การประชุมเชิงปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย ประจำปี 2568
เรื่อง “Parent & Teacher Power: เสริมพลังเพิ่มทักษะภาษาและการพูดให้แก่เด็กปฐมวัย”
วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน 2568 เวลา 08:00 - 16:30 น.
ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ชัยโรจน์ แสงอุดม ชั้น 12
อาคาร 2 คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
จัดโดย สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เด็กเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญต่อประเทศชาติที่จะเป็นแรงในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะเด็กในช่วงปฐมวัยซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่มีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญามีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง พัฒนาการที่สมวัยนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญของความพร้อมในการเรียนรู้ ซึ่งส่งผลต่อการประสบความสำเร็จในการเรียนและการมีสุขภาพทั้งกายและใจรวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ต่อไปในอนาคต
ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ มีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญเพื่อพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่ง และมีคุณภาพ โดยคนไทยมีความพร้อมทั้งกาย ใจ สติปัญญา มีพัฒนาการที่ดีรอบด้านและมีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย ดังนั้น การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพนั้น จึงจําเป็นต้องเริ่มตั้งแต่ช่วงปฐมวัย
ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2566 มีเด็กปฐมวัยที่ได้รับการคัดกรองพัฒนาการร้อยละ81.3 พบว่า เด็กมีพัฒนาการสงสัยล่าช้าร้อยละ 21.0 และเด็กมีพัฒนาการสมวัยรวมร้อยละ79.0 เมื่อจําแนกพัฒนาการรายด้าน พบว่า พัฒนาการเด็กล่าช้าสูงสุด ด้านการแสดงออกทางภาษา ร้อยละ 72.3 รองลงมา คือ ด้านความเข้าใจภาษา ร้อยละ 58.9 ซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู นอกจากนี้ในยุคปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยี เช่น ทีวีและมือถือ เข้ามามีส่วนช่วยในการเลี้ยงดูบุตร ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาพัฒนาการทางภาษาและการพูดล่าช้าในเด็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นการลดโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์และการเล่นระหว่างผู้ปกครองและบุตร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของการพัฒนาภาษาและการพูดในระยะแรกเริ่ม นอกจากนี้อาจทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อปัญหาทางสังคม อารมณ์ พฤติกรรม และการรับรู้ในวัยผู้ใหญ่ ดังนั้น ภาษาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่เด็กจำเป็นจะต้องได้รับการฝึกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาดีขึ้นต่อไป
ทักษะ Executive Functions (EFs) มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษา โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กซึ่งเป็นช่วงที่เด็กมีพัฒนาการทางสติปัญญาและภาษาที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทักษะ EFs เป็นการทำหน้าที่ระดับสูงของสมองที่ช่วยให้มนุษย์สามารถควบคุมอารมณ์ ความคิด การกระทำ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่มุ่งสู่เป้าหมาย ทักษะ EFs ถือเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กปฐมวัยที่จะช่วยให้้เด็กคิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น รวมถึงอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ทักษะ EF ครอบคลุมกระบวนการทางปัญญา เช่น ความจำขณะทำงาน ความคิดยืดหยุ่น และการยับยั้งชั่งใจ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ภาษา โดยทักษะความคิดยืดหยุ่นช่วยให้เด็กสามารถสลับไปมาระหว่างกฎและบริบททางภาษาที่แตกต่างกันได้ ในขณะที่ทักษะความจำขณะทำงานจะช่วยให้เด็กจดจำและการจัดการข้อมูลทางภาษาได้ เด็กที่มีทักษะความคิดยืดหยุ่นและความจำขณะทำงานที่ดีมักจะมีทักษะทางภาษาที่ดีทั้งในด้านการใช้คำศัพท์และประโยค ส่วนทักษะการยับยั้งชั่งใจนั้นมีความสำคัญต่อการประมวลผลทางภาษา เนื่องจากช่วยให้เด็กหยุดรับข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องและเน้นที่การประมวลผลทางภาษาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้เรียนรู้คำศัพท์จากข้อมูลที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นแล้ว ทักษะต่าง ๆ เหล่านี้ยังเป็นพื้นฐานสำหรับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและพฤติกรรมทางสังคมต่อไปของเด็ก
นอกจากทักษะ EFs ที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษาในช่วงวัยเด็กแล้วนั้น ทักษะการเรียนรู้หนังสือขั้นต้น (Early literacy) ถือเป็นรากฐานของพัฒนาการทั้งทางสติปัญญา อารมณ์ สังคม และการเรียนรู้ของเด็ก ทักษะการการเรียนรู้หนังสือขั้นต้นเป็นทักษะพื้นฐานที่เด็กพัฒนาขึ้นก่อนเข้าสู่การเรียนในโรงเรียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการอ่านและเขียนในอนาคต ทักษะเหล่านี้ครอบคลุมความสามารถหลากหลายด้าน เช่น พัฒนาการทางภาษา การตระหนักรู้ของหน่วยเสียง และแนวคิดเกี่ยวกับการพิมพ์ ทักษะเหล่านี้จะพัฒนาในช่วงสามขวบปีแรกของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงที่สมองมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงนี้เด็กจะได้เรียนรู้ทักษะการคิด พูด เรียนรู้ และเหตุผล การปลูกฝังทักษะเหล่านี้ตั้งแต่แรกเริ่มถือเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงของพัฒนาการทางภาษาล่าช้า
ผู้ปกครอง ซึ่งหมายรวมถึง พ่อแม่หรือบุคคลที่รับเด็กไว้ในการดูแล ถือเป็นบุคคลแรกที่มีความสำคัญกับเด็กมากที่สุด เนื่องจากเป็นผู้ใกล้ชิดกับเด็กที่ทำหน้าที่เลี้ยงดู อบรมสั่งสอน รวมทั้งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาเด็กให้เจริญเติบโตเต็มตามศักยภาพและพัฒนาการ การที่ผู้ปกครองมีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาและการพูดของเด็กทำให้เด็กได้รับการกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับการช่วยเหลือตั้งแต่ระยะแรกเริ่มได้เร็วยิ่งขึ้นหากผู้ปกครองสามารถสังเกตพฤติกรรมเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง
นอกจากนี้ ครูปฐมวัยเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งรองจากผู้ปกครองของเด็กที่สามารถช่วยวางรากฐานการพัฒนาของเด็กทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา และเป็นผู้ส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่เด็ก รวมทั้งเป็นผู้ที่สามารถดึงศักยภาพของเด็กในทุกด้านให้เป็นไปอย่างเต็มศักยภาพได้เช่นกัน รวมถึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในค้นหาความเสี่ยงของเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าและความพิการ เนื่องจากเป็นหนึ่งในบุคคลแรกที่สามารถพบเด็กที่มีปัญหาในช่วงอายุ 2 - 3 ปีแรก ครูปฐมวัยสามารถคัดกรองพัฒนาการของเด็ก รวมทั้งติดตามพัฒนาการของเด็ก รวมทั้งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในค้นหาความเสี่ยงของเด็กที่มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดล่าช้า
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ผู้ปกครองและครูปฐมวัยจะมีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาและการพูด ทักษะ EFs และทักษะการการเรียนรู้หนังสือขั้นต้นของเด็ก รวมถึงสามารถคัดกรองเด็กที่มีภาวะพูดช้า ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาและการพูดสำหรับเด็กในเบื้องต้นได้ รวมทั้งเพื่อให้ผู้ปกครองสามารถทำงานร่วมกับครู และสหวิชาชีพทางการแพทย์ เช่น แพทย์ นักแก้ไขการพูด นักกิจกรรมบำบัด เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก เพื่อนำไปสู่ความพร้อมในการเรียนรู้ ซึ่งส่งผลต่อการประสบความสำเร็จในการเรียนและการมีสุขภาพที่ดีต่อไป
1. มีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาและการพูด ทักษะ EFs และทักษะการการเรียนรู้หนังสือขั้นต้นของเด็กปฐมวัย
2. มีความรู้เกี่ยวกับภาวะพูดช้าและการสังเกตพฤติกรรมภาวะพูดช้าได้
3. ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาและการพูดในเบื้องต้นที่บ้านและที่โรงเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยได้
ผู้ปกครองและครูปฐมวัย จำนวน 80 คน
ค่าลงทะเบียนล่วงหน้า (ก่อนวันที่ 15 ตุลาคม 2568) ราคา 800 บาท/คน
ค่าลงทะเบียนปกติ (หลังวันที่ 15 ตุลาคม 2568) ราคา 1,000 บาท/คน
ผู้ปกครองและครูปฐมวัยมีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาและการพูดของเด็ก การสังเกตพฤติกรรมภาวะพูดช้า รวมทั้งสามารถส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาและการพูดสำหรับเด็กในเบื้องต้นได้
สถานที่จัดการประชุม
ห้องประชุมศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ชัยโรจน์ แสงอุดม ชั้น 12 อาคาร 2 คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(ภายในพื้นที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตรงข้ามกับอาคารเฉพาะพระบารมี
ประชาสัมพันธ์สถานที่จอดรถ
สถานที่สำหรับจอดรถส่วนตัว
ลานจอดรถคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ไม่เสียค่าใช้จ่าย)
อาคาร 2 รองรับ จำนวนประมาณ 30 คัน
อาคาร 3 รองรับ จำนวนประมาณ 50 คัน
อาคารจอดรถสวนดอกปาร์ค (มีค่าใช้จ่าย ผู้เข้าร่วมประชุมชำระเอง)
30 นาที แรก ไม่คิดค่าบริการ
เกิน 30 นาที - 5 ชั่วโมง 20 บาท
เกิน 5 ชั่วโมง - 10 ชั่วโมง 40 บาท
เกิน 10 ชั่วโมง - ไม่เกิน 24 ชั่วโมง 100 บาท
เกิน 24 ชั่วโมง คิดเพิ่มอีก 100 บาท (เศษของวันคิดเป็น 1 วัน)
ลานจอดรถคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ไม่เสียค่าใช้จ่าย)
ลานจอดรถจักรยานยนต์ คณะเทคนิคการแพทย์ อาคาร 2 และ อาคาร 3
แผนที่สถานที่จัดประชุมและจุดจอดรถ
แผนที่จอดรถสำหรับรถจักรยานยนต์ส่วนตัว (ไม่เสียค่าบริการ)