อาข่า
ประวัติ
ชาวอาข่าหรืออีก้อ หรือข่าก้ออาศัยอยู่ในมณฑลยูนาน แคว้นสิบสองปันนา และไกวเจา เมื่อถูกรุกรานจึงทยอย กันอพยพลงใต้ไปยังแคว้นเชียงตุง พม่า แคว้นหัวโขง และแคว้นพงสาลี ในลาว บ้านหินแตกปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตของดอยแม่สะลอง จ.เชียงราย เมื่อกว่า 80 ปีมาแล้ว และกระจายไปตามจังหวัดเชียงราย อาข่าเป็นชนเผ่า ที่สามารถสืบสาวรายนามบรรพบุรุษฝ่ายบิดาขึ้นไปถึงตัว "ต้นตระกูล" ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีการ ทั้งตำนาน สุภาษิต ได้เป็นอย่างดี อาข่า แปลว่า อา...เป็นคำขึ้นต้นที่อาข่าใช้เรียกบุคคล ข่า.. แปลว่า ไกล-ห่างไกล มีความหมายว่า กลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนดอยสูง ซึ่งห่างไกลจากความเจริญ และไม่ชอบให้เรียก อีก้อ ด้วยถือเป็นการดูถูกเหยียดหยาม ซึ่ง คำว่า อีก้อ แปลว่า หนึ่งคน หนึ่งกลุ่ม
ภาษา
อาข่าจัดอยู่ในสาจา ยิ ( โลโล ) ของตระกูลพม่า- ธิเบต มีภาษาพูด แต่ไม่มีภาษาเขียน
ลักษณะบ้านเรือน
ในการเลือกตั้งหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าพิธีกรรม ช่างตีเหล็ก และผู้อาวุโสในหมู่บ้านจะเป็นผู้เลือกสถานที่ และเสี่ยงทายขอที่จากผีเจ้าที่ โดยใช้ไข่ 3 ฟอง โยนลงไปบนพื้น หากไข่แตกก็สร้างหมู่บ้านได้ ถ้าไข่ไม่แตก จะตั้งหมู่บ้านบริเวณนั้นไม่ได้ อาข่า นิยมปลูกบ้านที่มีความสูงประมาณ 3,000-4,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล ที่ตั้งหมู่บ้านเป็นภูเขาลูกกลางที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง เชื่อว่าจะทำให้ชาวบ้านอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เลี้ยงสัตว์ดีพืชผลในไร่อุดมสมบูรณ์ หมู่บ้านจะต้องมีพื้นที่กว้างขวาง เพียงพอสำหรับเด็ก ๆ วิ่งเล่น และใช้เป็นที่ชุมนุมของชาวบ้านในพิธีกรรมหรืองานฉลองต่าง ๆ ได้ด้วย บ้านอาข่า จะยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร มีบันได 3 – 5 ขั้น บ้านสร้างด้วยไม้ไผ่มีเสาเป็นไม้เนื้อแข็ง ฝาบ้านทำด้วยฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคาที่คลุมยาวลงมาจนเกือบถึงพื้นดิน ไม่มีหน้าต่าง มีเตาไฟ 2 เตา สำหรับปรุงอาหาร และสำหรับต้มน้ำชาไว้เลี้ยงแขก
การแต่งกาย
อาข่าใช้ผ้าฝ้ายทอเนื้อแน่นย้อมเป็นสีน้ำเงินเข้มและสีดำ หญิง สวมเสื้อตัวสั้น กระโปรงพลีทสั้น ผ้าคาดเอวและผ้าพันน่อง ห้อยคอด้วยลูกปัด มีจุดเด่นที่หมวก ประดับด้วยลูกปัดหลากสี ความแตกต่างของหมวก อยู่ที่หญิงวัยเด็ก วัยรุ่น สวมหมวกทรงกลม หากแต่งงานแล้วจะสวมหมวกทรงสูง ผู้ชาย สวมเสื้อคอกลมแขนยาว กางเกงขาก๊วย สีเดียวกัน
วัฒนธรรมและประเพณี
ค่อนข้างหลากหลาย เช่น ประเพณี การฉลองปีใหม่ การฉลองพืชผล (กินข้าวโพดใหม่) การกินข้าวใหม่ การไหว้ผีหลวง การไหว้ผีไร่ ผีนา การไหว้ผีบรรพบุรุษ ดนตรีเพลงชนเผ่า และการเต้นรำ เครื่องดนตรีชนเผ่ามีไม่มากชิ้น ได้แก่ แคนน้ำเต้า และซึง ใช้เล่นประกอบการเต้นรำในงานต่างๆ เพลงลีซอมีหลายประเภท เพลงที่นิยมคือเพลงเกี้ยวสาว ซึ่งชาย-หญิงร้องโต้ตอบกัน
เครื่องดนตรี จะเล่นในโอกาส ช่วงประกอบดำเนินพิธีในพิธีกรรม เช่น งานแต่งงาน งานบวช งานศพ พิธีดึงวิญญาณคนตายจากนรก เครื่องดนตรีของเมี่ยนมี 2 ประเภท คือ เครื่องเป่าได้แก่ ปี่ (จยัด) ทำด้วยทองแดง ทองเหลือง ความยาวประมาณไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร และเครื่องตีได้แก่กลอง ฆ้อง และฉาบ
ศาสนา พิธีกรรมและความเชื่อ
ชาวอาข่าอาข่าไม่มีคำว่า "ศาสนา" แต่มีคำว่า "บัญญัติอาข่า" ซึ่งครอบคลุมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีการทุกอย่างในการดำเนินชีวิต มีความเชื่อในเรื่องผี โชคลาง และการเสี่ยงทาย เป็นที่สุด ผีหรือ ”แหนะ” ได้เข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตของชาวอาข่า มีผีดี เช่น ผีบรรพบุรุษคอยให้ความคุ้มครอง ส่วนผีร้าย มักจะเป็นผีตายทั้งกลม ผีตายโหงผีป่า และผีน้ำ ซึ่งชอบทำให้คนเจ็บป่วย เหตุนี้เองอาข่าจึงไม่นิยมต่อน้ำเข้าหมู่บ้าน และไม่ชอบอาบน้ำ ส่วนผีป่านั้นจะชอบหลอกหลอนคนและทำร้ายคนในป่า พิธีกรรมของอาข่ามีอยู่ด้วยกัน 9 พิธี ได้แก่ พิธีขึ้นปีใหม่ พิธีเกี่ยวกับการเกษตรก่อนลงมือทำไร่ พิธีทำประตูหมู่บ้าน พิธีบวงสรวงผีใหญ่ พิธีเลี้ยงผีบ่อน้ำ เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชไร่ พิธีโล้ชิงช้า เพื่อระลึกถึงเทพธิดาผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พืชผลที่กำลังงอกงาม พิธีกินข้าวใหม่จัดขึ้นเพื่อฉลองรวงข้าวสุกและขอบคุณต่อผีไร่ พิธีไล่ผีออกจากหมู่บ้าน พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ
วัฒนธรรมประเพณี
ครอบครัวอาข่าเป็นแบบครอบครัวขยาย อยู่รวมกันหลายครอบครัว หนุ่มสาวอาข่ามีอิสระในการเกี้ยวพาราสีและการเลือกคู่ครอง หากแต่งงานแล้ว ผู้หญิงจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของผู้ชาย และมานับถือผีฝ่ายสามี ทุกหมู่บ้านจะมีลานโล่งกลางหมู่บ้านเพื่อกิจกรรมต่าง ๆ ของหมู่บ้าน เป็นลานดินเรียกว่า “ลานสาวกอด” หรือ “แดห่อง”เป็นลานที่ดินที่หนุ่มสาวชาวอาข่ามาพลอดรักกัน และเด็กๆมาร้องรำทำเพลงกัน นอกจากนี้ก็ยังมีประเพณี ปีใหม่ลูกข่าง ประเพณีไข่แดง โล้ชิงช้า ประเพณีไล่ผี
ชาติพันธุ์ลีซอ
ความเป็นมา
ถิ่นเดิมของชนเผ่าลีซอ อยู่แถบต้นแม่น้ำสาละวินในประเทศจีน ต่อมาได้อพยพเข้าไปอาศัยอยู่ทางทิศเหนือของประเทศสหภาพพม่า และเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแถบแคว้นเชียงตุง และเข้ามาอาศัยอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีเศษ ปัจจุบันมีประมาณ ๔,๐๐๐ คนตั้งถิ่นฐานอยู่มากในเขตอำเภอปางมะผ้า อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน และอำเภอปาย
วิถีชีวิต
ชาวลีซอมีความเป็นอยู่เรียบง่าย ประกอบอาชีพทำไร่ ปลูกข้าวและพืชพันธุ์ต่าง ๆ ไว้เลี้ยงครอบครัว ปกครองโดยผู้อาวุโส สืบสกุลทางพ่อ แต่ละหมู่บ้านมีวงศ์หลายสายสกุล นับถือศาสนาพุทธและถือผี เทศกาลที่สำคัญ คือ เทศกาลขึ้นปีใหม่ เรียกว่า “กินวอ” ตรงกับเทศกาลตรุษจีน มีการเลี้ยงเหล้าข้าวโพด เลี้ยงขนมปาตี่ เลี้ยงฉลองด้วยอาหารต่าง ๆ ที่ปรุงจากเนื้อหมู วันสำคัญทุกคนจะไปรวมกันที่บ้านหมอผีประจำหมู่บ้าน มีการประกอบพิธีเข้าทรงเพื่อขจัดสิ่งชั่วร้าย กลางคืนมีการเต้นรำฉลองเรียกว่า “เต้นจะคึ” เช้าวันขึ้นปีใหม่ มีการยิงปืนและมีการเซ่นบูชาผีประจำหมู่บ้าน
การปรับปรนในสังคมปัจจุบัน
ชาวลีซอปัจจุบันใช้ชีวิตเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป แต่ยังคงยึดถือประเพณีและการแต่งกายแบบเดิม
เผ่าลีซอ
ประวัติความเป็นมา
ลีซอหรืออีกชื่อหนึ่งว่าลีซู ลีซอมีแหล่งกำเนิดอยู่ที่ต้นแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำโขง ได้อพยพไปอยู่ที่ ยูนานในจีน ต่อมาได้อพยพเข้าในพม่า และเข้ามาอยู่ทางแถบเหนือของประเทศไทย เมื่อประมาณ ๖๐ ปีมานี้ ประชากรลีซอที่อยู่ในประเทศจีนมีราว ๕๐๐,๐๐๐ คน ในประเทศพม่า ๒๕๐,๐๐๐ คน และในประเทศไทย ๓๒,๐๐๐ คน ส่วนมากแล้วชาวลีซออาศัยอยู่ในบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงรายและเพชรบูรณ์
การแต่งกายของเผ่าลีซอ
เสื้อผ้าสตรีมีลักษณะคล้ายเสื้อคลุม ผ่าเฉียงจากคอลงไปถึงเข่าแทนกระโปรง ส่วนใหญ่ใช้สีฟ้าสดใส ช่วงแขนที่ยาวลงมาถึงข้อมือขลิบผ้าสีดำที่ริมชาย ตรงคอและไหล่ขลิบด้วยสีแดงชมพู คาดเป็นลายสวยงาม ที่เอวใช้ผ้าสีดำคาดเป็นเข็มขัด ส่วนชั้นในสวมกางเกงขายาวไว้เสมอ ตรงขอบกางเกงขลิบด้วยสีดำหรือสีม่วงและลายอื่น ๆ เสื้อลีซอหญิงมักใช้สีที่ดูเด่นเสมอ ส่วนเครื่องแต่งกายบุรุษสวมเสื้อคอกลมสีดำ ผ่าอกด้านขวาทับด้านซ้ายเป็นแนวเฉียงปักลวดลายสีขาวที่หน้าอก และประดับด้วยกระดุมสีเงินตามไหล่และคอ กางเกงขายาวเป้ากว้างสีดำ มีแถบตรงปลายขาสีฟ้า
ภาษาของเผ่าลีซอ
ภาษาลีซออยู่ในกลุ่มเดียวกันกับภาษามูเซอและอีก้อ ซึ่งกลุ่มนี้รวมเรียกว่า “โลโล” (Loloish) ภาษากลุ่มโลโลมีความสัมพันธ์กับกลุ่มภาษาพม่า (Burmish) จึงรวมเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นเรียกว่า กลุ่มพม่า-โลโล (Burmese-Lolo) และกลุ่มภาษาพม่า-โลโลมีความสัมพันธ์กับภาษาธิเบต (Tibetan) จึงรวมกันเข้าเป็นตระกูลภาษาใหญ่ธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) อีกทีหนึ่งนอกจากนี้ นักภาษาศาสตร์ส่วนหนึ่งมีความเห็นว่า ตระกูลภาษาใหญ่ทิเบต-พม่ามีความสัมพันธ์กับภาษาตระกูลใหญ่จีน (Sinitic) จึงรวมกันเข้าเป็นตระกูลภาษาใหญ่ที่เรียกว่า จีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) ด้วยภาษาลีซออยู่คนละตระกูลภาษากับภาษาไทย จึงแตกต่างจากภาษาไทยมาก ลักษณะภาษาลีซอได้แก่ทำนองเสียง ประโยคลีซอที่มีข้อความเดียวกัน ถ้าเป็นประโยคคำถาม จะใช้เสียงตกตรงท้ายประโยค แต่ถ้าเป็นประโยคอื่น ๆ อาทิ ประโยคบอกเล่า, ประโยคปฏิเสธ ฯลฯ ทำนองเสียงจะราบเรียบ อาทิ ประโยคคำถาม, ประโยคชนิดอื่นๆ
ประเพณีและวัฒนธรรม
ประเพณีการเกี้ยวสาว กล่าวการ่าความสุขที่ถือว่าสุดยอดของลูกผู้ชายชาวลีซอ คือการดื่มเหล้า กินอาหารและได้เกี้ยวสาว ดังคำโคลงบทหนึ่งของลีซอว่า “ ผีเผ่อต่อ ซาเหย่ต่อ จ่าจํะ ตูบี่ขะ” ( ดื่มสุราจิบน้ำชาสรรหาอาหารร่วมรักสาวสะคราญ ) ดังนั้นในหมู่บ้านของลีซอจึงไม่ค่อยมีใครครองโสดได้นานถึง ๓๐ ปีเลย หนุ่มสาวลีซออายุ ๑๔- ๑๖ ปี จะเริ่มรู้จักการเกี้ยวพาราสีและแต่งงานกันแล้ว การเกี้ยวสาวของหนุ่มลีซอมักจะเริ่มขึ้นที่บริเวณครกกระเดื่องตำข้าวกลางลานบ้าน หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว โดยหญิงสาวลีซอจะสะพายกระบุงข้าวมาตำรอคอยชายหนุ่ม เสียงสากกระทบกับครกไม้ดังแว่วในหมู่บ้าน ทำให้จิตใจของหนุ่มลีซอกระสันหาสาวหยิบเอาซือบือ หรือซึงคู่ใจมาดีดเป็นเพลงเดินตรงไปหาสาวทันที ประเพณีลีซอ มีข้อห้ามมิให้เกี้ยวสาวภายในบริเวณบ้าน เพราะเป็นการผิดผีบ้านผีเรือน หรือหากมีพ่อแม่ หรือพี่ชาย หรือญาติของฝ่ายหญิงที่เป็นผู้ชายตลอดจนผู้อาวุโสอยู่ในบริเวณนั้น ก็ห้ามเกี้ยวพาราสีหญิงสาวโดยเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติไม่เคารพกัน นอกเสียจากว่าญาติทางฝ่ายหญิงสาวจะเป็นผู้หญิงเท่านั้น จึงจะเกี้ยวสาวได้การนัดพบพูดคุยกันของหนุ่มสาวลีซอ เมื่อมีโอกาสก็จะนัดพบกัน ณ สถานที่ใกล้หมู่บ้านหรือบริเวณครกตำข้าว หรือเวลาไปไร่ ไปร้องเพลงโต้ตอบกันเป็นกลุ่มหนุ่มลีซอมักกล่าวเสมอว่า “งัวะ อะ สี หมะ หยัวะ งัวะ งี มา เถ่ มา หยัวะ” ( ผมไม่มีอะไรอื่นนอกจากหัวใจดวงเดียวเท่านั้น ) การเกี้ยวพาราสีกัน หากหญิงสาวไม่พึงใจผู้ชายจะจับต้องหรือล่วงเกินไม่ได้ แต่หากพึงใจต่อกันความสัมพันธ์ก็อาจจะไปถึงขั้นได้เสียกันก่อน ซึ่งลีซอก็จะไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย หรือละอายต่อสังคมแต่ประการใด
วัฒนธรรมการแต่งกายของชนภูเขาเผ่าลีซอ
ลีซอได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่แต่งกายมีสีสันสดใสและหลากสีมากที่สุดในบรรดาชาวเขาทั้งหมดความกล้าในการตัดสินใจและความเป็นอิสระชนสะท้อน ออกมาให้เห็นจากการใช้สีตัดกันอย่างรุนแรงในการเครื่องแต่งกาย
ชาวลีซอเรียกตนเองว่า “ลีซู” (คำว่า “ลี” มาจาก “อิ๊หลี่” แปลว่า จารีต ประเพณีหรือวัฒนธรรม “ซู” แปลว่า “คน” )มีความหมายว่ากลุ่มชนที่มีขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี และมีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง ดังนั้นหากมองในแง่วัฒนธรรมและบุคลิกภาพแล้ว อาจกล่าวได้ว่าชาวลีซอ เป็นกลุ่มชนที่รักอิสระ มีระบบจัดการความสัมพันธ์ทางสังคมที่ยืดหยุ่น เป็นนักจัดการที่มีประสิทธิภาพ จะไม่ยอมรับสิ่งใหม่โดยไม่ผ่านการเลือกสรรและจะไม่ปฏิเสธวัฒนธรรมที่แตกต่าง โดยไม่แยกแยะด้วยเหตุนี้เองทำให้ชาวลีซอมีศักยภาพในการปรับตัวเข้ากับความ เปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็สามารถธำรงรักษาอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์เอาไว้ได้เช่นกัน
ความเป็นมา
แต่เดิมชาวลีซอมีถิ่นฐานอยู่บริเวณต้นน้ำสาละวินและแม่น้ำโขงทางตอนเหนือของธิเบต และทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ชาวลีซอได้อพยพเข้าสู่เขตประเทศไทยเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2462 – 2464 จากหมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้เมืองเชียงตุงของประเทศเมียนมาร์ มาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนครั้งแรกอยู่ที่บ้านดอยช้าง อำเภอแม่รวย จังหวัดเชียงราย
ลีซอแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ลีซอลาย กับลีซอดำ ชาวลีซอที่อยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเป็นลีซอลาย ส่วนลีซอดำอยู่ในประเทศจีน เมียนมาร์ อินเดีย และไทย ในประเทศไทยมีชุมชนลีซออยู่ 9 จังหวัดคือ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา ตาก กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ สุโขทัย และลำปาง มีจำนวนประชากรทั้งหมดราว 30940 คน
การแต่งกาย
ลักษณะการแต่งกายของหญิงลีซอมีความโดดเด่นมาก ตั้งแต่ผ้าโพกหัว ที่เป็นทรงป้านกลม ตกแต่งด้วยลูกปัดและพู่ประดับหลากสี เวลาสวมใส่จะส่งให้ใบหน้าของผู้หญิงดูโดดเด่น สวยงาม เสื้อตัวยาวตัดเย็บด้วยผ้าสีสดใสตกแต่งด้วยริ้วผ้าเล็กๆ สลับสี สวมทับ กางเกงขายาว ครึ่งน่องสีดำ มีผ้าคาดเอวที่เมื่อคาดแล้วจะทิ้งชายไปทางด้านหลังเป็นพู่หางม้า ทำจากผ้าหลากสีเย็บเป็นไส้ไก่เส้นเล็กๆ จำนวนกว่า 100 เส้นขึ้นไปเมื่อเคลื่อนไหว พู่จะกวักแกว่งไปด้วยดูน่ารักสวยงามมากและสวมสนับแข้งสีสด
หญิงสาวและหญิงสูงอายุแต่งกายคล้ายกันต่างกันเฉพาะการใช้สี ซึ่งในกลุ่มหญิงสูงอายุจะใช้สีขรึมเข้มกว่า และผ้าโพกหัวก็ใช้ผ้าสีดำโพกพันไว้ ไม่มีลูกปัดและพู่ประดับ
ผู้ชายสวมกางเกงสีสด และสาวเสื้อสีดำตกแต่งด้วยเม็ดเงินคาดเอว ประดับด้วยพู่หางม้าทำจากผ้าเย็บเป็นไส้ไก่สลับสี เวลาคาดเอวจะทิ้งชายลงมาทางด้านหน้า เด็กๆ ยังคงสวมใส่ชุดประจำเผ่าให้เห็นโดยทั่วไป
การผลิต
หน้าที่ผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็นของฝ่ายหญิง เช่นเดียวกับชาวเขาเผ่าอื่นๆวัสดุที่ใช้ผลิตปัจจุบันซื้อผ้าทอและด้ายย้อมสีสำเร็จรูปจากโรงงานที่มีขาย ตามร้านเจ้าประจำ ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของลีซอแต่ละหมู่บ้าน
ลักษณะการทอผ้าของลีซอ เหมือนกลุ่ม มูเซอคือ เป็นแบบห้างหลัง หรือ สายคาดหลัง (Back strap) การทอผ้าเพื่อเย็บสวมใส่ไม่มี ปรากฏในชุมชนลีซอของประเทศไทย ปัจจุบันมี เพียงการทอผ้าหน้าแคบขนาดเล็กๆ เพื่อนำมาเย็บ ประกอบเป็นย่ามเท่านั้น
การตกแต่ง