CPU-Z ยูทิลิตีที่ใช้สำหรับตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ของซีพียู มีความสามารถตรวจสอบข้อมูลฮาร์ดแวร์ในส่วนอื่น ๆ ได้อย่างละเอียด แต่ความสำคัญก็ยังคงโฟกัสอยู่ที่ซีพียูเป็นหลัก ดาวน์โหลด CPU-Z ได้ที่เว็บไซต์ www.cpuid.com
CPU-Z เวอร์ชัน 1.86.0 จะมีแท็บให้เราดูข้อมูลทั้งหมด 8 แท็บด้วยกัน ได้แก่
หน้าตาทั้ง 8 แท็บก็ตามรูปที่เห็นทางด้านล่างนี้เลยครับ
สิ่งที่โปรแกรม CPU-Z นำออกมาแสดงให้เราดูนี้จริง ๆ แล้วทางผู้พัฒนาโปรแกรม CPU-Z ไม่ได้เป็นผู้กำหนด แต่ผู้ผลิตซีพียูจะเป็นผู้กำหนดค่าเหล่านี้มาให้อยู่ในตัวของซีพียู เรียกว่าค่า CPUID ซึ่งเปรียบได้กับข้อมูลบัตรประจำตัวของซีพียูแต่ละรุ่นนั่นเองครับ โดยค่า CPUID นี้ก็ไม่ใช่ว่าผู้ผลิตซีพียูแต่ละรายจะกำหนดกันขึ้นมาเองแบบต่างคนต่างทำ แต่ว่าเป็นการกำหนดร่วมกันโดยเฉพาะซีพียูที่ใช้สถาปัตยกรรม x86 จะมีการตกลงใช้ค่า CPUID หรือจะเรียกว่าแบบฟอร์มการบันทึกข้อมูลของซีพียูร่วมกันซึ่งเมื่อก่อนนั้นมีผู้ผลิตซีพียูตามสถาปัตยกรรม x86 มากมายครับแต่ปัจจุบันเหลือหลัก ๆ เพียงสองรายคือ Intel กับ AMD ส่วนรายอื่นที่ยังพอเห็นอยู่บ้างก็คือ VIA นอกนั้นก็เลิกไปบ้างถูกควบรวมกิจการบ้าง
ส่วนโปรแกรม CPU-Z รวมไปถึงโปรแกรมตรวจสอบฮาร์ดแวร์อื่น ๆ ก็จะไปอ่านค่า CPUID เหล่านี้ขึ้นมาเพื่อแสดงผลให้เราอ่านในรูปแบบที่ง่ายและสะดวกขึ้น
ในแท็บนี้ก็มีการแบ่งข้อมูลออกเป็นสามกลุ่มให้ดูง่ายขึ้นครับ กลุ่มแรกก็คือ Processor(โปรเซสเซอร์ ซึ่งหมายถึงตัวซีพียูนั่นเอง) กลุ่มที่สอง Clock หรือกลุ่มของสัญญาณนาฬิกาที่ซีพียูใช้ในการทำงาน และกลุ่มที่สามก็คือ Cache หรือหน่วยความจำแคชที่อยู่ภายในตัวซีพียู ตอนนี้เราก็จะมาไล่ดูกันไปทีละส่วนครับ
Ivy Bridge คือชื่อเรียกสถาปัตยกรรมภายใน CPU ของ Intel ซึ่งจะเป็นโค้ดเนมเพื่อให้เรียกได้ง่ายและติดหูคนฟัง โดย Ivy Bridge นี้จะเป็นโครงสร้างสถาปัตยกรรมของทรานซิสเตอร์ภายใน CPU ที่มีระดับการผลิตแค่ 22 นาโนเมตรเท่านั้น เล็กกว่าสถาปัตยกรรมแบบ Sandy Bridge ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันที่มีขนาดอยู่ที่ 28 นาโนเมตร โดยตัว Ivy Bridge นี้จะมีจุดเด่นอยู่หลายด้าน ซึ่งด้านที่เห็นได้ชัดก็ได้แก่
ส่วนเทคโนโลยีอื่นๆ สามารถเข้าไปชมได้จากในลิ้งค์นี้เลย
แบบ PGA (Pin Grid Array) จะมีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆ ที่ด้านหนึ่งจะมีขา (Pin) จำนวนมากยื่นออกมาจากตัวชิป เป็นแบบที่นิยมใช้กันมานาน ขาจำนวนมากเหล่านี้จะใช้เสียบลงบนฐานรองหรือที่เรียกว่าซ็อคเก็ต (Socket)ที่อยู่บนเมนบอร์ด ซึ่งเอาไว้สำหรับเสียบซีพียูแบบ PGA นี้โดยเฉพาะ โดย socket นี้มีหลายแบบ สำหรับซีพียูแตกต่างกันไปเสียบข้าม socket กันไม่ได้ เพราะมีจำนวนช่องที่ใช้เสียบขาซีพียูแตกต่างกัน
แบบ LGA (Land Grid Array) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่Intel นำมาใช้กับซีพียูรุ่นใหม่ๆ ลักษณะจะเป็นแผ่นแบนๆ ที่ด้านหนึ่งจะมีแผ่ตัวนำวงกลมแบนเรียบขนาดเล็กจำนวนมากเรียงตัวกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทำหน้าที่เป็นขาของชิป ทำให้เมื่อเวลามองจากทางด้านข้างจะไม่เห็นส่วนใดๆยื่นออกมาจากตัวชิป
แบบ BGA (Ball Grid Array) จะมีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆ ที่ด้านหนึ่งจะมีวัตถุทรงกลมนำไฟฟ้าขนาดเล็กเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบทำหน้าที่เป็นขาของชิป เวลานำไปใช้งานส่วนมากมักจะต้องบัดกรียึดจุดสัมผัสต่างๆ ติดกับเมนบอร์ดเลย จึงมักนำไปใช้ทำเป็นชิปที่อยู่บนเมนบอร์ดซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ชิปเซ็ต และ ชิปหน่วยความจำ เป็นต้น
บัส (bus) คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผลและเก็บข้อมูลเป็นชุดของบิท (มีค่า 0 กับ 1) นั้น ชุดของบิทจะถูกส่งไปในวงจรไฟฟ้าตามช่องทางต่างๆ ซึ่งแต่ละช่องทางนั้น เราเรียกว่า บัส ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ทั้งภายนอก ภายใน สามารถติดต่อสื่อสารข้อมูลกันได้ คล้ายกับเป็นถนนให้รถวิ่งจากจุดหนึ่งไปยังเป้าหมายได้ นั่นก็คือ บิทวิ่งไปตามบัสนั่นเอง บัสจะส่งข้อมูลจากอุปกรณ์รับเข้าไปยังหน่วยความจำ จากห่วยความจำไปยังหน่วยประมวลผล จากหย่วนประมวลผลไปยังหน่วยความจำ และจากหน่วยความจำไปยังอุปกรณ์ส่งออก หรือ หน่วยความจำสำรอง เช่น ฮาร์ดดิสก์
บัสประกอบด้วย 2 ส่วน คือ บัสข้อมูลและบัสที่อยู่ บัสข้อมูลจะส่งข้อมูลจริงๆ ส่วนบัสที่อยู่จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่ข้อมูลควรจะอยู่ในหน่วยความจำ
รูปหน่วยความจำแคชที่เป็นภาพตัวอย่างจากซีพียู Core i5 3210M ก็จะมีรายละเอียดดังนี้
ก่อนหน้านี้หน่วยความจำแคชนั้นไม่ได้ถูกรวมไว้เป็นส่วนเดียวกันกับซีพียูแต่จะไปอยู่บนเมนบอร์ด ถ้าเราพูดถึงซีพียูในตระกูล x86 หน่วยความจำแคชได้ถูกรวมอยู่ในซีพียูเป็น เราจะเห็นได้ว่าแคช L1 นั้นจะอยู่ติดกับส่วนที่เป็นคอร์ประมวลผลเพราะเป็นส่วนที่ทำงานโดยตรงกับซีพียู จากนั้นก็จะมีหน่วยความจำแคช L2 ที่อยู่ห่างออกไปเพื่อให้พักข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้บ่อย ๆ และสุดท้ายก็จะมีแคช L3 ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าแคช L3 นั้นจะเชื่อมต่ออยู่กับ L2 ของซีพียูทุก ๆ คอร์ และหน่วยความจำแคช L3 นี้เองที่จะทำหน้าที่ในการพักข้อมูลที่นำไปใช้ร่วมกันของคอร์ประมวลผลแต่ละคอร์
หน้าที่ของหน่วยความจำแคชแท้จริงแล้ว มันคือการนำข้อมูลที่มีอยู่ในหน่วยความจำหลักมาทำสำเนาเพิ่มอีกหนึ่งชุดหรือหลายชุดมาไว้ในหน่วยความจำแคชเพื่อให้ซีพียูประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ อยู่ภายในตัวเองโดยอาศัยทั้งแคช L1 แคช L2 และแคช L3 เพราะการทำงานบนหน่วยความจำแคชนั้นเร็วกว่าการประมวลผลโดยกับหน่วยความจำหลักของเครื่องเป็นร้อยเท่า และเมื่อทำเสร็จแล้วข้อมูลเหล่านั้นก็จะถูกอัปเดตในหน่วยความจำหลักโดยอัตโนมัติ ดูเหมือนง่ายแต่ในการทำงานจริงนั้นมีความซับซ้อนมาก
สำหรับหน่วยความจำแคช L1 นั้นจะมีความพิเศษตรงที่จะมีการแยกการทำงานเป็นสองส่วนคือ Instruction Cache หรือแคชคำสั่ง และสองคือ Data Cache เป็นแคชสำหรับการเก็บข้อมูล และหน่วยความจำแคช L1 ก็จะเป็นพื้นที่หลักในการจัดเก็บข้อมูลในระหว่างการประมวลผลของซีพียู ส่วนแคช L2 นั้นส่วนมากก็จะทำหน้าที่ในการพักข้อมูลชั่วคราวสำหรับการถูกนำไปประมวลผลต่อ และ L3 นั้นเป็นการเก็บข้อมูลแบบทั่วไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง โดย L3 ในหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ ๆ นั้นจะทำหน้าที่หลักเลยก็คือใช้แชร์ข้อมูลระหว่างคอร์ประมวลผลแต่ละคอร์ภายในซีพียู การทำงานต่าง ๆ ของหน่วยความจำแคช จะมีส่วนที่เรียกว่า “Cache Controller” หรือตัวควบคุมการทำงานของแคช การจัดการกับข้อมูลต่าง ๆ ในหน่วยความจำแคชก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของซีพียูด้วย
ในซีพียู Core i5-3210M ก็จะมีแคชอยู่ด้วยกันสามระดับ โดยแบ่งออกเป็นแคชต่าง ๆ ดังนี้
ในเรื่องขนาดของแคช (Cache Size) ไม่ว่าจะเป็น L1D-Cache, L1I-Cache, L2 Cache และ L3 Cache มันก็คือขนาดหรือความจุในการจัดเก็บข้อมูล ในส่วนของคือ “8-way/20-way set associative” กับ “64-byte line size” เราก็ต้องแยกคำว่า 8-way ออกจากคำว่า set associative ก่อน
“set associative” นั้นเป็นชื่อเรียกของกระบวนการแคชข้อมูลชนิดหนึ่งครับ ซึ่งโดยปกติแล้วการทำงานของหน่วยความจำแคชโดยทั่วไปจะมีอยู่สามรูปแบบด้วยกัน ได้แก่
Direct Mapping: การทำงานของการแคชข้อมูลในแบบนี้ก็คือเป็นการทำสำเนาข้อมูลกันโดยตรงระหว่างหน่วยความจำแคชที่อยู่ในตัวซีพียูกับหน่วยความจำหลักของเครื่อง (RAM, Main Memory)
จากในรูปจะเห็นได้ว่าตำแหน่งของบล็อกในหน่วยความจำหลักจะถูกกำหนดตายตัวไปกับตำแหน่งบล็อกของแคช เช่นตัวอย่างในรูปนี้แคชมีทั้งหมด 8 entries (0-7) และข้อมูลในหน่วยความจำหลักมี 16 บล็อก (0-15) เวลาจะทำสำเนาข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาไว้ในแคชก็จะมีการทำครั้งละ 8 entries ในรูปเป็นยกตัวอย่างของการทำแคชข้อมูลสองครั้งครั้งแรก ทำบล็อก 0-7 ก่อน ครั้งที่สองจะทำบล็อก 9-15 ในรูปเราจะเห็นได้ว่าการแคชข้อมูลก็ยังคงจัดเรียงตำแหน่งของบล็อก ไม่มีการสลับตำแหน่ง แต่ว่าการใช้งานในแบบ Direct Mapping นั้นจะเหมาะกับการทำงานที่ไม่มีความซับซ้อน มีข้อมูลในระบบไม่มาก เพราะถ้ามีข้อมูลเป็นจำนวนมากก็จะมีปัญหาในเรื่องของการชี้ตำแหน่งข้อมูลของหน่วยความจำแคชกับหน่วยความจำหลักของระบบ ซึ่งถ้ามีข้อผิดพลาดตรงนี้มาก ๆ ก็เท่ากับว่าหน่วยความจำแคชไม่มีประโยชน์อะไรเลยเพราะมีข้อมูลแต่ก็ไม่ใช่ข้อมูลที่ต้องการใช้งาน
Associative Mapping: หรือ Full Associative Mapping แล้วแต่ตำราแต่ก็ให้เข้าใจว่าเป็นแบบเดียวกันครับ การจัดการแคชในลักษณะนี้จะมีความอิสระในการทำสำเนาของข้อมูล
จากในรูปตัวอย่างจะเห็นได้ว่าข้อมูลในบล็อก 0-15 ของหน่วยความจำหลัก สามารถถูกนำไปสำเนาไว้ในตำแหน่งใด ๆ ของแคชก็ได้ใน 8 entries (หรือ 8 บล็อก) ที่มี วิธีการนี้มีข้อดีตรงที่สามารถแคชข้อมูลที่ต้องการใช้งานมาไว้ในแคชได้อย่างอิสระ แต่ก็มีปัญหาตามมาอีก…คือเวลาจะค้นหาข้อมูลในแคชจำเป็นต้องไล่หาข้อมูลในแคชไปทีละบล็อกจนกว่าจะเจอ ในขณะที่แบบ Direct Mapping เราจะรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของข้อมูลได้เลย ถ้าดูรูปแคชข้อมูลแบบ Direct Mapping กับ Associative Mapping เทียบกันก็จะเห็นได้ว่าตัวชี้ตำแหน่งข้อมูลของ Direct Mapping สามารถชี้ตำแหน่งได้โดยตรงจาก Tag และ Block ในขณะที่ Associative Mapping จะใช้วิธีระบุตำแหน่งด้วยการ Tag แล้วคอยมาเปรียบเทียบข้อมูลอีกครั้งว่าใช่หรือไม่ใช่ข้อมูลที่ต้องการ นั่นคือต้อง Tag หาข้อมูลไปทุก ๆ entries จนกว่าจะเจอ ก็เสียเวลา
Set Associative Mapping: ซึ่งมีประสิทธิภาพและแก้ไขข้อบกพร่องของการทำงานแบบ Direct Mapping และ Associative Mapping มาเรียบร้อยแล้วนั่นเอง การทำงานของ Set Associative Mapping ก็คือการใช้ทั้งสองเทคนิคมารวมกัน
โดยการใช้เทคนิคการนำข้อมูลจากบล็อกของหน่วยความจำหลักมาไว้ในตำแหน่งใด ๆ ของหน่วยความจำแคชก็ได้ อันนี้ดีเหมือนกับ Associative Mapping จากนั้นก็จะใช้วิธีในการชี้ตำแหน่งข้อมูลในแบบ Direct Mapping ผสมกับ Associative Mapping เพียงแต่ตัวแคชเองก็ต้องมีการจัดระบบขึ้นมาใหม่ด้วยการกำหนดตัวเองให้เป็น Set หรือเป็นชุด ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาข้อมูลนั่นเอง สังเกตดูวิธีการชี้ตำแหน่งของ Set Associative Mapping จะมีการใช้ Tag และ Set แทน Tag และ Block เมื่อเทียบกับ Direct Mapping
สำหรับการทำงานของ Direct Mapping โดยทั่วไปจะทำงานในลักษณะของ 1-way เท่านั้นครับ แต่ถ้าเป็นการจัดหน่วยความจำแคชแบบ Associative Mapping และ Set Associative Mapping จะมีการจัดการหน่วยความจำได้ในแบบหลาย n-Way อธิบายอาจจะงง ไปดูภาพด้านล่างนี้ครับ
Direct Mapping ก็จะมีตำแหน่งและ Block หรือบางครั้งก็เรียกว่า Cache Line ได้ Set ละ 1 Block เท่านั้น แต่การจัดหน่วยความจำแบบ Associative Mapping ที่สามารถนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาไว้ในตำแหน่งใด ๆ ของแคชก็ได้นั้นเราก็สามารถออกแบบให้เป็นแบบ Direct Mapping ก็ได้ หรือจะออกแบบให้เป็น 1 Set ใหญ่ ๆ แล้วมีจำนวน Block (Cache Line) เท่ากับความจุของแคชไปเลย (ถึงได้เรียกอีกอย่างว่า Full Associative Mapping) ส่วนการทำงานของ Set Associative Mapping การทำงานของแคชจะถูกกำหนดเป็น Set หรือชุด ซึ่งเป็นที่มาของชื่ออีกนั่นแหละ โดยในแต่ละชุดก็จะมีจำนวน Block (Cache Line) แล้วแต่จะออกแบบครับ
อ่านมาถึงตรงนี้เชื่อว่าคงจะมีหลายคนที่ยังงง ๆ อยู่กับเรื่องเทคนิคการ Mapping ข้อมูลในหน่วยความจำแคชทั้งสามแบบ จริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องไปทำความเข้าใจกับมันก็ได้ครับ เพียงแต่ต้องการแสดงให้เห็นให้ถึงที่มาและรู้จักกับคำว่า 16-way set associative หรือ 20-way set associative มันมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไรเท่านั้นเองครับ
จะบอกถึงยี่ห้อและรุ่นของเมนบอร์ดที่เรากำลังใช้งานอยู่ในขณะนั้น และบอกกับเราด้วยว่าเมนบอร์ดนั้นใช้ชิปเซตรุ่นใด BIOS ของเมนบอร์ดเป็นเวอร์ชันไหน และอินเทอร์เฟซที่ใช่เชื่อมต่อกับกราฟิกการ์ดเป็นแบบใด
ในแท็บ Mainboard ของ CPU-Z นี้ก็จะแบ่งการแสดงข้อมูลออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนแรกก็คือข้อมูลของเมนบอร์ด (Mainboard) ส่วนที่สองก็คือข้อมูลของไบออส (BIOS) และส่วนที่สามบอกข้อมูลการเชื่อมต่อของกราฟิกการ์ด (Graphics Interface)
Mainboard
ส่วนแรกคือการแสดงข้อมูลทั่วไปของเมนบอร์ด เช่นผู้ผลิตเมนบอร์ด รุ่นของเมนบอร์ด ชิปเซตที่ใช้ โดยมีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้
BIOS
BIOS (Basic Input/Output System) เป็นโปรแกรมขนาดเล็กของเมนบอร์ดซึ่งจะถูกสั่งให้ทำงานโดยอัตโนมัติทันทีที่เมนบอร์ดถูกเปิดใช้งาน BIOS จะทำหน้าที่ตรวจสอบความพร้อมของฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ด ไม่ว่าจะเป็นซีพียู แรม กราฟิกการ์ด ฮาร์ดดิสก์ และอื่น ๆ ถ้าไม่มีความผิดพลาดใด ๆ ก็จะสั่งให้บูตเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ สำหรับข้อมูลในแท็บ Mainboard หัวข้อ BIOS จะบอกข้อมูลให้เราทราบอยู่สามรายการคือ
Graphics Interface
แสดงข้อมูลอินเทอร์เฟซของกราฟิกการ์ดที่ใช้ในระบบว่าเป็นชนิดใด ถ้าเป็นเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ ที่เราใช้กันอยู่อินเทอร์เฟซของกราฟิกก็จะอยู่ในกลุ่มของ PCI-Express แต่ถ้าเก่ากว่านั้นเราก็จะได้เห็นอินเทอร์เฟซกราฟิกแบบ AGP (Accelerated Graphics Port) ซึ่งเป็นพอร์ตความเร็วสูงที่ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อสัญญาณจากกราฟิกการ์ดโดยเฉพาะ และหลังจากนั้นระบบทั้งหมดก็เปลี่ยนมาให้ PCI-Express สล๊อต AGP จึงได้หายไป และก่อนหน้าก็มีมีสล๊อตอื่น ๆ อีก Graphics Interface ของ CPU-Zส่วนนี้ประกอบไปด้วย 4 รายการได้แก่
ในแท็บ Memory ก็จะมีการแบ่งข้อมูลออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ ได้แก่ General ที่ใช้บอกข้อมูลทั่วไปของหน่วยความจำ และส่วนของ Timings ซึ่งเป็นข้อมูลโดยละเอียดของค่า Timing หรือคาบเวลาในการทำงานของหน่วยความจำ
Memory: General (ข้อมูลทั่วไปของหน่วยความจำ)
Memory: Timings (ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหน่วยความจำในส่วนที่เป็นเรื่องของคาบเวลา)
Memory Timing ของหน่วยความจำนั้น ถ้าจะให้เข้าใจแบบง่ายสุดก็ให้นึกถึงการจราจรที่ประกอบไปด้วย ถนน และยานพาหนะต่าง ๆ ถนนก็เหมือนกับเส้นทางเดินของข้อมูลส่วนรถก็คือตัวข้อมูลที่จะต้องเดินทางไปยังเป้าหมาย ลองนึกถึงถนนที่เต็มไปด้วยทางแยก ทางร่วมต่าง ๆ ถ้าเราปล่อยให้เดินรถโดยไม่มีกติกาอะไรเลยคงชนกันพังพินาศไปหมด ทางแก้ก็คือใช้สัญญาณไฟจราจรและเครื่องหมายจราจรที่คอยกำกับว่าจะให้รถเส้นทางไหนไปก่อนไปหลังตามจังหวะสัญญาณไฟจราจรและเดินรถไปตามเครื่องหมายจราจร ระบบ Memory Timing ของหน่วยความจำก็ทำหน้าที่แบบนั้น
แต่เวลาเราไปเลือกซื้อหน่วยความจำจริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องดูละเอียดมากขนาดนั้น เราก็ดูแค่ชนิดของหน่วยความจำที่ต้องการใช้, ความจุ, ความเร็วในการทำงาน และค่า CL ที่ระบุไว้บนกล่องก็พอแล้ว โดยมากจะเขียนมาประมาณนี้ “Corsair Vengeance LPX 16GB (1x16GB) DDR4 DRAM 3000MHz C15 Memory” และถ้าละเอียดหน่อยก็จะมีค่า CL เพิ่มเติมมาให้แบบนี้ CL 15-15-15-36 ซึ่งตัวเลขทั้ง 4 ที่ระบุมานี้ก็คือค่า CL, tRCD, tRP และ tRAS โดย 4 ค่านี้จะเป็นคาบเวลาหลักที่ส่งผลต่อการทำงานของหน่วยความจำครับ
ตัวอย่างโดยใช้กราฟการทำงานของค่า CL ง่าย ๆ CL 3-3-3-10 ดังภาพ
Cr.: EETimes.com
จากรูปด้านบนเป็นการแสดงถึงขั้นตอนการอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำ (อย่างง่าย) โดยมีรูปของสัญญาณควบคุมการทำงานอยู่ 4 ส่วนด้วยกันคือ Clock หรือสัญญาณนาฬิกาที่เป็นตัวอ้างอิงในการทำงาน สองคือสัญญาณคำสั่ง Command สามคือสัญญาณ RAS และสี่คือสัญญาณ CAS ส่วนสุดท้ายคือข้อมูลออก Data Out
จะเห็นได้ว่าก่อนเริ่มทำงานจะมีสัญญาณ Precharge ส่งออกมาก่อนเพื่อเป็นการบอกถึงจุดเริ่มต้นของวงรอบในการทำงานของหน่วยความจำ จากนั้นก็มีการรอสัญญาณ tRP (หรือ RAS) ไป 3 Clock จึงมีคำสั่ง Active เพื่อให้พร้อมสำหรับการอ่าน จากนั้นก็รออีก 3 Clock คือช่วงของ tRCD (หรือ RAS to CAS Delay) จากนั้นก็มีคำสั่งการอ่านข้อมูล (Read) ออกมา และจากคำสั่ง Read ก็ใช้เวลาอีก 3 Clock ซึ่งเป็นช่วงเวลาของ CL (หรือ CAS Latency) นั่นเอง นั่นจึงทำให้เป็นที่มาว่า CL ยิ่งน้อยก็ยิ่งดีเพราะใช้เวลารอคอยน้อยนั่นเอง แต่ต้องเทียบกับความเร็วในการทำงานที่เท่ากันด้วย เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็จะต้องมีวงรอบใหม่เกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องให้หมดรอบของสัญญาณ tRAS จำนวน 10 Clock ก่อน แต่ว่าเป็นการเริ่มนับจากสัญญาณในจังหวะ Active นะ ช่วงเวลานี้จึงมีชื่อว่า tRCD หรือ Active to Prechage Delay
Cr.: Samsung
จากภาพเป็นเพียงหนึ่งรูปแบบของสัญญาณการทำงานจริงเท่านั้น
SPD ย่อมาจากคำว่า Serial Presence Detect เป็นข้อมูลของคุณสมบัติทางด้านเทคนิคของโมดูลหน่วยความจำที่ถูกเก็บไว้ในโมดูลหน่วยความจำแต่ละโมดูล ดังนั้นข้อมูลในโมดูลหรือแผงหน่วยความจำที่เราติดตั้งลงไปบนเมนบอร์ดจะมีข้อมูลเฉพาะเป็นของตัวเอง
ในแท็บ SPD แบ่งข้อมูลออกเป็นสองส่วนคือ Memory Slot Selection และ Timing Table ในส่วนของ Memory Slot Selection ก็จะมีจะมีลิสต์ให้เลือก Slot number หรือหมายเลขของสล๊อตที่ติดตั้งหน่วยความจำบนเมนบอร์ด ซึ่งจำนวนของ Slot number ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนสล๊อตของหน่วยความจำบนเมนบอร์ด ซึ่งก็จะมี 1 สล๊อต 2 สล๊อต 4 สล๊อต และ 8 สล๊อต สำหรับเมนบอร์ดในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปจนถึงผู้ใช้ระดับมืออาชีพ แต่ถ้าเป็นเมนบอร์ดในกลุ่มเซิร์ฟเวอร์จำนวนสล๊อตสำหรับติดตั้งหน่วยความจำก็อาจจะมีมากกว่านี้ และเมื่อเราเลือก Slot number แล้วโปรแกรมก็จะไปอ่านค่าคุณสมบัติของหน่วยความจำที่ติดตั้งอยู่ในสล๊อตหมายเลขนั้นขึ้นมาให้เราทราบ โดยค่าที่แสดงออกมานี้นี้จะมาจากชิป SPD ที่อยู่ในโมดูลของหน่วยความจำ
Memory Slot Selection
Timings Table
(เนื่องจากข้อมูลในส่วนของ Timing Table มีหลายส่วนที่เป็นค่าเดียวกันกับ Timing ในแท็บ Memory จึงไม่ขออธิบายเพิ่มเติม)
แท็บ Graphics ใช้สำหรับแสดงข้อมูลของกราฟิกการ์ดที่เราใช้งานอยู่ในขณะนั้น ในกรณีที่เครื่องของเราติดตั้งกราฟิกการ์ดไว้มากกว่าหนึ่งการ์ดก็สามารถเลือกดูข้อมูลได้ แต่ว่าข้อมูลของกราฟิกการ์ดที่ได้นั้นจะไม่ละเอียดเหมือนกับโปรแกรมเฉพาะทางอย่าง GPU-Z
Graphics จะแบ่งข้อมูลออกเป็น 4 ส่วน
3. Clock จะบอกข้อมูลของสัญญาณนาฬิกาของส่วนต่าง ๆ ได้แก่
4. Memory แสดงขนาดและชนิดของหน่วยความจำ ประกอบด้วย
แท็บ Bench หรือ Benchmark นี่เป็นแท็บที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ใช้สำหรับทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของซีพียูแบบเบื้องต้น โดยสามารถเปรียบเทียบผลทดสอบของซีพียูที่เรากำลังใช้งานอยู่กับฐานข้อมูลที่มีอยู่ของ CPU-Z ได้
การทดสอบก็จะมีอยู่สองส่วนด้วยกันคือ การทดสอบ CPU Single Thread หมายถึงการทดสอบการทำงานของซีพียูเพียงเธรดเดียว หรือคอร์เดียว และการทดสอบ CPU Multi Thread ที่เป็นการทดสอบประสิทธิภาพโดยรวมของคอร์และเธรดทั้งหมดที่ซีพียูรุ่นนั้น ๆ มี และการทดสอบแบบ Multi Thread เราสามารถคลิกเลือกหรือบังคับจำนวน Threads ที่ต้องการทดสอบได้
และถ้าต้องการเทียบผลการทดสอบซีพียูของเรากับซีพียูรุ่นอื่นก็ทำได้โดยไปเลือกที่ ช่องรายการ Reference แล้วเลือกรายชื่อของซีพียูที่ต้องการ คะแนนของซีพียูที่ต้องการนำมาเทียบก็จะไปแสดงในช่อง Reference ทั้งในส่วนของการทดสอบแบบ Single Thread และ Multi Thread
การทดสอบทำได้โดยการคลิกที่ปุ่มคำสั่ง “Bench CPU” โปรแกรมก็จะทดสอบให้ทั้งในส่วนของ Multi Thread ให้ก่อน แล้วตามด้วยการทดสอบ Single Thread ส่วนปุ่มทดสอบ “Stress CPU” นั้นใช้ทดสอบการทำงานของซีพียูแบบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการหยุดจนกว่าเราจะสั่ง “Stop” สามารถใช้ทดสอบเสถียรภาพในการทำงานของซีพียูได้
แท็บนี้จะใช้แสดงข้อมูลของโปรแกรม CPU-Z เอง ว่าเป็นเวอร์ชันอะไรมีการอัปเดตไปเมื่อไหร่ และยังมีการแสดงข้อมูลของเวอร์ชันวินโดวส์ที่เรากำลังใช้งานอยู่ด้วย ในหน้าจอนี้เราสามารถสร้างรายงานสเปคเครื่องทั้งหมดของเราได้ด้วยการคลิกที่ปุ่ม “Save Report (.TXT)” เพื่อบันทึกเป็นไฟล์ .TXT เพื่อเปิดอ่านได้โดยใช้ Notepad หรือโปรแกรมอื่น ๆ หรือจะสร้างรายงานสเปคเครื่องด้วยการคลิกที่ปุ่ม “Save Report (.HTML)” เพื่อสร้างรายงานที่เป็นไฟล์แบบ .HTML ที่สามารถเปิดอ่านได้จากเว็บเบราเซอร์ทั่วไปและจะมีหน้าตาที่ดูสวยงามกว่า
นอกจากนี้ยังมีปุ่ม “Validation” เพื่อส่งข้อมูลต่าง ๆ ของซีพียูที่เราใช้ไปยังเว็บไซต์ของผู้พัฒนาโปรแกรมเพื่อเป็นฐานข้อมูล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการส่งไปจากบรรดานักโอเวอร์คล็อก หรือคนที่ชอบการโอเวอร์คล็อกซีพียู เพื่อแสดงประสิทธิภาพการทำงานของซีพียูที่สูงขึ้นและเหมือนเป็นการบันทึกหลักฐานได้อีกทางหนึ่งว่าเคยโอเวอร์คล็อกซีพียูรุ่นนั้นรุ่นนี้ได้ความเร็วเท่าไร ด้วยเงื่อนไขของฮาร์ดแวร์อะไรบ้าง ก็เป็นการแบ่งปันข้อมูลร่วมกันไปด้วยในตัว ส่วนปุ่ม “Clock” ก็จะใช้สำหรับแสดงความเร็วของซีพียู หน่วยความจำ และกราฟิกการ์ด ในแบบ real-time