๑. ข้อมูลทั่วไป
๑.๑ ชื่อศูนย์เรียนรู้
ศูนย์เรียนรู้ “โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน”
๑.๒ ชื่อเจ้าของ/ผู้ดูแลศูนย์เรียนรู้
นางสาวดวงเด่น เตียวิเศษ
๑.๓ ที่อยู่ศูนย์เรียนรู้
๑๐๑/๒๒๗ บ้านท้องศาลา หมู่ที่ ๑ ตำบลเกาะพะงัน อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
๒. หลักการ/เหตุผลในการดำเนินการ
จุดเริ่มต้นจากการ “การขอร้อง” ของคุณแม่ให้กลับมาดูแลกิจการรีสอร์ท หลักจากบริหารกิจการรีสอร์ท ได้ ๓ ปี เกิดพบรักกับนายสุรินทร์ จันทร์สนิท (พี่หนุ่ม) และด้วยที่มีความคิด ทัศนคติ ความชอบ ความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน บวกกับในช่วงเวลานั้นต่างคนต่างทำงานไม่คอยมีเวลาอยู่ด้วยกัน เราสองคนจึงเกิดความคิดว่า ช่วงหลังเลิกงานรีสอร์ทและงานรับจ้างก่อสร้าง เราต้องมีกิจกรรมทำร่วมกัน คือการปลูกผัก แรกเริ่มปลูกผักเพื่อรับประทานเอง ที่เหลือจะจำหน่าย เพื่อสร้างรายได้ในช่วงแรก ๆ คุณแม่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพื่อน ๆ ก็กกล่าวหาว่า “บ้า” ที่เลิกทำรีสอร์ทมาปลูกผักแทน เพราะรายได้ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับรีสอร์ทที่ทำ แต่เราทั้งสองคนอดทนกับความคิดต่าง ๆ นาน ๆ โดยเราสองคนยึดมั่นความคิดว่าการปลูกทานเอง จะทำให้เราสองคนได้มีกิจกรรมทำร่วมกันอย่างมีความสุข อีกทั้งมีความฝันที่จะทำศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตามรอยในหลวงรัชกาลที่ ๙ และคามต้องการของเตีย จึงตั้งชื่อว่า “ไร่เตียวิเศษ” โดยตั้งใจพัฒนาพื้นที่ให้มีฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้บริการประชาชน นักท่องเที่ยวที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมภายในพื้นที่
การเข้าร่วมโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา กรมการพัฒนาชุมชน ปี ๒๕๖๔ ขนาดพื้นที่ ๑ ไร่ กับสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเกาะพะงัน พบว่ามีการบริหารจัดการพื้นที่ตามแนวทางการเกิดประโยชน์ ได้มีการปลูกพืชหลายชนิด มีการเลี้ยงไก่ไข่แบบอินทรีย์ การเลี้ยงปลา มีการแปรรูปผลผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หลายชนิดที่สำคัญมีการเชื่อมโยงเครือข่ายสมาชิก โคก หนอง นา ทั้ง ๑๒ แปลง มีการจัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคี แลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ รวบรวมผลผลิตจากแปลงโคก หนอง นา มาทำการแปรรูปและจำหน่าย โดยเปิดร้านค้าจำหน่ายให้กับประชาชน ในพื้นที่และนักท่องเที่ยว สามารถสร้างรายได้ให้กับสมาชิกเครือข่ายได้อย่างยั่งยืน
๓. เป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่
การบริหารจัดการพื้นที่ จำนวน ๑ ไร่ เป็นการตอบโจทย์การสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร การปลูกพืชหลากหลายชนิด การเลี้ยงไก่แบบอินทรีย์ การเลี้ยงปลา ฐานการเรียนรู้ จำนวน ๑๑ ฐาน ได้แก่ ฐานผลิตอาหารสัตว์ ฐานสกัดน้ำมันตะไคร้หอม ฐานทำน้ำหมักผลไม้สด ฐานการเลี้ยงปลา ฐานการเลี้ยงไก่ไข่ ฐานการทำน้ำหมักชีวภาพ ฐานทำปุ๋ยหมัก ฐานนาข้าวอินทรีย์ ฐานการเผาถ่าน ฐานการทำผลิตภัณฑ์และฐานการทำบัญชีครัวเรือนรายรับ-รายจ่ายครัวเรือนและบัญชีต้นทุนประกอบอาชีพ ตลอดจนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ำยาเอนกประสงค์ น้ำยาล้างจาน แชมพู สบู่ ชาใบม่อน ชาใบเตย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันตะไคร้หอม น้ำส้มควันไม้ ฯลฯ
๔. กิจกรรมที่ดำเนินการ
- กิจกรรมเรียนรู้ Work Shop ให้แก่นักท่องเที่ยวที่มีความสนใจร่วมกิจกรรม โดยมีหลักสูตรต่าง ๆ เช่น หลักสูตรเมนูแกงเขียวหวาน หลักสูตรเมนูแกงกะทิ หลักสูตรข้าวเหนียวมะม่วง หลักสูตรข้าวคลุกกะปิ หลักสูตรทำกำยาน หลักสูตรกวนน้ำยาล้างจาน หลักสูตรกวนน้ำยาซักผ้า หลักสูตรกวนน้ำยาล้างห้องน้ำ เป็นต้น
- กิจกรรมการเรียนรู้ตามฐานต่าง ๆ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประชาชนในพื้นที่ นักเรียน นักศึกษาในพื้นที่อำเภอเกาะพะงันและพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความสนใจ
๕. ความสำเร็จที่เกิดขึ้น (ความสำเร็จจากการที่ได้ดำเนินการโครงการ ผลผลิต ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น)
ผลผลิตที่เกิดขึ้น
พืชผักสวนครัว เช่น มะเขือ พริก แมงลัก แตงกวา มะนาว เห็ดฟาง เป็นต้น ส่งผลต่อการลด
ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและมีพืชผักปลอดสารพิษบริโภค
ผลไม้ เช่น กล้วย มะม่วง มะพร้าว มะละกอ ฯลฯ เป็นการสร้างรายได้และสามารถแปรรูป
สัตว์เลี้ยง เช่น ไก่ ปลา เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและรายได้
ผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น ปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ กล้วยตาก สมุนไพร ปลาดุกแดดเดียว น้ำมัน
ตะไคร้หอม น้ำมันมะพร้าว ฯลฯ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ด้านสิ่งแวดล้อม
ฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่
ช่วยกักเก็บน้ำและเพิ่มความชุ่มชื่นในดินและลดภัยแล้ง
เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างแหล่งอาศัยให้สัตว์และแมลงที่เป็นประโยชน์
ด้านสังคมและชุมชน
ชุมชนมีความรัก ความสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชน ขยายผลสู่พื้นที่อื่น
เกิดศูนย์เรียนรู้
ความมั่นคงในชีวิต
มีความสุขจากการใช้ชีวิตแบบพอเพียง
มีระบบจัดการน้ำและทรัพยากรอย่างยั่งยืน
คนในชุมชนมีความสุข พึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นหนี้
ด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
ฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การทำปุ๋ยอินทรีย์ การดำนา การเกี่ยวข้าว
๖. กระบวนการหรือวิธีขับเคลื่อนงาน (ดำเนินการอย่างไรบ้างหรือใช้วิธีดำเนินการอย่างไรจึงนำไปสู่ความสำเร็จ)
๑. การสร้างทัศนคติและความรู้ใหม่ ๆ จากการอบรมพัฒนาความรู้เป็นเกษตรกร
๒. การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ โคก หนอง นา พื้นที่ ๑ ไร่ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับครัวเรือน เช่น การลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ในครัวเรือน เป็นการพัฒนาครัวเรือน และมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พันธุ์ไม้ พันธุ์พืชและพันธ์สัตว์ ในพื้นที่ต้นแบบโคก หนอง นา เป็นการพัฒนาในระดับชุมชน
๓. ส่งเสริมการเรียนรู้ โดยเป็นสถานที่ที่มีผู้สนใจ นักเรียน นักศึกษา เกษตรกร เข้ามาศึกษาดูงานในพื้นที่ สร้างแรงบันดาลใจและนำไปปรับใช้ในพื้นที่ของตนเอง
๔. เป็นวิทยากรถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่บุคคลทั่วไปและหน่วยงานราชการ เพื่อสร้างโอกาสและแลกเปลี่ยนประสบการณ์
๕. การให้ความสำคัญเป็นแกนนำและคณะกรรมการเครือข่ายโคก หนอง นา โมเดลระดับอำเภอ เพื่อขับเคลื่อนและสร้างโอกาสทางการตลาดและเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็ง
รวมถึงการการขับเคลื่อนสร้างความสัมพันธ์ร่วมกับเครือข่ายทั้งในและนอกพื้นที่ ดังนี้
สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : สนับสนุนองค์ความรู้การพัฒนา
ผลิตภัณฑ์
กรมพัฒนาสิ่งแวดล้อม : จุดเริ่มต้นกิจกรรม Work Shop
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : สนับสนุนนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ
กรมปศุสัตว์ : งบประมาณและองค์ความรู้ด้านปศุสัตว์
กรมประมง : องค์ความรู้ด้านประมง
กรมส่งเสริมการเกษตร : สนับสนุนองค์ความรู้ด้านการเกษตร
องค์กรบริหารการปกครองส่วนท้องถิ่น : สนับสนุนบุคลากรศึกษาดูงานในพื้นที่
กรมการพัฒนาชุมชน : สนับสนุนงบประมาณ/แหล่งเรียนรู้
กรมส่งเสริมการเรียนรู้ : สนับสนุนงบประมาณ
มูลนิธินิเวศวิถี : สนับสนุนองค์ความรู้การบริหารจัดการขยะ
๗. ปัจจัยสำคัญที่นำสู่ความสำเร็จ (มีปัจจัยสำคัญอะไรบ้าง ที่ทำให้การดำเนินการครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ)
- การมีส่วนร่วมของชุมชน : การมีส่วนร่วมคนในชุมชนตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจะช่วยให้เกิดความรู้เป็นเจ้าของพร้อมขับเคลื่อนโครงการ
- การสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน : การสนับสนุนด้านต่าง ๆ จะช่วยให้โครงการดำเนินการไปได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน
- การสร้างความยั่งยืน : ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จะเป็นเป้าหมายสูงสุดของโครงการ
๘. องค์ความรู้ที่เป็นบทเรียน
แนวคิดการจัดการพื้นที่เกษตรกรรมที่นำหลักเกษตรทฤษฎีใหม่มาผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อย่างคุ้มค่าและยั่งยืน โดยเป็นการออกแบบภูมิทัศน์ให้มีทั้งพื้นที่สูงและพื้นที่ต่ำภายในแปลงเดียวกัน ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อกันและสร้างความสมดุลของระบบนิเวศ กล่าวคือมีการทำโคกหรือคันดินยกสูงเพื่อปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น และพืชหลากหลายชนิดที่ให้ร่มเงาและสร้างรายได้ตลอดปี
ส่วนพื้นที่หนองจะเป็นการขุดบ่อหรือสระน้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง สามารถเลี้ยงปลา ปลูกผักริมขอบสระ หรือใช้เป็นที่กักตะกอนดินเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ได้ด้วย ขณะที่พื้นที่นาจะจัดเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหรือพืชอาหารหลัก ซึ่งสามารถทำนาปีละครั้งหรือสองครั้งตามสภาพน้ำ โดยการออกแบบให้พื้นที่สามส่วนนี้เชื่อมโยงและเสริมกันจะทำให้เกิดความมั่นคงด้านอาหาร มีน้ำใช้เพียงพอทั้งเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตร และลดความเสี่ยงภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมหรือน้ำแล้ง
นอกจากนี้โคกหนองนาโมเดลยังเน้นการใช้ปุ๋ยธรรมชาติ การปลูกพืชหมุนเวียน และการไม่ใช้สารเคมีเพื่อรักษาสุขภาพดินและน้ำ ตลอดจนอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่น ส่งผลให้เกษตรกรพึ่งตนเองได้ มีรายได้ตลอดปี และลดการพึ่งพาตลาดหรือสินค้าจากภายนอก ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความยั่งยืนทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชนอย่างแท้จริง
๙. แนวทางการพัฒนาต่อยอด ขยายผล
ครัวเรือน ชุมชนพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างผลผลิตปลอดภัย ภายใต้เกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ที่มีคุณภาพ ชุมชนสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงปลุกสร้างกระแส “โคก หนอง นา” แหล่งอาหารปลอดภัย ส่งต่อการสร้างแบ่งปันเมล็ดพันธุ์ สร้างธนาคารเมล็ดพันธุ์มอบแก่ครัวเรือนเปราะบางหรือครัวเรือนที่มีความประสงค์ปลูกผักเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารแก่คนในครัวเรือน
๑๐. ข้อเสนอแนะ/สิ่งที่อยากถ่ายทอดให้ผู้อื่น
เชิงนโยบาย การนำแนวทางการขับเคลื่อนที่ได้จากการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์นสู่ โคก หนอง นาโมเดล ในแต่ละระดับต่อไป
เชิงปฏิบัติ การปลูกฝังให้มีการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาให้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตั้งแต่ระดับเยาวชน สนับสนุนให้เยาวชนรู้จักพึ่งพาตนเอง ขยันมั่นเพียร ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมและส่วนรวม รู้จักการแบ่งปันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้เติบโตเป็นสมาชิกที่มีคุณภาพของชุมชนและสังคมในอนาคต
๑๑. ช่องทางประชาสัมพันธ์ของศูนย์เรียนรู้ (เช่น Facebook) เพื่อการขยายผลการดำเนินงานผ่านการประชาสัมพันธ์