วิถีชีวิตชุมชน วิถีเกษตรกรรม
วิถีชีวิตชุมชน วิถีเกษตรกรรม
แต่เดิมประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศมาจากการขายสินค้าประเภทเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา ไม้สักและพืชไร่ต่าง ๆ รวมทั้งแร่ธาตุที่มีอยู่มากในประเทศ อาทิ ดีบุกเป็นต้น ภาพพจน์ของการเป็นสังคมเกษตรกรรมโบราณได้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของคนรุ่นเก่ามานานหลายชั่วอายุคน และสิ่งเหล่านี้ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นข้อเขียน วรรณคดี และบทเรียนสอนเด็กในโรงเรียนต่าง ๆ เรื่อยมา จนเรามักพูดกันติดปากเสมอว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญ่ อยู่ในชนบทประกอบอาชีพเป็นชาวไร่ ชาวนา” คนที่มีอายุสี่สิบห้าสิบปีขึ้นไปส่วนมากจะยังระลึกถึงภาพพจน์เก่า ๆ นี้ได้เป็นอย่างดี บางคนก็ยังคิดว่านั่นคือความเป็นจริงในปัจจุบัน ถ้าเช่นนั้นปัจจุบันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมเกษตรกรรมของประเทศเรา และ “เกษตรกรรมแบบยั่งยืน” คืออะไรทำไม ณ วันนี้ เราจึงต้องมาพูดกันถึงเรื่อง “เกษตรกรรมแบบยั่งยืน”
“เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” จากบันทึกในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนี้คงสะท้อนถึงสภาพสังคมไทยในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดีถึงความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารการทำมาหากิน ความเป็นสังคมเกษตรกรรมที่มีอย่างช้านาน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะที่ราบลุ่มภาคกลาง อันเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของประเทศมายาวนานเกือบพันปีที่มีความอุดมสมบูรณ์เปรียบได้กับอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศเท่านั้น
วิถีชีวิตของชุมชนในภูมิภาคอื่นๆ ก็ไม่แตกต่างกัน วิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่ตำบลขามทะเลสอ ประชาชนส่วนใหญ่ดำรงอยู่อย่างเกื้อกูลกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณไปด้วยทรัพยากร และความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ในแต่ละพื้นที่ มีต้นน้ำลำตะครองที่เป็นต้นกำเนิดแห่งความอุดมสมบูรณ์ทางระบบนิเวศ ป่าไม้ท้องไร่ท้องนาที่ปลอดสารเคมี ได้น้ำจากป่าธรรมชาติ ห้วยหนองคลองบึงไหลผ่าน หล่อเลี้ยง ปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองเขียวขจี มีพืชผักนานาชนิด ซึ่งกล่าวได้ว่าวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่ตำบลขามทะเลสอ ดำรงอยู่ด้วย วัฒนธรรมองค์ความรู้ ภูมิปัญญาต่างๆ ศิลปวัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนาสอดประสานให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล ในพื้นที่มีการแบ่งการทำกินเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆคือ ที่ราบลุ่มทำนา ที่หัวไร่ปลายนา และที่ป่าดงธรรมชาติ ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ปัจจัยสี่ในชีวิตประจำวัน ล้วนมาจากภูมิปัญญาในการจัดการและจัดสรรคุณค่าต่างๆ จากทรัพยากรธรรมชาติแวดล้อมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสมดุล ในขณะที่ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมหลายอย่างของชุมชน เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในแต่ละหมู่บ้าน และช่วยรักษาสภาพของสังคมนี้ให้คงอยู่ อาทิการถือปฏิบัติประเพณี 12 เดือนที่เกี่ยวเนื่องกับหลักทางพุทธศาสนา ความเชื่อและการดํารงชีวิตทางเกษตรกรรมที่ ยึดถือปฏิบัติกัน มาแต่โบราณ มีแนวปฏิบัติแตกต่างกันไปในแต่ละเดือนเพื่อให้เกิดสิริมงคลในการดําเนินชีวิต เรียกอย่างท้องถิ่นว่างานบุญ ประชาชนให้ความสําคัญกับประเพณีต่างๆเป็นอย่างมากและยึดถือปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอนับเป็นเอกลักษณ์และเป็นพลังในการหล่อหลวมผูกพันให้คนในชุมชนมีสำนึกแน่นแฟ้นอยู่กับสังคมเครือญาติและจำเริญรอยตามวิถีชีวิตชาวนาตามฤดูกาลของธรรมชาติในรอบปี,การเคารพนับถือผีต่างๆ เพื่อบูชาและรักษาสภาพธรรมชาติในหมู่บ้าน และประเพณีเกี่ยวกับการดำรงชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวบ้าน เช่น การลงแขกเกี่ยวข้าว การขอฝนเพื่อทำการเกษตร การไหว้ศาลตาปู่ ฯลฯ
จึงกล่าวได้ว่าวิถีชีวิตของชุมชนหมู่บ้านโดยทั่วไป มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นพื้นฐาน โดยมีครอบครัวเป็นหน่วยการผลิต มีแรงงานจากสมาชิกในครอบครัว ไม่ต้องจ้าง อาศัยวัตถุดิบที่มีในชุมชนท้องถิ่น และอยู่อย่างพึ่งพิงกับธรรมชาติ โดยทั่วไปชาวบ้านจะคิดถึงการผลิตเพื่อให้สามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ก่อนหากมีเหลือจากการบริโภคจึงขาย หรือแลกเปลี่ยนกันภายในชุมชนซึ่งลักษณะวิถีชีวิตแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึง การพึ่งพาตนเองของชาวบ้านการพึ่งพิงกันเองในชุมชน และการพึ่งพิงอิงกันกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ระบบทุนนิยมในสังคมไทย เริ่มเข้ามามีส่วนในการควบคุมกระบวนการผลิต แต่ไม่ได้ควบคุมถึงการผลิตหรือเข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตในหมู่บ้านมากนัก และการเป็นชุมชนเมืองมากขึ้น ทำให้วิถีของชุมชน วิถีเกษตรกรรม เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ทั้งนี้หมู่บ้านในปัจจุบันยังสามารถอยู่รอดได้ด้วยฐานของความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติในอดีต และยังคงลักษณะของชุมชนหมู่บ้านที่มีความผูกพันภายในสูง การเกื้อกูลช่วยเหลือกัน จึงเป็นแรงเกาะเกี่ยวให้ชุมชนยังตั้งมั่นอยู่ได้ และมีความสุขแบบชาวบ้านตลอดไป
ผู้เขียน >> นางสาวดวงเดือน แก่สำโรง ครู กศน.ตำบลขามทะเลสอ