หรื่อที่รูจักกันในชื่อ สามเหลี่ยมปีศาจ เป็นพื้นที่ทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติคเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่ามีเครื่องบินและเรือหายสาปสูญไปในบริเวณดังกล่าวโดยหาสาเหตุไม่ได้ การหายสาปสูญเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ.1950 โดยมีเครื่องบินรบของกองทัพอเมริกาที่หายไปถึง 19 ลำอย่างไร้ร่องรอย ในปัจจุบันจำนวนมนุษย์ที่หายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามีประมาณ 2101 คน ไม่รวบเรือรบ เรือโดยสาร และเครื่องบินอีกมากมายที่สูนหายไปและยังหาสาเหตุไม่ได้ ว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงมีอาถรรพ์ ถึงจะมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามหาเหตุผลว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เหล่านี้แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าท้าทายอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมแห่งนี้จนถึึงปัจจุุบัน ทั้งนักเดินเรือและนักบินก็จะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเดินทางผ่านเส้นทางนี้ เพื่อความปลอดภัยของนักบินและนักเดินเรือนั้นเอง
การกล่าวอ้างถึงการหายสาบสูญอย่างผิดปกติในพื้นที่เบอร์มิวดาปรากฏในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1950 ในบทความของแอสโซซิเอด เพลส โดยเอ็ดเวิร์ด ฟาน วินเคิล โจนส์ อีกสองปีต่อมา นิตยสารเฟท ได้ตีพิมพ์ "ความลึกลับที่ประตูหลังของเรา" บทความสั้นโดย จอร์จ แอกซ์. แซนด์ ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินและเรือจำนวนมากที่หายสาบสูญไป รวมไปถึงการหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทีบีเอ็ม อแวงเกอร์ห้าลำ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกบิน บทความของแซนด์ได้เป็นงานเขียนแรก ๆ ซึ่งทำให้เกิดเป็นแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันดีของพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อันเป็นสถานที่ที่เกิดการหายสาบสูญอย่างหาสาเหตุไม่ได้ การหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ได้ปรากฏในนิตยสารอเมริกันลีเจียน ฉบับประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1962 โดยกล่าวอ้างว่าผู้บังคับฝูงบินได้กล่าวว่า "เรากำลังเข้าสู่เขตน้ำขาว ไม่มีอะไรดูปกติเลย เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีขาว" นอกจากนี้ ยังได้มีการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนของกองทัพเรือยังได้ระบุว่าเครื่องบินทั้งหมดได้ "บินสู่ดาวอังคาร" บทความของแซนด์เป็นงานเขียนชิ้นแรกซึ่งเสนอว่ามีปัจจัยเหนือธรรมชาติที่มีผลต่อเหตุการณ์หายสาบสูญของฝูงบิน 19 ในนิตยสารอาร์กอสซี ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1964 บทความของวินเซนต์ เอช. แกดดิส "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาร้ายกาจ" ซึ่งโต้แย้งว่าฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญไปอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบของเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ในปีต่อมา แกดดิสได้ขยายบทความของเขาไปเป็นหนังสือ ชื่อว่า อินวิสซิเบิลฮอไรซอนส์ (Invisible Horizons)
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีเนื้อที่ประมาณ 1.14 ล้านตารางกิโลเมตร (4.4 แสนตารางไมล์) อยู่ระหว่างจุด 3 จุด ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ซึ่งเป็นเกาะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกและดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร มีพื้นที่ครอบคลุมช่องแคบฟลอริดา หมู่เกาะบาฮามาส และหมู่เกาะแคริบเบียนทั้งหมด แต่แนวคิดที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายกว่า (เนื่องจากปรากฏในงานเขียนจำนวนมาก) ระบุว่า จุดปลายสุดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้แก่ ชายฝั่งแอตแลนติกของไมแอมี, ซานฮวน (บนเกาะเปอร์โตริโก) และเกาะเบอร์มิวดา ด้วยเหตุว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งด้านใต้โดยรอบหมู่เกาะบาฮามาสและช่องแคบฟลอริดา
พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีเรือผ่านพื้นที่นี้เป็นประจำทุกวันมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และหมู่เกาะแคริบเบียน เรือสำราญที่ผ่านพื้นที่นี้ก็มีมากเช่นกัน เรือเที่ยวเองก็มักจะมุ่งหน้าไปและกลับระหว่างฟลอริดากับแคริบเบียนอยู่เป็นปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรทางอากาศอย่างหนาแน่น ทั้งอากาศยานพาณิชย์และส่วนตัว ซึ่งมุ่งหน้าไปยังฟลอริดา แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้
นักวิทยาศาสตร์ นักสมุทรวิทยา และผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ต่างก็พยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น ส่วนมากทำได้เพียงแค่ตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยแบ่งได้หลายทฤษฏี (ขออนุญาตยกมาเฉพาะที่มีชื่อเสียง) ดังนี้ครับ ทฤษฎีที่ 1 การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก เป็นไปได้ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูง ทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง เครื่องบินจึงดิ่งลงสู่มหาสมุทร ถูกดูดกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว ทฤษฎีที่ 2 ประตูมิติ เป็นไปได้ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแรงโน้มถ่วง ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างที่เชื่อมต่อกับอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ เมื่อวัตถุหลุดผ่านเข้าไปอีกมิติแล้ว จะไม่สามารถกลับมาได้อีกทฤษฎีที่ 3 เทคโนโลยีชั้นสูง เป็นไปได้ว่าอาจมีมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้นต้องการขโมยเรือหรือเครื่องบิน และสิ่งมีชีวิตลงไปใต้มหาสมุทรเพื่อศึกษาหรือทดลองบางอย่าง ข้อสันนิษฐานนี้ก็สอดคล้องกับรายงานที่ว่า มีผู้พบเห็นจานบินลึกลับร่อนไปร่อนมาเหนือสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอยู่หลายครั้ง ทฤษฎีที่ 4 กระแสน้ำวนมหาศาล นักประดาน้ำมักจะพบเห็น”ปล่องน้ำเงิน” อยู่ตามหุบผาใต้น้ำ และแหล่งหินปะการัง ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัส มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วยกระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี ปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง มีกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว ทฤษฎีที่ 5 ก๊าซมีเธน นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย รายงานว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีก๊าซมีเธนอยู่ใต้ท้องทะเลเป็นจำนวนมาก จนปะทุขึ้นเหนือท้องทะเล ซึ่งก๊าซมีเธนนี้ เมื่อขยายตัวเป็นวงกว้างแล้ว ไม่ว่าวัตถุใด ๆ เคลื่อนที่ผ่าน มันก็จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้จมลงสู่ห้วงทะเลลึกอย่างรวดเร็ว