ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หรือวัคซีน เอชพีวี
เข้ารับการตรวจคัดกรอกมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอทุกปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ซึ่งได้แก่ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา พฤติกรรมการมีคู่นอนหลายคน การไม่ใช้ถุงยาอนามัย เป็นต้น
วัคซีน HPV มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV
วัคซีนจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส HPV
ภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนจะสูงกว่าภูมิตามธรรมชาติมาก และสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้เกือบ 100%
ภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีน จะคงอยู่อย่างยาวนาน อย่างน้อยเป็นเวลา 40 ปีตามผลการวิจัย ซึ่งไม่เหมือนกับภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่จะหายไปในเวลาไม่นาน หลังจากร่างการกำจัดไวรัสออกไปได้แล้ว
ภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีน มีผลในการป้องกันเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาอาการติดเชื้อที่เกิดขึ้นก่อนได้ เราจึงควรฉีดวัคซีน HPV ทันทีที่พร้อม ยิ่งเร็วยิ่งมีประโยชน์
ในปัจจุบัน มีวัคซีน HPV อยู่ทั้งหมด 3 ชนิด
ชนิด 2 สายพันธุ์: สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ซึ่ง 2 สายพันธุ์นี้พบว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกถึงกว่า 70%
ชนิด 4 สายพันธุ์: สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่ 16, 18 รวมถึงสายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหูดหงอนไก่ที่บริเวณทวารหนักได้ด้วย
ชนิด 9 สายพันธุ์: สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV รวม 9 สายพันธุ์ ซึ่งรวมแล้วเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกประมาณ 95% และป้องกันโรคหูดหงอนไก่ได้เช่นเดียวกับชนิด 4 สายพันธุ์
คนที่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีน HPV
ผู้หญิง และผู้ชายด้วยเช่นกัน
ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 9 ถึง 45 ปี
วัคซีน HPV นั้นมีผลในการป้องกัน ไม่ใช่รักษา ดังนั้นการเข้ารับการฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุยังน้อย รวมถึงการฉีดตั้งแต่ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกนั้นจะได้ประโยชน์สูงสุด
จำนวนวัคซีนที่ต้องฉีด จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามช่วงอายุ ดังนี้
อายุ 9 ถึง 14 ปี: ฉีด 2 เข็ม โดยเว้นระยะห่างประมาณ 6 เดือน (หรือไม่เกิน 12 เดือน)
อายุ 15 ถึง 45 ปี: ฉีด 3 เข็ม โดยเว้นระยะห่างสำหรับเข็มที่ 2 ประมาณ 1 เดือน (หรือไม่เกิน 3 เดือน) และเข็มที่ 3 ประมาณ 6 เดือน (หรือไม่เกิน 12 เดือน)
ได้มีการพัฒนาวิธีการใหม่ๆในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกออกมาเรื่อย ซึ่งในปัจจุบันจะแบ่งได้เป็น 3 วิธีหลักๆ
การตรวจแบบ Pap smear: เป็นวิธีการเก็บเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติหรือเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งได้
การตรวจแบบ ThinPrep Pap Test: เป็นวิธีการตรวจที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น จากการเพิ่มขั้นตอนต่างๆเพื่อกำจัดเซลล์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้เพิ่มโอกาสในการตรวจพบความผิดปกติที่มีอยู่ได้ดียิ่งขึ้น
การตรวจแบบ HPV DNA Testing: เป็นการเพิ่มการตรวจหา DNA ของเชื้อไวรัส HPV ที่พบ ซึ่งสามารถตรวจพบความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ดีกว่าการตรวจ Pap smear อย่างเดียว
ประโยชน์ของการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก
ช่วยให้สามารตรวจพบ "เชื้อไวรัส HPV" หรือ "รอยโรค" หรือ "เซลล์มะเร็ง" ในระยะเริ่มต้นได้ ซึ่จะช่วยให้สามารถทำการรักษาได้อย่างรวดเร็ว
การตรวจคัดกรอง สามารถช่วยให้แพทย์สามารถระบุสายพันธุ์ของเชื้อ HPV ได้ด้วย ซึ่จะเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคและกำหนดแนวทางการรักษา
เป็นวิธีการตรวจที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ สามารถทำได้ง่าย และมีค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง
ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ยังสามารถเข้ารับการตรวจได้ฟรีทุกปีอีกด้วย