ใช้ในการรับจ้างทั่วไป สถานที่หรือเวทีเพื่อโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ให้ถือเป็นการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งและนับรวมค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองนั้นด้วย
6. สามารถหาเสียงเลือกตั้งผ่านจดหมาย สื่อสิ่งพิมพ์ ถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้
7. สามารถหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้ผู้สมัครแจ้งวิธีการ รายละเอียด ช่องทาง ระยะเวลาในการหาเสียงเลือกตั้งทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องตามแบบที่กำหนด ให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทราบตั้งแต่วันสมัครรับเลือกตั้งเป็นต้นไปหรือก่อนดำเนินการหาเสียงเลือกตั้งทางอิเล็กทรอนิกส์
8. สามารถจัดทำเอกสารที่มีการกากบาทในช่องลงคะแนนเลือกตั้งให้กับตนเองเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเองได้ แต่การจัดทำเอกสารดังกล่าวต้องไม่มีขนาดลักษณะหรือสีที่คล้ายกับบัตรเลือกตั้ง
9. สามารถจัดให้มีผู้ช่วยหาเสียง เพื่อช่วยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้งได้ โดยผู้สมัครที่ประสงค์จะมีผู้ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้ง ต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ช่วยหาเสียง หน้าที่และค่าตอบแทนผู้ช่วยหาเสียง รวมทั้งหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทราบก่อนวันดำเนินการ ซึ่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งสามารถมีผู้ช่วยหาเสียงในเขตเลือกตั้งจำนวนไม่เกินยี่สิบคนต่อเขตเลือกตั้ง และสามารถแจ้งเปลี่ยนตัวผู้ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งได้ไม่เกินสามครั้ง ครั้งละไม่เกินหนึ่งในสามของจำนวนผู้ช่วยหาเสียง
โดยผู้สมัครสามารถจัดหาเสื้อผ้า สิ่งของ เลี้ยงอาหารหรือเครื่องดื่มสำหรับผู้ช่วยหาเสียงได้ และให้ผู้สมัครต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ช่วยหาเสียงที่ได้ช่วยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้งตามอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ในกรณีผู้สมัครหรือพรรคการเมืองไม่แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ช่วยหาเสียง หน้าที่และค่าตอบแทนผู้ช่วยหาเสียง จะดำเนินการหาเสียงเลือกตั้งด้วยวิธีการนี้มิได้
สรุปข้อห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำ สถานที่ปิดประกาศเกี่ยวกับการเลือกตั้งและสถานที่ติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
1. ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ (มาตรา ๖๙)
2. ห้ามมิให้ผู้ใดหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดนับตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวันจนสิ้นสุดวันเลือกตั้ง (มาตรา ๗๐)
3. ห้ามทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน (โพล : Poll) โดยมีเจตนาไม่สุจริต มีลักษณะเป็นการชี้นำหรือมีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะแนนเลือกหรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด (มาตรา ๗๒)
4. ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ (มาตรา ๗๓)
4.๑ จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
4.๒ ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
4.๓ ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ ยกเว้นผู้สมัครที่ใช้ความรู้ความสามารถทางศิลปะของตน หาเสียงให้แก่ตนเองโดยไม่ใช้อุปกรณ์ในการแสดงมหรสพ
4.4 เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
4.5 หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
5. การหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครและพรรคการเมือง ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับแนวทางที่กำหนดเป็นนโยบายของพรรคการเมือง (มาตรา ๗๔)
6. ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิได้มีสัญชาติไทยเข้ามีส่วนช่วยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้ง หรือกระทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งโดยประการที่เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ทั้งนี้ เว้นแต่การกระทำนั้นเป็นการช่วยราชการหรือเป็นการประกอบอาชีพตามปกติโดยสุจริตของผู้นั้น (มาตรา ๗๗)
7. ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายกระทำการใด ๆ เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง (มาตรา ๗๘) ข้อนี้นำมาแจ้งไว้สำหรับกรณีที่ผู้สมัครมีญาติหรือบุคคลในครอบครัวเป็นข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
8. ห้ามมิให้ผู้ใดทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการใดไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง นับตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวันจนสิ้นสุดวันเลือกตั้ง (มาตรา ๗๙)
9. ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง (ข้อ ๑๗)
10. ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดหาเสียงเลือกตั้งในลักษณะ ดังต่อไปนี้ (ข้อ ๑๘)
10.1 ผู้ประกอบอาชีพหรือเป็นเจ้าของกิจการเกี่ยวกับรายการทางวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์สื่อมวลชน สื่อโฆษณา เช่น นักแสดง นักร้อง นักดนตรี พิธีกร สื่อมวลชน เป็นต้น ใช้ความสามารถหรือวิชาชีพดังกล่าว เพื่อเอื้อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งแก่ผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมือง ยกเว้นผู้สมัครที่ใช้ความรู้ความสามารถทางศิลปะของตน หาเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเองโดยไม่ใช้อุปกรณ์ในการแสดง
10.2 แจกจ่ายเอกสารเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการวาง หรือโปรยในที่สาธารณะ
10.3 หาเสียงเลือกตั้งโดยใช้ถ้อยคำที่รุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย หรือปลุกระดม
10.4 ช่วยเหลือเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ให้แก่ผู้ใดตามประเพณีต่าง ๆ
10.5 จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
11. ผู้สมัครและพรรคการเมืองจะต้องไม่ติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งทับซ้อนหรือปิดบังแผ่นป้ายเกี่ยวกับเลือกตั้งของผู้สมัครอื่นหรือพรรคการเมืองอื่น หรือติดแผ่นป้ายนอกบริเวณที่กำหนด (ประกาศ ฯ ข้อ 8)
12. ในกรณีบุคคลใดซึ่งมิใช่ผู้ช่วยหาเสียงของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองเข้าช่วยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแจ้งเหตุการณ์นั้น ให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทราบโดยเร็ว (ข้อ ๑๖)
ข้อห้ามสำหรับผู้สมัครและพรรคการเมือง
1. ห้ามมิให้ผู้ใดหรือพรรคการเมืองใดเรียกหรือรับทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดเพื่อลงสมัครหรือส่งผู้สมัคร หรือไม่ลงสมัครหรือไม่ส่งผู้สมัครอันก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้สมัครอื่นหรือพรรคการเมืองอื่นในการเลือกตั้ง และทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม (มาตรา ๗๕)
2. ห้ามมิให้ผู้สมัครผู้ใดจัดยานพาหนะนำผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปยังที่เลือกตั้งหรือนำกลับไปจากที่เลือกตั้ง หรือจัดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปหรือกลับเพื่อการออกเสียงลงคะแนน โดยไม่ต้องเสียค่าโดยสารยานพาหนะหรือค่าจ้างซึ่งต้องเสียตามปกติ (มาตรา ๗๖)
ทั้งหมดนี้ก็คือ สรุปแนวทางการปฏิบัติและข้อห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรการมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย พรบ. ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศต่าง ๆ จะช่วยทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถวางแผนการได้ตั้งแต่การสมัครไปจนถึงการหาเสียงเลือกตั้งและภายหลังจากจบการเลือกตั้ง ว่าจะต้องดำเนินอะไรบ้าง อย่างไร เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกกฎหมายและไม่เกิดข้อร้องเรียนจากผู้สมัครหรือพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งขัน ซึ่งกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศที่สำคัญ ประกอบด้วย
(1) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
(2) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
(3) ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
(4) ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
(5) ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
(6) ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2565
(7) ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำ สถานที่ปิดประกาศเกี่ยวกับการเลือกตั้งและสถานที่ติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
(8) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับผู้สมัครที่มีความประสงค์ที่จะทำการหาเสียงเลือกตั้งด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะต้องให้ความสำคัญและระมัดระวังมิให้เป็นการกระทำที่ผิดหรือขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อันจะนำไปสู่การร้องเรียนจากผู้สมัครที่เป็นคู่แข่งขันได้
ลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ดร.พจน์ พจนพาณิชย์กุล
ความรู้เกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง ในวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเรื่อง ลักษณะต้องห้ามหรือข้อห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดกันนะครับ ในการหาเสียงเลือกตั้งนั้นผู้สมัครสามารถทำการหาเสียงเลือกตั้งได้หลากหลายวิธีการและรูปแบบ มีทั้งการหาเสียงด้วยป้ายและประกาศ หรือการใช้รถแห่ การปราศรัยหาเสียง หรือแม้แต่การหาเสียงผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ที่มีมากมายหลายรูปแบบ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ในการหาเสียงเลือกตั้งนั้นสิ่งหนึ่งที่ผู้สมัครไม่สามารถมองข้ามไปได้เลยคือ เรื่องของลักษณะต้องห้ามหรือข้อห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง
ซึ่งลักษณะต้องห้ามหรือข้อห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด นั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่งเป็นข้อห้ามที่มิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการตามมาตรา ๖๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กับส่วนที่สองเป็นลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ตามหมวด ๕ ข้อ ๒๒ และข้อ ๒๓ ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีรายละเอียดดังนี้
ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๖๕ วรรคหนึ่งห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ด้วยวิธีการ ดังต่อไปนี้
(๑) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
(๒) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัดหรือศาสนสถานอื่น สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
(๓) ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ
(๔) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
(๕) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนิยมของผู้สมัครใด
และสำหรับลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หมวด ๕ ข้อ ๒๒ ห้ามผู้สมัครดำเนินการ หรือยินยอมให้พรรคการเมืองหรือผู้ใดดำเนินการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง
ข้อ ๒๓ ห้ามผู้สมัครหาเสียงเลือกตั้ง หรือยินยอมให้พรรคการเมืองหรือผู้ใดหาเสียงเลือกตั้ง ในลักษณะ ดังต่อไปนี้
(๑) แจกจ่ายเอกสารเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการวาง หรือโปรยในที่สาธารณะ
(๒) แจกเอกสารหรือวีดิทัศน์เกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งที่มิได้มีการระบุชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ของผู้ว่าจ้าง ผู้ผลิต จำนวน และวันเดือนปีที่ผลิตไว้อย่างชัดเจน
(๓) ใช้พาหนะต่าง ๆ ในการหาเสียงเลือกตั้ง หรือจัดสถานที่หรือเวทีเพื่อโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ที่มิได้แจ้งรายละเอียดให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทราบตามแบบที่กำหนดท้ายระเบียบ
(๔) หาเสียงเลือกตั้งโดยใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หรือปลุกระดมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในพื้นที่
(๕) ช่วยเหลือเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ให้แก่ผู้ใดตามปกติประเพณีต่าง ๆ
(๖) หาเสียงเลือกตั้งโดยนำชื่อของพรรคการเมือง สัญลักษณ์ของพรรคการเมือง คติพจน์ คำขวัญ หรือภาพบุคคล โดยมิได้มีหนังสือให้ความยินยอมจากบุคคลหรือพรรคการเมืองนั้น
(๗) จงใจไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบนี้ (ซึ่งก็คือ ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๓ และที่แก้ไขเพิ่ม นั่นเอง)
ทั้งหมดนี้ก็เป็นรายละเอียดของ ลักษณะต้องห้ามหรือข้อห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
การหาเสียงผ่านป้ายโฆษณาดิจิทัล (Digital Billboards) เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์หรือรณรงค์ส่งเสริมผู้สมัครรับเลือกตั้งให้สามารถเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง โดยเทคโนโลยีนี้มีจุดเด่นที่สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาโฆษณาได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น ซึ่งช่วยให้การหาเสียงเลือกตั้งสามารถปรับกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์และความต้องการ ในการสื่อสาร เนื้อหาที่ใช้มักประกอบด้วยภาพผู้สมัคร สโลแกน และข้อความสำคัญที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องการส่งถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ประเภทของป้ายโฆษณาดิจิทัลที่ใช้ในการหาเสียง
ป้ายโฆษณาดิจิทัลที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ต่างกันตามวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย
ป้ายโฆษณาดิจิทัลริมถนน เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด มีขนาดใหญ่และตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วนที่มีคนมองเห็นจำนวนมาก
2. ป้ายดิจิทัลในสถานที่สาธารณะ ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่คนเดินผ่านบ่อย ๆ เช่น สถานีรถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า หรือสนามบิน ป้ายเหล่านี้สามารถเข้าถึงกลุ่มคนเดินทางหรือช้อปปิ้งที่มีเวลามองหาและรับข้อมูลมากขึ้น
3. ป้ายจอ LED บนตึกสูง มีความโดดเด่นและเป็นที่สนใจของคนทั่วไป เนื่องจากมักตั้งอยู่ในย่านธุรกิจและการค้าที่สำคัญ ป้ายบนตึกสูงเหล่านี้มักใช้สำหรับการสื่อสารนโยบายหรือโครงการที่ต้องการสร้างความจดจำในวงกว้าง
4. ป้ายโฆษณาบนรถขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นบนรถบัส รถไฟฟ้า หรือแท็กซี่ การแสดงแคมเปญเพื่อการหาเสียงบนจอ LED เคลื่อนที่เหล่านี้ช่วยขยายขอบเขตการเข้าถึงในพื้นที่ ที่การเข้าถึงแบบดั้งเดิมอาจมีข้อจำกัด
ประโยชน์ของการใช้ป้ายโฆษณาดิจิทัลในการหาเสียง
การเข้าถึงที่กว้างขึ้น ป้ายดิจิทัลมักตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีการจราจรสูง เช่น สี่แยก ทางด่วน หรือตามอาคารสำคัญ ทำให้มีโอกาสที่ประชาชนจะเห็นได้ในจำนวนมาก
2. ปรับเปลี่ยนเนื้อหาได้ทันที สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาสาระได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขข้อความ ปรับสโลแกน หรือแทรกเนื้อหาใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ล่าสุด
3. การดึงดูดความสนใจ การใช้กราฟิก ภาพเคลื่อนไหว หรือการเปลี่ยนภาพที่ทันสมัย จะช่วยทำให้ผู้คนจดจำผู้สมัครได้ง่ายขึ้น
4. การปรับตามกลุ่มเป้าหมาย ป้ายโฆษณาดิจิทัลบางระบบสามารถแสดงโฆษณาที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาของวัน หรือในบริเวณที่มีลักษณะประชากรต่างกัน ทำให้แคมเปญในการหาเสียงสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจง
กลยุทธ์ในการสร้างเนื้อหาผ่านป้ายดิจิทัล
การออกแบบเนื้อหาในการหาเสียงให้เหมาะสมกับการแสดงผลในป้ายโฆษณาดิจิทัลมีความสำคัญต่อความสำเร็จของแคมเปญหาเสียง
การใช้สีและภาพที่ดึงดูดความสนใจ ควรเลือกใช้สีสดใสและกราฟิกที่ชัดเจนในการแสดงเนื้อหา เพื่อให้ป้ายมีความโดดเด่นและดึงดูดสายตาของผู้ที่สัญจรไปมา
การใช้ข้อความสั้น กระชับ และชัดเจน ควรเน้นข้อความที่สั้นและกระชับที่สุด เช่น คำขวัญ หรือจุดยืนของผู้ลงสมัคร เพราะผู้คนมักไม่มีเวลามากพอในการอ่านเนื้อหาที่ยาว
การใช้วิดีโอสั้นหรือภาพเคลื่อนไหว วิดีโอหรือภาพเคลื่อนไหวที่สั้นและกระชับสามารถสร้างความประทับใจและความน่าสนใจได้ดีกว่าภาพนิ่ง นอกจากนี้ยังสามารถเล่าเรื่องราวของผู้สมัครหรือเน้นประเด็นนโยบายได้ภายในไม่กี่วินาที
การกำหนดเวลาและสถานที่แสดงโฆษณา การเลือกเวลาที่เหมาะสม เช่น ชั่วโมงเร่งด่วน หรือตำแหน่งที่มีกลุ่มเป้าหมายสัญจรผ่านบ่อย จะช่วยให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น
การประยุกต์ใช้ข้อมูลเชิงพฤติกรรมในการหาเสียง
ป้ายโฆษณาดิจิทัลสามารถผสมผสานกับข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้ในการแสดงเนื้อหาที่เหมาะสมที่สุด เช่น:
การกำหนดเป้าหมายเชิงพื้นที่ การแสดงโฆษณาให้เหมาะกับสถานที่นั้น ๆ เช่น การแสดงโฆษณาที่มีนโยบายเฉพาะในเขตที่ต้องการความสนใจจากประชาชน เช่น ในเขตชนบทหรือเขตเมือง
2. การใช้ข้อมูลประชากรศาสตร์ การแสดงเนื้อหาแตกต่างกันตามกลุ่มอายุหรือเพศ เช่น การหาเสียงที่เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่อาจมีสไตล์การนำเสนอที่สดใส หรือเน้นใช้โซเชียลมีเดียในการเชื่อมต่อ
ข้อพึงระวัง
การปฏิบัติตามกฎหมาย ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง รวมทั้งกฎ ระเบียบ ที่เกี่ยวข้อง
2. การควบคุมข้อความที่แสดงผล เนื่องจากป้ายดิจิทัลมีการเชื่อมต่อออนไลน์ ดังนั้นต้องระมัดระวังการโจมตีทางไซเบอร์ หรือการแสดงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมอันอาจเกิดขึ้นได้จากการคุกคามระบบ ดังนั้นต้องมีทีมงานเฝ้าระวังและมีการรักษาความปลอดภัยที่ดี
3. ค่าใช้จ่ายป้ายโฆษณาดิจิทัลมีอัตราค่าบริการที่สูง ดังนั้นในการใช้งานต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายกับผลตอบแทนที่ได้รับ
การหาเสียงผ่านป้ายโฆษณาดิจิทัลช่วยให้การสื่อสารกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง มีความทันสมัยและตรงประเด็นมากขึ้น ในการเลือกตั้งสมัยใหม่ โดยรวมแล้วการหาเสียงผ่านป้ายโฆษณาดิจิทัลเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างภาพลักษณ์และขยายการเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่การใช้งานต้องอาศัยการวางแผนและประเมินผลอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด