ถึงแม้ว่า Apple จะเป็นบริษัทที่มีการดีไซน์และประกอบเครื่องโน๊ตบุ๊คออกมาอยู่ในระดับดีเยี่ยมโดยตลอด ทว่าไม่ว่าจะเป็น MacBook รุ่นไหนนั้นเราก็จะได้ยินกันครับว่ามันมีปัญหาจากเรื่องของการประกอบขึ้นมาจนได้ ล่าสุดนั้นทาง iFixit ได้มีการรายงานออกมาครับว่า MacBook Pro ของทาง Apple ที่มีการดีไซน์ตัวเครื่องมาใหม่นั้นก็เกิดปัญหาขึ้นเอาจนได้ โดยปัญหาดังกล่าวนั้นทางผู้ใช้ได้ให้ชื่อเล่นกับปัญหาดังกล่าวเอาไว้ครับว่า ‘Flexgate’ ครับ
ก่อนอื่นย้อนกลับไปในปี 2016 ที่ทาง Apple ได้มีการดีไซน์ตัวเครื่อง MacBook Pro ออกมาใหม่โดย ณ เวลานั้นได้มีการยกระดับในเรื่องของคีย์บอร์ดดีไซน์ ‘butterfly’ มาเป็นหนึ่งในจุดเด่นครับ ทว่าเจ้าคีย์บอร์ดนี่ล่ะครับที่ตอนนั้นเกิดปัญหาขึ้นในวงกว้างจนทำให้ Apple ต้องเครียดกันไปรอบนึงมาแล้ว พอกลับมาในปี 2018 ที่ผ่านมานั้น MacBook Pro เจ้ากรรมก็มีคนพบปัญหาเกิดขึ้นจนได้ครับ ทว่าปัญหาดังกล่าวนี้นั้นยังอยู่ในวงจำกัดไม่ได้มีการขยายกว้างเหมือนกับในปี 2016 ซึ่งเราก็ยังไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนครับว่าปัญหานี้จะขยายวงมากขึ้นหรือไม่
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ที่มีชื่อเล่นว่า ‘Flexgate’ นั้นก็คือปัญหาที่ตรงส่วนของหน้าจอทางด้านล่างนั้นไม่ได้ยึดติดชิดกันมาอย่างดีเท่าไรนักทำให้เกิดปัญหาไฟส่องสว่างสำหรับส่องไปที่ตัวหน้าจอเห็นกันออกมาเป็นริ้วๆ ตามภาพทางด้านบนครับ ปัญหานี้นั้นทาง iFixit นั้นได้ให้คำแนะนำเอาไว้ว่ามันน่าจะเกิดมาจากการที่ MacBook Pro ดีไซน์ใหม่นั้นได้เปลี่ยนมาใช้สายเคเบิลที่ยืดหยุ่นได้ง่ายแทนที่จะใช้เป็นสายลวดแบบดังเดิมตรงบริเวณบานพับหน้าจอทั้ง 2 ด้านครับ
จุดที่หนักมากยิ่งขึ้นก็คือเจ้าสายเคเบิลยืดหยุ่นนี้นั้นมันยึดติดกับตัวหน้าจอเลยโดยตรงซึ่งไม่สามารถที่จะทำการแยกออกมาซ่อมเฉพาะส่วนให้ซึ่งแน่นอนครับว่ามันย่อมทำให้การซ่อมแซมนั้นยากมากขึ้นกว่าเดิม โดยปัญหานี้นั้นอาจจะทำให้ผู้ที่เจอปัญหาดังกล่าวนี้นั้นมีความจำเป็นที่จะต้องทำการเปลี่ยนหน้าจอทั้งชุดทั้งๆ ที่ตัวหน้าจอนั้นไม่ได้มีการเสียหายแต่อย่างใดครับ ตามข้อมูลนั้นทาง iFixit ได้บอกครับว่าทาง Apple ได้ใช้วัสดุดังกล่าวมาตั้งแต่ในการเปลี่ยนดีไซน์ตอนปี 2016 แล้ว ดังนั้น MacBook Pro ตั้งแต่ปี 2016 มานั้นย่อมเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาดังกล่าว สำหรับรุ่นใดที่จะโดนบ้างนั้นไปดูกันครับ
สำหรับทุกท่านที่ใช้ MacBook Pro อยู่ในกลุ่มเสี่ยงนั้นขอให้สังเกตหน้าจอของท่านให้ดีครับ หากพบว่ามีปัญหาและยังอยู่ในระยะเวลาประกันอยู่ล่ะก็รีบเอาเข้าไปเปลี่ยนด่วนๆ ครับเพราะไม่งั้นแล้วคุณอาจจะได้เสียเงินในการเปลี่ยนหน้าจอใหม่ถึง $600 หรือประมาณ 20,000 บาทเลยทีเดียวครับ
ทยอยกันออกมาเรื่อยๆ กับ ASUS ZenBook อัลตร้าบุ๊คที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการออกแบบที่ล้ำสมัย นอกจากมีรูปร่างหน้าตาที่ชวนหลงใหลแล้ว ยังมาพร้อมกับหน้าจอขอบบาง บอดี้โลหะแข็งแรงทนทาน ขนาดเครื่องเล็ก น้ำหนักเบา แถมสเปค CPU ที่ได้ก็เป็นซีรีส์ใหม่ล่าสุดนั่นก็ถือตระกูล Whiskey Lake ของทางฝั่ง Intel นั่นเอง ซึ่งเป็นการเอา CPU ตระกูล Kaby Lake R มาพัฒนาเพิ่มสปีดให้แรงยิ่งขึ้นไปอีก และมีให้เลือกทั้งรุ่นที่เป็นจอ 13 นิ้ว 14 นิ้วหรือ 15 นิ้ว ครบทุกไซต์
โดนรุ่นที่ทีมงาน NBS ได้มารีวิวในบทความนี้จะเป็น ASUS ZenBook 15 UX533FD รหัส A9116T รุ่นท็อปที่ใช้ CPU เป็น Intel Core i7-8565U ผสานกับการ์ดจอ NVIDIA Geforce GTX 1050 Max-Q ประสิทธิภาพการใช้งานเล่นเกมได้สบายๆ ในราคา 45,900 บาท รีวิวข้างในจะเป็นยังไงบ้างไปดูกันเลยครับ
สเปคภายในของตัว ASUS ZenBook 15 UX533 รุ่นที่ทีมงาน NBS ได้มารีวิวจะเป็นตัวท็อปสุด โดยมาพร้อมขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล Full HD พาเนลคุณภาพสูงอย่าง IPS ซึ่งให้สีสันที่สวยสมจริง มุมมองกว้างถึง 178 องศา ด้านประสิทธิภาพ CPU ภายในเลือกใช้ชิปประมวลผล Intel Core i7-8565U ความเร็ว 1.8 GHz ที่สามารถเร่งการทำงานไปได้ถึง 4.6 GHz โดยเป็นชิปประหยัดพลังงานพิเศษ แบบ 4 Core/8 Thread ซึ่งแน่นอนว่าให้ทั้งความแรงและใช้งานได้ยาวนานรุ่นล่าสุดประจำตระกูล Whiskey Lake
หน้าจอติดตั้งมาขนาด 14 นิ้ว Full HD พาเนล IPS 60 Hz ปกติ ขอบบางทั้งสี่ด้านแบบ NanoEdge ส่วน Ram ก็ติดตั้งมาให้ขนาด 16 GB DDR4 Bus 2400 On Board พอเพียงต่อการใช้งาน ในส่วนของกราฟิกการ์ดก็เป็น NVIDIA GeForce GTX 1050 Max-Q (2GB GDDR5) รุ่นใหม่ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานรองรับ 3 มิติได้ดี เล่นเกมออนไลน์ได้สบายๆ สำหรับความจุตัวเครื่องเลือกใช้ SSD m.2 PCIe ขนาด 512 GB ส่วนมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายก็เป็นแบบ Wi-Fi Dual-band 802.11ac gigabit-class และ Bluetooth 5.0 ล่าสุด
นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับกล้อง 3D IR HD camera ที่สามารถใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อปลดล็อคตัวเครื่องได้อีกด้วย น้ำหนักตัวเครื่องก็หนักเพียง 1.67 กิโลกรัม แถมมีไฟคีย์บอร์ด Backlit สีขาว พร้อมกับมี Windows 10 แท้ในตัว การรับประกัน 2 ปีเต็ม ราคา 45,990 บาท
สำหรับผู้ใช้งานกราฟิกการ์ดที่ใช้ชิปกราฟิก RTX 2000 ซีรีส์นั้นน่าจะพอคุ้นเคยกับฟีเจอร์ใหม่อย่าง OC Scanner ที่จะเข้ามาช่วยในการ Overclocked ความเร็วสัญญาณนาฬิกาของทั้งตัวชิปกราฟิก, หน่วยความจำและกระแสไฟที่ชิปกราฟิกใช้ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุดครับ แน่นอนว่าฟีเจอร์ดังกล่าวนั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับผู้ใช้ที่อาจจะยังไม่ค่อยมีความรู้ในด้านการ OC กราฟิกการ์ดมากเท่าไรนัก แต่ทว่าฟีเจอร์ดังกล่าวนั้นก็ถูกจำกัดอยู่บนชิปกราฟิก RTX 2000 ซีรีส์เท่านั้นครับ
อย่างไรก็ตามแต่แล้วครับสำหรับผู้ที่ใช้ชิปกราฟิกสถาปัตยกรรม Pascal หรือในซีรีส์ GTX 1000 นั้นก็มีข่าวดีแล้วครับเนื่องจากว่าทาง MSI ได้เปิดตัวโปรแกรม MSI Afterburner เวอร์ชัน 4.6.0 beta 10 ออกมาซึ่งได้มีการนำฟีเจอร์ดังกล่าวนี้นั้นมาให้ผู้ใช้ชิปกราฟิกสถาปัตยกรรม Pascal หรือในซีรีส์ GTX 1000 มาให้ได้ใช้กันด้วยครับ งานนี้เรียกได้ว่าผู้ใช้ชิปกราฟิกสถาปัตยกรรม Pascal หรือในซีรีส์ GTX 1000 ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ เลยครับ
นอกเหนือไปจากที่จะมีการนำฟีเจอร์ OC Scanner มาให้ผู้ใช้ชิปกราฟิกสถาปัตยกรรม Pascal หรือในซีรีส์ GTX 1000 ได้ใช้กันแล้วนั้น บนโปรแกรม MSI Afterburner เวอร์ชัน 4.6.0 beta 10 ยังได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ เข้ามาอีกมากมายซึ่งที่น่าสนใจนั้นจะมีดังต่อไปนี้ครับ
จริงแล้วนั้นโปรแกรม MSI Afterburner เวอร์ชัน 4.6.0 beta 10 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ อีกมากมายครับ แต่ด้วยความที่ตัวโปรแกรมนั้นยังเป็นเวอร์ชัน beta อยู่ดังนั้นจึงยังไม่ค่อยอยากจะนำผู้ใช้ทำการใช้งานมากเท่าไรเพราะอาจจะเจอข้อผิดพลาดในการใช้งานขึ้นมา แต่สำหรับขาแรงที่อย่างลองของก็สามารถไปโหลดได้ที่ MSI Afterburner เวอร์ชัน 4.6.0 beta 10 ได้เลยครับ
หมายเหตุ – โปรแกรม MSI Afterburner นั้นมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งซึ่งนั่นก็คือมันไม่ได้จำกัดการใช้งานกับเฉพาะกราฟิกการ์ดที่ของทาง MSI อย่างเดียวเท่านั้นครับ
เดลล์ ประเทศไทย จับมือ เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำผู้จัดจำหน่ายด้านไอทีชั้นนำของประเทศ เปิด Alienware Experience Store แห่งเดียวในประเทศไทย ณ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ภายในร้านพร้อมนำเสนออุปกรณ์ gaming ที่ครบถ้วนทั้งแล็บท็อป เดสก์ท็อป จอมอนิเตอร์ และอุปกรณ์เสริมสำหรับการเล่นเกมแบบครบครันทั้งพรีเมี่ยมแบรนด์อย่าง Alienware ตลอดจนถึง Dell G Seriesแล็ปท็อปเกมมิ่งความแรงสูงในราคาที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้
“Alienware Experience Store ที่เปิดตัวในวันนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายและกลยุทธ์ด้าน go-to-market ของเรา ที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงความพร้อม และความครบถ้วนสมบูรณ์ของโซลูชันทางด้านเกมที่พร้อมให้ลูกค้าของเราได้สัมผัสประสบการณ์ตรงกับสมรรถนะและประสิทธิภาพของอุปกรณ์และดีไวซ์ด้าน Gaming ทั้งของ Alienware และเดลล์ ได้โดยตรง”
นายอโณทัย เวทยากร รองประธานบริหาร เดลล์ อีเอ็มซี ตลาดเกิดใหม่ภูมิภาคเอเชีย และธุรกิจคอนซูเมอร์ภูมิภาคเอเชียใต้ กล่าว “ไม่เพียงแค่มอบความสะดวกสบายให้กับกลุ่มเกมเมอร์มืออาชีพ และผู้เล่นเกมทั่วไปในการเลือกซื้ออุปกรณ์เกมที่ทันสมัย เรายังตั้งใจให้ Alienware store แห่งนี้รองรับความต้องการของกลุ่มคนทำงานมืออาชีพด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบ นักสร้างสรรค์งานกราฟิค หรืออื่นๆ ที่มองหาดีไวซ์ประสิทธิภาพสูงในการทำงาน ได้มาลองสัมผัสการทำงานของ Alienware ได้โดยตรงอีกด้วย ขณะเดียวกัน ที่นี่ยังแบ่งพื้นที่เป็นโซนต่างๆ เพื่อประสบการณ์การใช้งาน อาทิ โซนVR ที่พร้อมมอบประสบการณ์การดื่มด่ำเข้าสู่โลกของ virtual reality อย่างสมจริงอีกด้วย”
ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้นั้นทาง WCCFTech นั้นได้มีการเผยรายงานที่น่าสนใจออกมาครับว่า ผู้ผลิตไม่ว่าจะเป็นทั้งในส่วน original design manufacturers (ODMs) และ original equipment manufacturer (OEMs) ต่างก็จะยังคงไม่มีการเปิดตัวโน๊ตบุ๊คที่จะใช้งานหน่วยประมวบผลของทาง AMD ที่มาพร้อมกับกระบวนการผลิตระดับ 7 nm ในช่วงที่มีทาง AMD เปิดตัวหน่วยประมวลผลออกมาซึ่งมีกำหนดการอยู่ในช่วงต้นปี 2020 ที่จะถึงครับ
ตามรายงานนั้นได้ระบุเอาไว้ครับว่าถึงแม้หน่วยประมวลผลที่ระดับ 7 nm นั้นจะนำเอาประสิทธิภาพต่อพลังงานที่ดีกว่ากระบวนการผลิตแบบเดิมมาสู่เครื่องโน๊ตบุ๊คนั้น ทว่าผู้ผลิตหลายๆ หลายทั้งในส่วนของ ODMs อย่างเช่น Clevo(ซึ่งมีการผลิตเครื่องโน๊ตบุ๊คให้กับแบรนด์ Origin) รวมไปถึง OEMS อย่างเช่น MSI เองนั้น ได้ปฎิเสธอย่างชัดเจนที่จะทำการผลิตโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน่วยประมวลผลที่มาพร้อมกับกระบวนการผลิตที่ระดับ 7 nm ของทาง AMD นี้ครับ
นอกไปจากนั้นแล้วทาง WCCFTech เองนั้นก็ยังมีการยืนยันอย่างชัดเจนครับว่าทางผู้ผลิตรายอื่นๆ เช่น Acer, ASUS และ HP เองนั้นมีโน้ตบุ๊คใหม่แน่นอน แต่ก็ไม่ค่อยจะเต็มใจนักเช่นเดียวกันที่จะออกผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลใหม่ของทาง AMD นี้ โดยเหตุผลนั้นหลายๆ บริษัทให้ข้อมูลค่อนข้างจะตรงกันครับว่าเป็นเพราะเรื่องของการให้การบริการสนับสนุนหลังการขายของทาง AMD นั้นไม่ดีนักซึ่งจุดนี้ทำให้ทางผู้ผลิตหลายๆ รายไม่กล้าที่จะนำเอาเทคโนโลยีใหม่ของทาง AMD มาใช้อันเนื่องมาจากว่าหากเกิดปัญหาขึ้นมานั้นทางบริษัทก็ต้องแก้ไขปัญหากันอย่างหนักเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่นั่นเองครับ
ตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โน้ตบุ๊คจอใหญ่ 17.3 นิ้วมักจะมีขอบหนา เครื่องใหญ่ และหนักระดับ 3.0 กิโลกรัมขึ้นไป แต่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันที่สามารถให้โน้ตบุ๊คจอ 17.3 นิ้วมีขอบที่บางลง ทำให้ขนาดบอดี้เครื่องเท่ากับโน้ตบุ๊ค 15.6 นิ้วปกติ แถมตัวเครื่องนั้นยังคงใช้สเปคที่มีประสิทธิภาพสูงได้ปกติ บอกเลยว่าต่อไปเกมมิ่งโน้ตบุ๊คทุกๆ รุ่นจะมาพร้อมกับขอบหน้าจอบางแน่นอนในปี 2019
และในช่วงท้ายปี 2018 นี่เอง ทีมงาน NBS ก็ได้โอกาสมารีวิวเกมมิ่งโน้ตบุ๊ครุ่นใหญ่อย่าง MSI GE75 8RF 008TH Raider (Demo) ที่เป็นรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวจากทาง MSI โดยซีรีส์ GE อีกก็ถือเป็นเกมมิ่งโน้ตบุ๊คระดับบน สเปคแรง เน้นในส่วนของหน้าตาตัวเครื่องที่สวยงาม และมีการออกแบบมาให้มีความเรียบหรูและบางเบากว่าเดิม พร้อมกับฟีเจอร์มากมายจัดเต็มไม่มีกั๊ก ที่สำคัญตัวเครื่องมาพร้อมกับ Intel Core i7-8750H + NVIDIA GeForce GTX 1070 + หน้าจอ 17.3 ขอบบาง Full HD IPS 144 Hz ในราคาเริ่มต้นที่ 65,900 บาท รีวิวข้างในจะเป็นอย่างไรบ้างไปดูกันเลยครับ
MSI GE75 8RF ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7-8750H (2.20 – 4.10 GHz) ทำงานแบบ 6 Core/12 Thread ประสิทธิภาพแพร้อมกราฟฟิการ์ดตัวแรงระดับ Desktop อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1070 (8GB GDDR5) มีที่เก็บข้อมูล 1 TB 7200 RPM พร้อม SSD m.2 NVMe 256 GB หนึ่งแถว (ใส่ SSD m.2 ได้ 2 แถว)ในส่วนของ Ram เองมีมาให้ 8 GB แบบ DDR4 จำนวน 1 แถว Bus 2666 อัปเกรดได้สูงสุด 32 GB (ใส่ Ram ได้ 2 แถว)
นอกจากนี้มาพร้อมจอแสดงผลแบบด้าน 17.3 นิ้ว ที่ความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS ให้จอแสดงผลมีมุมมองกว้าง สวยงาม ไม่ว่าจะดูหนังหรือเล่นเกมก็สามารถใช้ได้ดีชัดเจน ลำโพงก็เลือกใช้ซอฟแวร์ของ Nahimic เวอร์ชั่น 3 ทำให้สามารถขับเสียง ลำโพง Giant Speaker 4 ตัว ใหญ่กว่ารุ่นเดิม 5 เท่า ทำให้ขับเสียงได้ดียิ่งกว่าเดิม พร้อมด้วยกล้องเว็บแคมความละเอียด HD (720p) และมีไมค์ดิจิตอล 2 ตัว
ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง HDMI, mini Display Port, 1x USB3.1 Gen2 Type-C , 2x USB 3.1 Gen1 Type-A , 1x USB3.1 Gen2 Type-A , Kensington lock slot, 2-in-1 SD, Lan RJ-45, รูหูฟังกับไมค์แบบแยกออกจากกัน พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Wi-Fi 802.11 ac Killer + Bluetooth v5 ตัวเครื่องน้ำหนัก 2.61 กิโลกรัม พร้อม Windows 10 แท้ สนนราคาเริ่มต้น 65,900 บาท ประกัน 2 ปีเต็ม
ในงาน CES 2019 นั้นผู้ผลิตโน๊ตบุ๊คหลายๆ บริษัทได้ทำการเปิดตัวโน๊ตบุ๊ครุ่นอัพเกรดที่มาพร้อมกับชิปกราฟิกซีรีส์ RTX 2000 มาอย่างมากมายครับ Alienware m15 เองนั้นก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับการอัพเกรดเช่นเดียวกัน ทว่าด้วยความที่มาพร้อมกับชิปกราฟิกรุ่นใหม่นั้นสิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยก็คือเรื่องของราคาที่จะสูงมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม อย่างไรก็แล้วแต่ครับ Alienware m15 นั้นยังคงมีตัวเลือกชิปกราฟิกรุ่นเก่าในซีรีส์ GTX 1000 ให้ผู้ใช้ได้ทำการได้เลือกอยู่แถมราคานั้นก็ลดลงมาอยู่ในระดับที่หากไม่คิดอะไรมากแล้วก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาครับ ลองมาดูกันครับว่า Alienware m15 รุ่นที่มาพร้อมกับชิปกราฟิก GTX 1070 Max-Q นั้นจะน่าสนใจมากแค่ไหน
Alienware m15 นั้นจะเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมที่เน้นขนาดเครื่องเล็กกว่ารุ่นปกติครับ โดยทาง Alienware นั้นได้มีการเปิดตัวโน๊ตบุ๊ครุ่นดังกล่าวนี้มาในช่วงเดือนตุลาคม 2018 ที่ผ่านมาแล้วเริ่มมีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตัวเครื่องนั้นจะมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Core i7-8750H พร้อมด้วยกราฟิกชิป GTX 1060 เป็นมาตรฐาน ทว่าผู้ใช้สามารถเลือกเปลี่ยนชิปกราฟิกเป็นรุ่น GTX 1070 Max-Q ได้ ซึ่งแน่นอนว่าหากคุณมีงบประมาณถึงล่ะก็การเปลี่ยนชิปกราฟิกเป็นรุ่นที่ใหญ่กว่าก็จะทำให้การเล่นเกมของคุณนั้นแรงมากขึ้นกว่าเดิมครับ
นอกไปจากนั้นแล้ว Alienware m15 ยังมาพร้อมกับตัวเลือกความละเอียดของหน้าจอมากมายให้เลือกกันอย่าง 1080p60, 1080p@144, 2160p@60 หรือ 4K UHD โดยราคาของรุ่นท๊อปสุดที่เลือกใช้หน้าจอความละเอียด 4K UHD พร้อมทั้งชิปกราฟิกเป็นรุ่น GTX 1070 Max-Q นั้นจะอยู่ที่ $1,900 หรือประมาณ 60,600 บาทซึ่งถือว่าไม่สูงมากเกินไปนักกับ Alienware ครับ(และตอนนี้ราคาได้ลดลงอีกเนื่องจากมีการเปิดตัวรุ่นที่มาพร้อมกับชิปกราฟิกซีรีส์ RTX 2000 แล้วครับ)
สำหรับสเปคของ Alienware m15 ที่ทาง NotebookCheck ใช้ในการทดสอบมีดังต่อไปนี้ครับ
ถ้า AMD กำลังมาแรงในตลาดหน่วยประมวลผล NVIDIA เองก็ยังคงมาแรงในตลาดชิปกราฟิกแบบยังคงไร้คู่แข่งเรื่อยๆ จริงๆ ครับ ถึงแม้ว่าจะพึ่งมีการเปิดตัวและวางหน่วยชิปกราฟิกซีรีส์ RTX 2000 สถาปัตยกรรม Turing ไปได้ไม่นาน
ล่าสุดนั้นได้มีรายงานเผยชิปกราฟิกสถาปัตยกรรมรุ่นถัดไปของทาง NVIDIA อย่าง Ampere ออกมาแล้วครับว่าจะใช้กระบวนการผลิตที่ระดับ 7 nm extreme ultraviolet lithography (EUV) ของทาง Samsung และกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการและการจัดจำหน่ายนั้นน่าจะอยู่ในปี 2020 ที่จะถึงนี้ครับ
สำหรับกระบวนการผลิตที่ระดับ 7 nm extreme ultraviolet lithography (EUV) ของทาง Samsung นั้นจะมีจุดพิเศษอยู่ที่การใช้ plasma laser ในการผลักวัสดุซิลิกอนเข้าไปในโครงสร้างของทรานซิสเตอร์ขนาด 7 nm ครับ ด้วยกรรมวิธีดังกล่าวนี้นั้นก็จะทำให้บน SOC ของชิปกราฟิกสถาปัตยกรรม Ampere นั้นสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่ากระบวนการผลิตที่ระดับ 7 nm ของผู้ผลิตรายอื่นๆ
ทว่าอย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นหากไม่มีอะไรผิดพลาด Ampere ก็ไม่ได้เป็นชิปกราฟิกรุ่นแรกของโลกที่ใช้กระบวนการผลิตที่ระดับ 7 nm ครับเนื่องจากว่าทาง AMD นั้นมีกำหนดการจะเปิดตัวชิปกราฟิกสถาปัตยกรรม Navi ที่ใช้กระบวนการผลิตที่ระดับ 7 nm ก่อนในเดือนกรกฎาคม 2019 ที่จะถึงนี้แล้วครับ
NVIDIA ร้อง “การ์ดจอ RTX ขายไม่ออก” โดยในวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา ทางสื่อต่างประเทศอย่าง PCGamer ได้ออกมารายงานว่า CEO Nvidia นายเจนเซน หวง ผู้พัฒนาชิพการ์ดจอประมวลผล ได้ออกมากล่าว แสดงความเสียใจ และ ความผิดหวังต่อยอดจำหน่ายของ การ์ดจอ รุ่นใหม่ RTX (GeForce RTX) ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน CES 2019 ที่ผ่านมาไม่นาน สร้างความผิดหวังให้กับทางบริษัทอย่างมาก
ความผิดหวังเกิดนี้ขึ้นหลังจากที่ทาง Nvidia ได้เปิดเผยกำไร ของปีสุดท้าย 2561 โดยกำไรคาดว่าจะอยู่ที่ 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6.9 หมื่นล้านบาท โดนต่ำกว่าที่คาดการ์ณไว้ที่ 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8.5 หมื่นล้านบาท สร้างความผิดหวังให้กับ Nvidia เป็นอย่างมาก
แต่ทาง Nvidia ได้ออกมากล่าวว่า ปัจจัยหลักๆ นั้นอยู่ที่ การพัฒนาทางเศรษฐกิจของโลกนั้นลดลง ทำให้ความต้องการในการใช้การ์ดจอเล่นเกมนั้นลดลง โดยเฉพาะประเทศที่มีประชากรสูงอย่าง จีน
ทางด้าน นาย Paul Lilly จาก PCGamer ได้บอกว่า เป็นเพราะ ผลกระทบจาก สกุลเงินคริปโตที่มาแรง ทำให้ยอดขายของ Nvidia นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่พอช่วงที่ สกุลเงินคริปโต ได้ซาลงไป ทำให้ความต้องการการ์ดจอนั้นลดลง และ การ์ดจอที่ทาง Nvida ผลิตไว้เพื่อรองรับ ตลาดคริปโต นั้นค้างสต็อกอยู่เป็นจำนวนมาก
โดย การ์ดจอ Nvidia RTX รุ่นใหม่ ที่หวังจะนำมาทำกำไรเป็นหลัก ได้โดยทางสื่อต่างประเทศวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง เนื่องจากฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดอย่าง การเรนเดอร์แสงเงาแบบเรียลไทม์ (Real-time Ray tracing) และการลบรอยหยักด้วยปัญญาประดิษฐ์ (DLSS) ในตอนนี้แทบไม่มีเกมใดสนับสนุน และปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ราคา เนื่องจาก การ์ดจอ RTX นั้น ราคาสูงกว่าตัวก่อนมากๆ อีกทั้งยังโดนวิจารณ์ ว่าใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ล้าหลัง 12 นาโนเมตร ทำให้กินไฟมากกว่าเดิม แทนที่จะเป็น 7 นาโนเมตร
โดย Nvidia RTX 2080 ตัวท็อปสุดของทางค่ายนั้นได้เปิดตัวมาราคาสูงลิ่ว เกือบ 5 หมื่นบาท แต่มี CUDA core มากกว่า GTX 1080 อยู่ไม่มาก แต่ราคาแพงกว่าถึง 2 เท่า
ทางด้าน นายหวง CEO ของ NVIDIA ได้กล่าวว่า “ทางบริษัทนั้นแข็งแกร่ง และเคยเอาชนะความท้าทายมากมายมาได้ เราจะทิ้งความผิดหวังนี้ไว้ และกลับมาใหม่ และ แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”
ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานั้นเราได้เห็นการพัฒนาสิทธิบัตรสำหรับสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอแบบสามารถพับได้ออกมาอย่างมากมายเลยทีเดียวครับ ทว่าอย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นจนมาถึงปัจจุบันนี้ที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2019 แล้วก็ยังคงไม่เห็นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่มาพร้อมกับหน้าจอที่สามารถพับได้ออกมาวางจำหน่ายสักที
ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ครับว่าการพัฒนาเพื่อจำหน่ายจริงนั้นอาจจะลำบากพอสมควรเพราะอาจจะต้องเจอกับปัญหาอะไรหลายๆ อย่างมากเลยทีเดียว ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วถึงจะยังคงไม่มีออกมาจำหน่ายแต่การได้เห็นบริษัทผู้ผลิตจดสิทธิบัตรสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแบบที่มาพร้อมกับหน้าจอที่สามารถพับได้ออกมาเรื่อยๆ นั้นก็พอที่จะทำให้เราคาดเดาได้ครับว่าคงอีกไม่นานนักที่เราจะได้เห็นการวางจำหน่ายจริงกัน
สำหรับสิทธิบัตรล่าสุดที่พึ่งมีการเปิดเผยออกมาไม่นานนี้นั้นเป็นของทาง LG ครับ โดยจุดที่น่าสนใจนั้นก็คือสิทธิบัตรดังกล่าวได้มีการจดรูปแบบของตัวเครื่องรวมไปถึงในเรื่องของการใช้งานต่างๆ สำหรับทั้งแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนซึ่งเจ้าหน้าจอดังกล่าวนั้นสามารถที่จะทำการม้วนเก็บได้เลยครับ
จากรูปแบบของตัวสิทธิบัตรนั้นจะเห็นได้ครับว่าเจ้าสมาร์ทโฟนและแท๊บเล็ตตามสิทธิบัตรนี้นั้นจะมาพร้อมกับส่วนของตัวเครื่องที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดที่ติดตั้งฮาร์ดแวร์ต่างๆ เอาไว้อยู่ทางด้านข้างทั้ง 2 ข้างของตัวหน้าจอ โดยสิทธิบัตรนั้นได้โชว์รูปแบบการใช้งานของอุปกรณ์ดังเกล่าวนี้ทั้งในรูปแบบที่เป็นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต เอาเป็นว่าลองไปดูกันต่อครับว่ามันน่าจะสนใจมากแค่ไหน
ถือได้ว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียวครับ ทั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงพอควรครับที่ทาง LG อาจจะนำเอาตัวเครื่องต้นแบบที่มาจากสิทธิบัตรดังกล่าวนี้มาเผยกันให้เห็นในงาน CES 2019 นี้ งานนี้ถ้าทาง LG ทำได้จริงๆ แล้วล่ะก็เราได้เห็นการแข่งขันในตลากสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่มาพร้อมกับหน้าจอพับได้วุ่นกันทั้งวงการแน่ๆ ครับ
ในที่สุดก็ใกล้ถึงเวลาแล้วที่ โน้ตบุ๊ค ที่มีการ์ดแสดงผล GeForce RTX จะออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เปิดตัวในงาน CES 2019 โดยรายละเอียดหลักๆ ของตัวการ์ด RTX 2080 Max-Q นั้นมีหลายอย่างที่แตกต่างกับ RTX 2080 ที่อยู่บนเดสก์ท็อป จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างไปดูกันเลย
เป็นข่าวดีสำหรับแฟนๆ โดยการ์ดจอ RTX บนโน้ตบุ๊คนั้นเป็นตัวเดียวกับบนเดสก์ท็อป โดยจะมี รุ่น RTX 2060, Max-Q RTX 2070 และ Max-Q RTX 2080 แต่จากข้อมูลที่ทราบมา น่าเสียดายที่ Boost Clock และ Base Clock ของตัวการ์ด RTX 2080 Max-Q นั่นโดนลด Clock ต่ำกว่ารุ่นบนเดสก์ท็อปถึง 50% รวมถึง Giga Rays ที่โดนลดจาก 8 เหลือ 5 ส่วนทางด้าน RTX 2070 Max-Q ก็โดนลดด้วยเช่นกัน
ยังโชคดีที่ทาง CUDA Core ใน RTX 2080 Max-Q นั้นยังคงมีเท่า RTX 2080 บนเดสก์ท็อป คาดว่าที่ทาง Nvidia ปรับลด Clock ลงมาขนาดนี้ น่าจะเพื่อทำให้ความร้อนต่ำและไม่สูงมากจนเกินไป ส่วนประสิทธิภาพเราก็ต้องรอดูผลทดสอบหลังจากที่ตัวเครื่องวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีกที
มาดูกันที่ RTX 2080 แบบ ปกติ ไม่ใช่ Max-Q กันบ้าง ด้าน CUDA Cores ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงที่ 2944 Core ส่วน RTX-OPS นั้นเพิ่มมาเป็น 53T จากตัว Max-Q ที่มีแค่ 37T ด้าน Giga Rays มีให้ที่ 7 ยังถือว่าต่ำกว่า RTX 2080 บนเดสก์ท็อป หากเทียบกับ RTX 2080 Ti ที่มีถึง 10 และจำนวน CUDA Cores ที่สูงถึง 4352 ส่วน Boost Clock ของ RTX 2080 นั้นอยู่ที่ 1590 มากกว่า ตัว Max-Q จาก 1095
สรุปง่ายๆ เลยก็คือ RTX 2080 โน้ตบุ๊คนั่นให้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับ RTX 2080 บนเดสก์ท็อป เลยทีเดียว
สำหรับโน้ตบุ๊คที่จะเปิดตัวด้วยกราฟิก GeForce RTX นั่นจะมีรุ่นที่น่าสนใจ คือ Alienware Area-51m ที่จะใช้ RTX 2080 ที่กำลังไฟ 180w เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับ RTX2080 บนเดสก์ท็อปให้มากที่สุด
สำหรับมอนิเตอร์เพื่อการเล่นเกมนั้น Acer ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ผู้ใช้นิยมใช้งานกันเป็นอย่างมากครับ ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้นั้นทาง Acer ได้ทำการเปิดตัวมอนิเตอร์สำหรับการเล่นเกมในซีรีส์ Predator เพิ่มออกมาอีกรุ่นกับ XR343CKP ที่มาพร้อมกับพาเนลหน้าจอแบบ IPS ขนาด 34 นิ้วแบบโค้งรองรับความละเอียดที่ระดับ 3440 x 1440 pixels(ultrawide อัตรส่วนหน้าจออยู่ที่ 29 : 1) refresh rate อยู่ที่ 100 Hz, response time อยู่ที่ 1 ms รองรับเทคโนโลยี FreeSync ครับ
contrast ratio ของหน้าจอจะอยู่ที่ 1,000:1 พร้อมความสว่างต่ำสุดที่ 350 cd/m² มุมมองของหน้าจออยู่ที่ 172/178 องศา รองรับการแสดงสีมากถึง 1.07 พันล้านสี และครอบคลุมความกว้างของสีแบบ sRGB พอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้นจะประกอบไปด้วย HDMI, DisplayPort และ USB จำนวน 5 พอร์ต ทั้งนี้ Predator XR343CKP เริ่มวางจำหน่ายแล้วสนนราคาจะอยู่ที่ $1799 หรือประมาณ 58,520 บาทครับ
สำหรับใครที่ชอบเล่นคอม ปลายปีแบบนี้น่าจะเป็นช่วงที่ดีของหลายๆ คน แม้บางท่านอาจบอกว่า มีงบประมาณอยู่นิดหน่อย แต่ก็อยากจะ อัพเกรด คอมให้ดูดีขึ้น วันนี้เราลองมาดูกันว่า ถ้าวันนี้คุณมีเงินแค่ 1900 บาท คุณจะเลือกอัพเกรดอะไรได้บ้าง และมีอะไรน่าสนใจกันบ้าง?
เปลี่ยนเคสดูดีมั้ย?
เคสเป็นเหมือนอะไรที่มีผลต่อความรู้สึกเมื่อเห็นได้ดีทีเดียว เพราะเมื่อคุณเปลี่ยนแล้ว จะรู้สึกเหมือนได้เครื่องใหม่ เวลานี้เคสหลายรุ่นฟังก์ชั่นดี ออกแบบสวย เช่น มีพัดลมไฟสวยๆ หน้าตาทันสมัย หรือจะเป็นกระจกข้างใสเทมเปอร์กลาส ราคาเริ่มต้นแค่พันกว่าบาทเท่านั้น
ถ้าอยากได้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เช่นเปิดเครื่องเร็ว เปิดโปรแกรมได้ไวหรือจะก็อปปี้ไฟล์ได้ดียิ่งขึ้น อาจจะเลือก อัพเกรด ได้ทั้งการเพิ่มแรม DDR4 8GB หรือเพิ่ม SSD ก็น่าสนใจ สำหรับงบประมาณ 1,900 บาทนี้อัพเกรดอะไรได้บ้าง มาดูกันครับ
แต่ถ้าความเร็วเป็นเรื่องรอง แต่อยากได้ความจุในการเก็บข้อมูลมากขึ้น ฮาร์ดดิสก์ก็เป็นทางเลือกที่ดีๆ ที่ตอบความต้องการของคุณได้ ในงบประมาณ 1,900 บาท คุณจะเลือกแบบ Internal หรือ External Drive ก็ได้เช่นกัน
สำหรับทางฝั่ง Sony นั้นมีข้อมูลของ PlayStation 5 คอนโซลรุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนาอยู่ออกมาอย่างต่อเนื่องครับ ทว่ากลับกันแล้วในส่วนของคู่แข่งอย่าง Xbox จาก Microsoft นั้นมีแทบจะน้อยมากเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีข้อมูลน้อยนั้นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อมูลเลยครับ โดยเมื่อไม่นานมานี้นั้นนักวิเคราะห์ตลาดอย่างคุณ Michael Pachter ได้ออกมาบอกเอาไว้ครับว่า Xbox รุ่นต่อไปที่ทาง Microsoft กำลังพัฒนาอยู่นั้นอาจจะมาพร้อมกับความแรงในระดับที่เล่นเกมที่ความละเอียด 4K@240 FPS ได้แบบสบายๆ เลยครับ
ตามข้อมูลนั้นคุณ Michael Pachter ได้บอกเอาไว้ครับว่าทาง Microsoft นั้นน่าจะมีการเปิดตัว Xbox รุ่นถัดไปออกมา 2 โมเดลโดยโมเดลหนึ่งนั้นจะเน้นราคาถูกที่ไม่เกิน $100 หรือประมาณ 3,300 บาท ซึ่งโมเดลดังกล่าวนี้นั้นจะเล่นเกมผ่าน Streaming เป็นหลักและแน่นอนครับว่าเครื่องโมเดลดังกล่าวนี้นั้นจะไม่สามารถรันเกมที่ความละเอียด 4K@240 FPS ได้ ส่วนอีกโมเดลหนึ่งนั้นจะมีราคาอยู่ที่ราวๆ $400 หรือประมาณ 13,050 บาทโดยที่โมเดลนี้ล่ะครับที่จะสามารถรันเกมที่ความละเอียดระดับ 4K@240 FPS ได้แบบสบายๆ
อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นยังคงมีจุดที่น่าสงสัยอยู่อย่างหนึ่งครับเพราะตามข้อมูลนั้นระบุเอาไว้ว่า Xbox รุ่นใหม่นั้นจะใช้ชิปเซ็ทแบบเดียวกับ PlayStation 5 ซึ่งเป็นของ AMD โดยจะมาพร้อมกับชิปกราฟิกรุ่น Navi และหน่วยประมวลผลสถาปัตยกรรม Zen 2 และเพื่อให้สามารถที่จะรันเกมที่ความละเอียดระดับ 4K@240 FPS ได้นั้นทาง Microsoft น่าจะมีการทำงานกับทาง AMD ในการปรับแต่งตัวชิปเซ็ทให้มีความแรงมากกว่าปกติครับ
ในส่วนของรหัสการพัฒนา Xbox รุ่นใหม่ทั้ง 2 โมเดลนั้นก็คือ Lockhart และ Anaconda ซึ่งคุณ Michael Pachter ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ครับว่าน่าจะมีการเปิดตัวและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 2020 ที่จะถึงนี้ครับ
Review SanDisk Extreme Portable SSD – แม้พอร์ต USB จะพัฒนาให้มีความเร็วมากสักเพียงไหน ไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 หรือ Thunderbrot 3 แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้ตามความเร็วสูงสุดสักเท่าไรโดยเฉพาะฮาร์ดดิสค์ที่ถูกจำกัดด้วยเทคโนโลยีจานหมุนที่โอนถ่ายข้อมูลช้า จึงมีผู้ผลิตได้พัฒนาหน่วยความจำพกพาที่ใช้ SSD ซึ่งทำให้โอนถ่ายข้อมูลได้เร็วตามพอร์ตเชื่อมต่อไม่แพ้ SSD ในเครื่อง อีกทั้งยังทนทานและมีขนาดที่เล็กกว่ามากอย่างในรีวิว SanDisk Extreme Portable SSD ที่ทีมงานจะมาแนะนำในวันนี้
SanDisk Extreme Portable SSD เป็นหน่วยความจำแบบ SSD หรือ Solid State Drive ที่ออกแบบมาเพื่อการพกพาด้วยขนาดกะทัดรัดเล็กกว่าฮาร์ดดิสค์ทั่วไปถึง 1 ใน 10 ก็ว่าได้ ทำให้สามารถจัดเก็บพกพาได้สะดวก หรือจะห้อยเป็นวงกุญแจก็ยังได้ อีกทั้งยังการันตีถึงความแข็งแรงทนทาน กันน้ำกันกระแทกได้ด้วย
โดยเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB Type-C เชื่อมต่อได้ทั้ง Macbook และ PC ด้วยสายแบบ USB C to C หรือจะเชื่อมต่อผ่าน USB Type A ก็ได้ผ่านหัวแปลงที่แถมมา และทีสำคัญคือเรื่องของความเร็วการอ่านเขียนข้อมูลระดับ 550 MB/s เต็มสูบใบแบบฉบับ SSD โดยมีความจุให้เลือกตั้งแต่ 250 GB ไปจนถึง 2 TB เลยทีเดียว
แต่ละรุ่นจะต่างแค่ความจุ แต่ความเร็วอ่านเขียนและสเปคอื่นๆจะเหมือนกันหมด รองรับการกันน้ำที่มาตรฐาน IP55 ทนต่อแรงกระแทกและแรงสั่นสะเทือนอีกด้วย
SanDisk Extreme Portable SSD ที่ทีมงานได้มาทดสอบเป็นรุ่นความจุ 500 GB พร้อมระบุความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลที่ 550 MB/s มาพร้อมสรรพและสเปคอื่นๆที่ระบุมาบนกล่องอย่างครบครัน ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่
อุปกรณ์ในกล่องจะมีตัว SanDisk Extreme Portable SSD ,สาย USB C to C ,หัวแปลง USB C to A และคู่มือ
หลุดจนไม่รู้จะหลุดขนาดไหนแล้วกับข้อมูลการ์ดจอ NVIDIA รุ่นใหม่ตระกูล GeForce RTX 20 series บนโน้ตบุ๊ค คราวนี้ข้อมูลหลุดมาจากผู้ผลิตโน้ตบุ๊คจากจีนแบรนด์ CJscope รุ่น HX-950 GX ที่ซึ่งได้ระบุว่าใช้ชิป GPU เป็น RTX 20xx หลายรุ่น พร้อมกับมีรหัสต่อท้ายที่เป็น MXM ด้วย
โดยจะมีทั้ง NVIDIA GeForce RTX 2080, RTX 2070 และ RTX 2060 ทุกรุ่นจะมีคำว่า MXM ต่อท้าย ซึ่งคาดว่าน่าจะหมายถึงตัวกำหนดค่าหลักและความเร็วของสัญญาณนาฬิกา (สามารถ OC เพิ่มได้)
นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือโน้ตบุ๊คทั้งสองรุ่นใช้การออกแบบให้ใช้ CPU เหมือนกัน PC Desktop อย่างเต็มรูปแบบพร้อมกับบอร์ดซ็อกเก็ตที่ใช้ซีพียู Intel Gen 9 ที่มีเมนบอร์ดเป็น Z370 PCH อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตัวเครื่องค่อนข้างหนาและดูหนักทำให้ในอนาคตต้องมีรุ่นที่เป็นแบบบางพร้อมการ์ดจอที่เป็น Max-Q แน่นอน
และจากข้อมูลที่หลุดออกมาจะเห็นได้ว่า GeForce RTX 2080 MXM จะใส่บนโน้ตบุ๊คระดับ High-End ซึ่งจะสามารถ OC ให้แรงขึ้นได้อีกและมี CUDA Core ถึง 2944 เลยทีเดียว VRAM 8 GB GDDR6 VRAM พร้อมบัสอินเตอร์เฟส 256 บิต โดยพื้นฐานแล้วสเปคจะเหมือนการ์ดจอ RTX 2080 บนเดสก์ท็อป แต่ความเร็วสัญญาณนาฬิกาจะคงอยู่ที่ฐาน 1515 MHz บูสได้สูงสุด 1847 MHz (กรณี OC จะได้ 1860 MHz+) ส่วน Memory Frequency อยู่ที่ 14 Gbps เท่ากันกับบนเดสก์ท็อป
อีกหนึ่งเครื่องเล่นเกมคอนโซลที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งนั้นคงหนีไม่พ้น PlayStation 5 ที่มีการคาดดารเอาไว้ว่าจะทำการเปิดตัวในปี 2019 และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 2020 ครับ โดยหลังจากที่พึ่งจะมีข่าวออกมาว่าคอนโซล Xbox รุ่นใหม่ของทาง Microsoft จะสามารถเล่นเกมได้ที่ความละเอียด 4K@ 240 FPS ไปได้ไม่นานนัก
สุดนั้นก็มีข่าวทาง PlayStation 5 ออกมาบ้างซึ่งดูแล้วเหมือนจะเป็นข่าวที่ออกมาบลัฟกันของทั้ง 2 บริษัทยังไงไม่รู้เนื่องจากว่าข่าวของ PS5 นั้นได้บอกเอาไว้ว่าจะสามารถเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 8K@120 FPS ได้แบบสบายๆ เลยครับ
ในงาน Inter BEE 2018 (International Broadcast Equipment Exhibition) ซึ่งได้มีการจัดขึ้นที่โตเกียวในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2018 ที่ผ่านมานั้นทาง Sony ได้มีการเผยถึงเทคโนโลยีทำสำหรับพาแนลหน้าจอตัวใหม่ซึ่งมีชื่อเรียกว่า CLEDIS หรือ Crystal LED Display System ออกมาครับ โดยพาเนลหน้าจอดังกล่าวนั้นจะรองรับความละเอียดที่ระดับ 8K (7680×4320) ที่ความถี่ระดับ 120 FPS ออกมาซึ่งแน่นอนครับว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนี้นั้นถือว่าไปได้ไกลมากขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากว่าหน้าจอในปัจจุบันที่แจ่มที่สุดนั้นคงหนีไม่พ้น Dell UP3218K ที่รองรับความละเอียดที่ระดับ 8K เช่นเดียวกันแต่ว่าความถี่ในการเปลี่ยนภาพนั้นจะอยู่ที่ 60 Hz เท่านั้น
ไม่เพียงแค่มีการแนะนำออกมาเท่านั้นนะครับเพราะว่าในงานดังกล่าวนั้นทาง Sony ได้มีการรันตัวอย่างเกม Gran Turismo ที่ความละเอียดระดับ 8K@120 FPS ออกมาด้วยเช่นเดียวกัน(ตามคลิปด้านบน) ซึ่งตามที่เห็นนั้นบอกได้คำเดียวครับว่ามันยอดมากจริงๆ ทว่าอย่างไรก็ตามตัวหน้าจอต้นแบบที่มีการนำมาโชว์นั้นมีขนาดใหญ่มากถึง 440 นิ้วซึ่งมีมุมมองในการมองกว้างถึง 180 องศา แน่นอนครับว่าเรายังคงไม่รู้ครับว่าทาง Sony นั้นจะนำเทคโนโลยีพาเนล CLEDIS มาใช้กับหน้าจอทีวีทั่วไปเมื่อไร
ทั้งนี้แล้วนั้น CEO ของ Polyphony Digital ได้เคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ครับว่าการพัฒนารถในเกม GT สักคันนั้นใช้เวลามากกว่า 6 เดือนที่จะให้มีความละเอียดสูงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นแล้วเรื่องดังกล่าวนี้ก็ค่อนข้างมีความเป็นไปได้พอสมควรที่ทาง Sony จะพัฒนาให้ PS5 สามารถรันเกมได้ที่ความละเอียดขนาดนี้ ที่น่าสงสัยก็คือชิปเซ็ทจากทาง AMD ที่ทาง Sony เลือกใช้นั้นจะแรงขนาดไหนถึงจะสามารถทำได้แจ๋งขนาดนี้ครับ ยังไงก็คงต้องดูกันต่อไปครับ
Linksys Velop AC3900 – แม้ว่า modem ของอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงตามบ้านในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ตแบบ ADSL หรือ FTTX หรือจะ DOCSIS ก็ตาม มักจะเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นทั้ง modem และ router ที่กระจายสัญญาณ WiFi ในตัวด้วยก็ตาม แต่ด้วยการเป็นอุปกรณ์แบบออลอินวัน
ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานในบางจุดอาจจะไม่เทียบเท่ากับอุปกรณ์ที่ออกแบบมาทำหน้าที่เฉพาะทาง และที่สำคัญ พวกอุปกรณ์แบบออลอินวันมักจะพบปัญหาเมื่อต้องใช้งานในที่อยู่อาศัยที่มีหลายห้อง หลายชั้น เนื่องจากความเข้มของสัญญาณ WiFi ไม่มากพอที่จะทะลุกำแพงมาหาผู้ใช้งาน
ซึ่งที่ผ่านมา วิธีแก้ไขปัญหาก็เช่น การซื้อ access point มาเป็นตัวรับและช่วยกระจายสัญญาณในแต่ละจุด แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือเรื่องของการตั้งค่า ที่ผู้ใช้อาจต้องมีความเข้าใจในด้านเน็ตเวิร์คอยู่บ้าง หรืออาจต้องหาคู่มือ วิธีการตั้งค่าอย่างละเอียดที่ตรงกับรุ่นของอุปกรณ์ที่ตนเองใช้อีกต่างหาก ทำให้การตั้งค่า access point หรือ bridge connection ทำได้ยาก
แต่ในปัจจุบัน ผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์คหลายรายเริ่มนำเทคโนโลยี Mesh มาใส่ในผลิตภัณฑ์ของตน ทำให้ออกมาเป็น access point ที่มีความอัจฉริยะยิ่งขึ้น ทั้งในด้านของการตั้งค่าที่ง่ายดาย ความสามารถในการตั้งค่าและควบคุมผ่านมือถือ รวมถึงความสามารถในการจัดการสัญญาณ WiFi ด้วยตนเอง
อย่างรายของ Linksys หนึ่งในผู้นำด้านอุปกรณ์เน็ตเวิร์คก็มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน อย่างชิ้นที่เรารีวิวในครั้งนี้ครับ นั่นคือ Linksys Velop AC3900 ที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับการใช้งานภายในบ้านอย่างแท้จริง ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ลงตัวกับการจัดวางในแทบทุกมุมภายในบ้าน และยังสามารถใช้งานได้ง่ายอีกด้วย
โดยรูปทรงก็จะเป็นลักษณะทรงกระบอกมีเหลี่ยม 4 ด้าน ความสูงประมาณ 5.5″ ใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบัน วัสุดภายนอกทำจากพลาสติกที่มีความแข็งแรง ทำให้สามารถนำไปวางบนโต๊ะทำงาน หรือพื้นที่ต่าง ๆ ในห้องได้แบบลงตัว
โดยตัวของ Linksys Velop AC3900 ที่เรารีวิวในบทความนี้ จะเป็นรุ่นที่มีโหนดมาในกล่องด้วยกัน 3 โหนด (ตามภาพด้านบน) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่มี 1 หรือ 2 หรือ 3 โหนด ก็มีสเปคและข้อมูลด้านเทคนิคที่น่าสนใจเหมือนกันดังนี้
สำหรับหลักในการเลือกซื้อแพ็คตามจำนวนโหนดที่เหมาะสมนั้น ง่ายสุดเลยคือดูจำนวนห้อง และพื้นที่ครอบคลุมสัญญาณที่ต้องการครับ
หลังจากปล่อยข่าวหลุดข่าวลอยกันมาพักใหญ่ Intel ก็ได้เปิดตัว Core i Gen 9 อย่างเป็นทางการไปเมื่อคืนนี้ พร้อมเมนบอร์ดตัวใหม่อย่าง Z390 ที่ออกแบบมาเพื่อ Gen 9 โดยเฉพาะ และทำการฆาตกรรม Gen 8 ไปพร้อมๆกัน ด้วยสเปคที่แรงกว่า แต่ราคาแทบไม่ต่างจากรุ่นเก่า
pic by Digital Trends
โดยชุดแรกก็เป็นไปตามข่าวหลุดก่อนหน้านี้ด้วยซีพียูเดสก์ท็อป 3 ตัว 3 ซีรีย์ คือ Core i9, i7, i5 ดังนี้
ซีพียูทั้ง 3 รุ่นมีค่าการใช้พลังงานหรือ TDP 95 วัตต์เท่ากัน จึงไม่ต่างจากซีพียูรหัส K ใน Gen 8 ที่ใช้ TDP 95 วัตต์ โดยเทคโนโลยีการผลิตยังเป็น สถาปัตยกรรม Coffee Lake “Refresh” หรือระกับ 14 นาโนเท่าเดิมเหมือ Gen 8 ทุกประการ แค่เพิ่มคอร์เพิ่มเทรดและสถาปัตยกรรมภายในนิดหน่อย
โดยทั้ง 3 รุ่นจะวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วโลก 19 ตุลาคมนี้
ปล.เหมือน Intel วางแผนไว้ถ้าตอนนี้หลายๆท่านไปเช็คตามเว๊บซื้อขาย online เอาในบ้านเราก็ได้อย่าง JIB ตอนนี้ซีพียู Intel หายไปเกือบหมดแล้ว (หลังจากราคาขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน) เหลือเพียงตัว Pentium กับ Celeron เท่านั้น หน้าร้านน่าจะมีอยู่แต่คงไม่เยอะแล้ว คาดว่า Intel คงจะบีบให้ลูกค้าไปซื้อรุ่นใหม่ แต่ก็ดีหน่อยตรงที่ราคาไม่ต่างกันมาก และถ้าอัพเกรททั้งทีจัด i9 ไปเลย แรงคุ้มสุดละ
ปล.2 ขัดใจมากที่ i7 โดนตัด Hyper-threading ถึงแม้จะเพิ่มคอร์ให้ก็เถอะ แต่มันไม่ใช่นะ อย่างที่ว่าเหมือนบีบให้ลูกค้าไปลอง i9 มากกว่า
ในช่วงแรกของการเปิดตัวชิปกราฟิกรุ่นใหม่ของทาง NVIDIA อย่างซีรีส์ RTX ที่เน้นเทคโนโลยีใหม่อย่าง Ray Tracing นั้นยังคงไม่มีเกมใดๆ ที่ออกมารองรับฟีเจอร์ดังกล่าวครับ ทว่าในตอนนี้นั้นก็เริ่มมีเกมที่รองรับฟีเจอร์ดังกล่าวแล้วซึ่งเกมแรกเลยที่รองรับนั้นก็คือ Battlefield V
และแน่นอนครับว่าเมื่อมีเกมรองรับฟีเจอร์ดังกล่าวนี้ออกมาอย่างเป็นทางการก็ต้องมีผู้ใช้และสื่อต่างๆ ทำการทดสอบว่าเจ้าฟีเจอร์ Ray Tracing จะเจ๋งเหมือนกับที่ทาง NVIDIA ได้คุยเอาไว้หรือไม่ ซึ่ง ณ ตอนนี้นั้นเราก็มีผลการทดสอบออกมาแล้วโดยผลดังกล่าวนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดีเท่าไรครับ
จากการทดสอบของ Tim Schiesser แห่ง Hardware Unboxed และ Techspot โดยการใช้การ์ก RTX 2080 Ti, RTX 2080 และ RTX 2070 นั้นพบว่าในการเล่นเกม Battlefield V จะมีผลแตกต่างกันไปดังต่อไปนี้ครับ
จากการทดสอบดังกล่าวนี้นั้นทำให้เห็นได้เลยครับว่านี่ยังคงไม่ถึงช่วงเวลาที่ฟีเจอร์อย่าง Ray Tracing จะได้เกิดอย่างเป็นทางการได้อย่างแน่นอนแถมเพราะรุ่นท๊อปอย่าง RTX 2080 Ti นั้นยังแทบจะเปิดเล่นแบบเต็มเหนี่ยวไม่ได้ แน่นอนว่าหากเป็นรุ่นกลางหรือล่างที่จะออกตามกันมานั้นก็คงจะไม่สามารถที่จะเล่นได้ดีเช่นเดียวกันครับ
Microsoft ได้เคยประกาศไปแล้วว่าพวกเขาจะเตรียมยุติการสนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows 7 แล้วโดยจะไม่อัพเดตหลักอีกต่อไปแต่จะยังคงอัพเดตในส่วนของความปลอดภัยหรือระบบรองที่ไม่สำคัญมากนักไปจนถึงวันที่ 14 มกราคมปี 2020 ซึ่งก็เหลือประมาณ 400 กว่าวันที่ Windows 7 จะถึงบทอวสาน
แต่ว่าก่อนจะถึงวันนั้นล่ะมันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือจะมีอัพเดตอะไรอีกใน Windows 7 หรือไม่ซึ่งทางเว็บไซต์ Computer World ได้รวบรวมข้อมูลและคาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้าว่านับตั้งแต่วันนี้จนถึงปี 2020 จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างใครที่ยังใช้ระบบปฏิบัติการนี้อยู่จะได้เตรียมตัวไว้ก่อนส่งท้าย
สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีใหม่เราอาจจะได้เห็นการวางจำหน่ายของ Windows 10 Pro และ Office 2019 ในรูปแบบลดราคาสุดพิเศษก็เป็นได้ครับเพราะถ้าหากย้อนไปในช่วงที่ Windows XP ยุติการสนับสนุน Microsoft ก็ได้ปล่อย Windows 8 Pro กับ Office 2013 วางขายพร้อมดีลลดราคา 15% ดังนั้นในกรณีของ Windows 7 เราก็น่าจะได้เห็นดีลพิเศษด้วยเช่นกัน
Windows 7 PC จะเพิ่มแพทช์อัพเดทในส่วนของความปลอดภัยอัลกอริธึม SHA-2 แทนที่ของเก่าคือ SHA-1 ที่เปิดตัวกันตั้งแต่ปี 1995 โดยกำหนดการนี้ทาง Microsoft ได้เคยออกประกาศมาแล้วฉะนั้นมีความเป็นไปได้ชัดเจนครับว่าผู้ที่ใช้ Windows 7 จะได้รับการอัพเดตความปลอดภัยที่ดีกว่าแน่นอน
เวอร์ชั่น Enterprise ที่ใช้ WSUS 3.0 (Windows Server Update Services) SP2 จะต้องรองรับกับ SHA-2 ด้วยเพื่อการอัพเดตอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้งานของผู้ที่ทำงานบริษัท เป็นอัพเดตที่ Microsoft ประกาศแน่นอนว่าจะเกิดขึ้นดังนั้นผู้ประกอบการที่ยังใช้ OS เวอร์ชั่นนี้ต้องเตรียมตัวเอาไว้
Microsoft จะเริ่มส่งข้อความแจ้งเตือนผู้ใช้งานว่าจะยุติการสนับสนุนระบบในวันที่ 14 มกราคม 2012 ผ่านหน้าจอพร้อมทั้งแนะนำให้อัพเกรดระบบเป็น Windows 10 โดยเร็ว แม้ว่าจะไม่มีประกาศทางการว่าจะแจ้งข้อความไปแต่ในกรณีของ Windows XP พวกเขาก็เคยทำแบบนี้มาแล้วและน่าจะเป็นการกดดันกลาย ๆ ว่าให้รีบมาใช้ OS ล่าสุดได้แล้วนะ
Microsoft จะปล่อยฟรีอัพเดทในส่วนของระบบความปลอดภัยชุดสุดท้ายให้กับผู้ใช้ Windows 7 บน PC ตามแผนอัพเดทจนถึงปี 2022 บ่งบอกว่านี่คือการอำลาอย่างแท้จริงและจะไม่มีอัพเดทอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว
Microsoft จะเปิดให้ซื้อขายการขยายเวลาอัพเดทหลังจาก Windows 7 ยุติการสนับสนุนสำหรับผู้ที่ใช้เวอร์ชั่น Enterprise และ Professional โดยจะมีระยะเวลาขยายการอัพเดทได้ถึงปี 2023 หรือเรียกว่า Windows 7 ESU เป็นการขยายเวลาอีกเล็กน้อยหากใครที่ใช้เวอร์ชั่นดังกล่าวก็สามารถซื้อแพ็คเกจได้เลย
ดูเหมือนว่า Microsoft จะมีแนวโน้มในการอัพเดตในส่วนของแอนตี้ไวรัส/มัลแวร์เพิ่มเติมก่อนที่จะยุติบริการอย่างสมบูรณ์เหมือนกับกรณีที่ Windows XP พวกเขาก็เคยทำมาแล้วและน่าจะเป็นไปได้สูงทีเดียวที่ Windows 7 จะได้รับการอัพเดตแอนตี้ไวรัสส่งท้ายกันบ้าง
ทาง Computer World ได้คาดการณ์ว่าถึงสิ้นสุดการให้บริการอัพเดทอย่างเป็นทางการแต่ในส่วนของ Google จะมีอัพเดทให้ในส่วนของเบราเซอร์ Chrome เพิ่มเติม
แต่หลังจากมกราคม 2022 เป็นต้นไปก็ใช่ว่าเราจะเปิดคอมไม่ได้เลยซึ่งผู้ใช้ Windows 7 ก็ยังใช้งานได้ตามปกติแต่ถ้าหากมีไวรัสหรือข้อบกพร่องของระบบเกิดขึ้นก็จะไม่มีตัวแก้ไขออกมาให้แล้วและแน่นอนว่าความเสี่ยงต่อฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ก็ต้องเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ดังนั้นแล้วมันก็เหมือนกับการกึ่งบังคับให้เราต้องใช้ OS ล่าสุดอย่างช่วยไม่ได้แต่อย่างไรเสีย Windows 10 เองก็มีข้อดีหลายอย่างและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องแย่อะไรที่จะได้เวลาอัพเกรดใหม่เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดเสียที