@หน้าสวนสัตว์นครราชสีมา
และอุปกรณ์กลางแจ้ง ระดับมืออาชีพ
โดย คุณภาณุ อิรทรมณเฑียร
ติดต่อ 080-7117628 หรือ 0847258644
สิ่งแรกเลยคือคุณอย่าหวังพึ่งกับการ compress อย่างเดียวคุณจะตัองมีความสม่ำเสมอมากๆกับ dynamic ของเสียงร้องในยุคปัจจุบัน ทุกๆคำต้องดังและชัดเจน แต่อย่างว่าแหละ นักร้องหลายๆคนมี dynamic มาก เขาสามารถเริ่มจากเสียงกระซิบไปสู่เสียงตะโกนภายในเสี้ยววินาที คุณจะไม่สามารถได้ระดับเสียงที่สม่ำเสมอสำหรับเสียงยุคใหม่ๆด้วยการ compress เสียงร้องอย่างเดียว คุณต้องใช้ volume หรือ gain automation และจัดความดังเสียงร้องด้วยตัวเราเองถ้าคุณพยายามจะทำให้ได้ dynamic ที่สม่ำเสมอด้วย compression มันจะง่ายมากที่เราอาจไป compress เสียงร้องมากเกินไป นี่จะทำให้มันเสียงด้านและเหมือนไม่มีชีวิต เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ จึงแนะนำให้ใช้ automation
2. การใช้ compressor เพียงตัวเดียว
หนึ่งในเป้าหมายหลักของการ compress เสียงร้องคือการหลีกเลี่ยงไม่ให้ compress มากเกินไป แม้ว่าคุณจะ automate เสียงร้อง แต่มี 10dB+ ใน gain reduction ของ compressor มันก็จะยังฟังดูถูก compress มากไปอยู่ดีแทนที่จะให้ compressor ตัวเดียวรับภาระหนัก ลองใช้ 2 ตัว หรือมากกว่าในช่อง plugin ของคุณ ลองเริ่มด้วย compressor ที่ช้า แล้วทำ gain reduction ให้ได้ประมาณ 2-3dB ด้วย ratio ระหว่าง 1:1 และ 2:1 ลองเริ่มด้วย attack time ที่ประมาณ 5ms(สำหรับเสียงที่ใหญ่และหนา) และ 30ms(สำหรับเสียงที่แน่นและก้าวร้าว) และใช้ release time ปานกลางที่ประมาณ 50ms จากนั้น ถ้าคุณคิดว่าเสียงร้องยังต้องการการ compress อีก ซึ่งมันน่าจะเป็นอย่างนั้น โหลด compressor ตัวที่ 2 ขึ้นมา คราวนี้ใช้ attack time ที่เร็วขึ้น และ threshold ที่สูงขึ้น เพื่อจับ transient ที่เล็ดลอด compressor ตัวแรกมาได้ และให้ได้ค่า gain reduction ที่ 2-3dB
3. ใช้ compressor กับ channel โดยตรงอย่างเดียว
แม้ว่าหลังจาก automation และ compress เสียงร้องแล้ว คำบางคำอาจจะยังเบาเกินไป แถมเมื่อเราใส่เอฟเฟคเข้าไป (เช่น reverb, delay) มันยิ่งจะผลักเสียงร้องไปข้างหลังมิกซ์เข้าไปอีกเพื่อตอบสนองกับปัญหาเหล่านั้น อย่าใช้เพียง compressor กับแค่ channel ของมันโดยตรง แต่ลองใช้ parallel compression ที่จะดันเสียงร้องไปข้างหน้าอีกครั้งและทำคำที่เบาให้ดังขึ้นโดยส่งเสียงร้องไปที่ aux bus ใหม่ หรือ copy channel นั้น ใช้การ compress อย่างหนักกับ channel ใหม่นี้ คุณจะต้องให้เสียงร้องมีความดังเท่าๆกันทุกคำ ไม่ต้องกังวลว่าเสียงมันฟังดูเหมือนถูก compress มากเกินไปเมื่อกด solo ดัน fader ลง(ของ ch ใหม่) แล้วดันมันขึ้นจนสังเกตได้ว่าเสียงร้องนั้นเริ่มดังขึ้นจากนั้น ลด volume ลงมาเพียงนิดนึง คุณต้องการให้มันออกมาบางๆเท่านั้นสำหรับ channel นี้ มันไม่ควรจะสังเกตได้มาฏเกินไป แต่เมื่อคุณ mute channel นี้คุณจะได้ยินความแตกต่าง
4. ใช้ Attack time ที่โครตเร็ว
การใช้ attack time ที่เร็วมากหมายความว่า compressor จะไปจำกัด transient ของเสียงร้อง แต่ transient นั้นมีบทบาทสำคัญ มันช่วยให้เสียงร้องผ่านขึ้นมาในมิกซ์(ทำให้ได้ยินชัดเจนท่ามกลางเสียงอื่นๆ)นี่หมายความว่า fast attack สามารถดึงเสียงร้องให้จมไปกับในมิกซ์ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความต้องการของเรา ปกติแล้ว attack time ที่มากกว่า 2ms จะไม่ตัด transient ออกมากเกินไป แต่ให้ตระหนักถึงปัญหานี้ไว้ด้วยใยแทรค backing vocal คุณสามารถใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ ใช้ fast attack เพื่อดันเสียง backing vocal ไปข้างหลังมิกซ์ นี่จะช่วยให้มันไม่มารบกวนเสียงร้องหลัก
5. หลีกเลี่ยงการใช้ compressor เมื่ออัดเสียง
ถ้าคุณมี outboard (hardware) compressor มันมีหลายๆประโยขน์จากการ compress บางๆเมื่ออัดเสียงร้อง มันจะทำให้เสียงเป็นธรรมชาติมากขึ้นและช่วยหลีกเลี่ยงการ compress มาเกินไป (over-compression)การใส่ compressor ตอนนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในภายหลังและช่วยเพิ่มสีสันและ character ให้กับเสียงร้อง อีกทั้งการใช้ compressor ขณะอัดจะช่วยให้นักร้อง perform ได้ดีขึ้นด้วยถ้า level เสียงร้องมันฟังดูสม่ำเสมอกันบนมอนิเตอร์ขณะอัดร้อง นักร้องจะไม่ต้องรู้สึกว่าเขาต้องชดเชยเสียงด้วยการเข้าใกล้หรืออกห่างจากไมค์มากขึ้น มันยังช่วยให้แน่ใจว่าเสียงร้องจะมีบาลาน์ดีขึ้นในมิกซ์ และเมื่อนักร้องฟังเสียงขณะร้อง. พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ดังนั้น ตั้งค่าไว้ประมาณ 2-3dB ของ gain reduction และ ratio ต่ำกว่า3:1 ใช้ Slow attack และ release จะเหมาะที่สุด แค่อย่าให้มันก้าวร้าว(aggressive) มากเกินไป แต่ไม่ต้องกังวลมากไปถ้าคุณไม่มี outboard compressor มันไม่จำเป็น คุณยังสามารถได้ผลลัพธ์ที่ดีได้ด้วย plugin
เทคนิคหรือข้อมูลต่างๆล้วนเป็นเทคนิคที่ไม่ตายตัว ซึ่งแตกต่างกันไปเพราะฉะนั้นควร ปรับใช้
ตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางครับ
------------------------------------
"ความรู้ต้องแบ่งปัน”
ขอบคุณความรู้ดีดีจาก
Mr arranger
-------------------------------------
1. ทิ้ง low end ไปซะบ้าง
เครื่องดนตรีทุกชิ้นควรมีย่านความถี่เสียงเป็นของตัวเอง
เช่น kick กับ bass จะครองพื้นที่ในส่วนย่านเสียงต่ำ (low end frequency)
ดังนั้น ถ้ากีต้าร์มีย่านเสียงต่ำเยอะ จะไปแย่งพื้นที่ของ bass กับ kick ที่เด่นในย่านนั้น
ทำให้ kick กับ bass ขาดความชัดเจน และฟังดูขุ่นมัวอีกด้วย
แต่มันแก้ได้ง่ายๆโดยการใช้ low cut filter แบบ ชันมากๆ ประมาณ 48db/octave แล้วตัดเสียงย่านที่ต่ำกว่า 90hz ของกีต้าร์มันทิ้งซะ แล้วมันจะทำให้ bass กับ kick ฟังชัดขึ้นแล้วเสียงกีต้าร์ก็จะฟังดูแน่นขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่ม low end เลย.
2. อย่า EQ ในขณะที่กดฟัง solo
ใครๆก็สามารถกดฟัง solo เสียงกีต้าร์ และทำเสียงให้มันฟังเพราะที่สุดได้เช่น ทำให้เสียงต่ำที่ฟังดูอุ่น ปรับแหลมให้กำลังพอดีและมีเสียงกลางที่หนาแต่เมื่อเอาเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆมาผสม เช่น kick และ bass จากตัวอย่างข้างต้น กีต้าร์จากที่เคยฟังดูเพราะ กลับฟังดูแปลกไปไม่เหมือนเดิม เพราะว่าย่านความถี่ของเครื่องดนตรีชิ้นอื่นมันซ้อนทับกับโทนของ guitar อยู่ ดังนั้น เวลาจะเพิ่ม หรือ ลด EQ จึงต้องฟังเสียงกีต้าร์ไปพร้อมๆกับเครื่องดนตรีชิ้นอื่นไปด้วยนั้นเอง
3. Eq ให้เข้ากัน
ลองนึกถึง เสียงร้อง เสียงเปียโนและเสียงกีต้าร์เสียงพวกนี้มีย่านความถี่เสียงที่ทับกันอยู่ในหลายจุด ถ้าจะให้เสียงร้องเด่นขึ้นมาไม่ฟังดูจม ให้ลองเพิ่มย่านเสียงแหลมดู (เริ่มที่ราวๆ 2kHz) เพื่อที่จะให้เสียงในย่านนั้นเด่นขึ้นและอยู่เหนือกว่าย่านกลางขางเสียง เปียโน และ กีต้าร์ ที่มีเยอะแทบล้นหลังจากนั้นต้องมาตัดสินใจว่า ย่านกลางต่ำ จะให้เสียงกีต้าร์หรือเปียโนนั้นเด่นขึ้นมา เช่น cut เปียโนที่ 500hz แล้ว boost ที่ 1.5kHz เพื่อเน้นให้มันอยู่ในย่านเสียงกลางแหลม แล้วลอง boost กีต้าร์ที่ 400Hz และ cut ที่ 2kHz เพื่อเน้นเสียงกลางต่ำ ทีนี้ทั้งสามเสียงก็จะฟังดูเข้ากันมากขึ้นและอยู่ในย่านของตัวเอง
4. การ pan ทำหลังสุด
เรามักคิดว่าการ pan เสียงเป็นการแก้ปัญหาเสียงดนตรีที่มัวด้วยการแพนเสียงแต่ละเสียงไปในคนละที่ แต่ย่านเสียงก็ยังทับกันอยู่ดี แต่ถ้าเราสามารถ eq ให้ย่านเสียงไม่ทับกันตอนเราแพนเสียงทีหลังมันจะทำให้ เสียงชัดขึ้นได้อีก (เราสามารถกด mono เพื่อเช็คได้)
5. Automation EQ
Eq ไม่ได้เป็นการทำครั้งเดียวแล้วเสร็จ ในบางส่วนเช่น solo เราอาจจะทำมากกว่าแค่ดัน volume ช่วงนั้น ให้เราฟังดูว่ามีย่านเสียงไหนที่ว่างอยู่ หรือ เครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆไม่ได้เล่นอยู่ให้เราเลือก boost eq กีต้าร์ ในช่วงความถี่นั้น ขณะกีต้าร์เล่น solo มันจะทำให้กีต้าร์ก็จะฟังดูโดดเด่นขึ้นมาโดยไม่ไปแย่งพื้นที่เครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ
6. การทำเยอะไม่ได้แปลว่าเราจะได้เยอะ
การมีเสียงกีต้าร์หลายๆชั้น อาจทำให้เสียงกีต้าร์ฟังดูเนียนขึ้นและอยู่ใน mix ได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าต้องการให้เสียงกีต้าร์ฟังดูเด่นที่สุด ใช้แค่ 1 track mono อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
7. ถ้าทำอะไรไม่ได้แล้วหล่ะ
ถ้าเราพยามทุกอย่างมาแล้วไม่เป็นผลให้เรา boost เสียงย่านแหลมที่ 3-4kHz เพราะเป็นย่านที่หูคนรับรู้ได้มากที่สุด แต่อย่าใช้มันมากเกินไปเพราะอาจทำให้เสียงกีต้าร์ฟังดูแสบหูและฟังดูน่ารำคาญ
*** บทความดังกล่าวเป็นเพียงบทความจากต่างประเทศที่นำมาแปลเพื่อแบ่งปันความรู้เท่านั้น
เทคนิคหรือข้อมูลต่างๆล้วนเป็นเทคนิคที่ไม่ตายตัว ซึ่งแตกต่างกันไปเพราะฉะนั้นควรปรับใช้ตามสถานะการณ์ที่แตกต่างกันออกไป หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางครับ
“ความรู้ต้องแบ่งปัน”
ขอบคุณMr arranger
Thank you.
แปลโดย : Paul Mytri Wee
เรียบเรียง : kritswut Budtpoe
, pracha Sornwaneeyaruk
ภาพจาก : Bejmin Chairos
บทความจาก : www.guitarplayer.com
ความดังในการ mix ไม่ใช่ว่าจะแค่เปิด volume ให้ดังขึ้น การที่เราจะได้เสียงใน การmix ที่ดังขึ้น แล้วมีคุณภาพนั้นต้องเข้าใจถึงเรื่องความดังในขั้นตอนต่างๆ
ในการ mix และที่สำคัญ source ของเราต้องมีคุณภาพด้วยเพื่อให้ได้ความดังที่ดีในการ mix
1.Source ที่ดี
- เราต้องดูให้ดีว่า source ที่เราอัดมามีคุณภาพและมีความดังและทรงพลังตั้งแต่แรก อย่างเช่นถ้าเราต้องเลือกกระเดื่องให้เลือกอันที่หนาและดังตั้งแต่แรกแทนที่เราจะใช้อันที่บางและเบาแล้วเรามาดันให้ดังที่หลัง ความคิดแบบนี้ใช้ได้กับเสียงอื่นๆทั้งหมด เราควรพยามให้คุณภาพและความชัดของ source ดีที่สุด
2.COMPRESS เป็นขั้นๆไป
- เราไม่ควรที่จะ compress bus รวมที่เดียว เราควรที่จะ compress ที่ละขั้น ที่ละนิด Kick และ snare ที่ทรงพลังจะเริ่มต้นด้วย compress ที่ละนิดในแต่ละ channel และ parallel bus
3.ความถี่เสียงย่านกลาง
ข้อมูลที่สำคัญที่สุดในงานดนตรีคือพวกความถี่เสียงย่านกลางหรือ “mid frequencies” เพราะหูของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ได้ยินเสียงย่านนี้มากกว่าย่านอื่นๆ อย่างเช่นในเสียงพูดคุยของเราจะมีเสียงย่านกลางมากที่สุด ถ้าเราจะทำให้ Kickดังขึ้นเราไม่จำเป็นที่จะต้องดันเสียงย่านต่ำขึ้นหลายๆครั้ง การดันเสียงย่านกลางจะช่วยเรื่องความดังของ kickด้วย ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความคิดที่เรามีอยู่ แต่นั้นคือวิธีที่ได้ผล
เสียงย่านกลางคือแกนหลังที่จะประเมินความดังของ mix ได้
4. เสียงย่านต่ำ
- ถ้าเรามีเสียงย่านต่ำมากกว่าเสียงย่านสูงเราจะสามารถทำให้ master bus ดังกว่าเดิมได้ ในตำแหน่งเดิม เพราะฉนั้นเราควรที่จะเหลือพื้นที่มากพอสำหรับเสียงย่านต่ำ อย่างเช่น เสียงเบสหรือเสียงกลอง เราควรที่จะตัดย่านเสียงต่ำของเครื่องดนตรีอื่นๆนอกจากเบสและ kickที่ 80hz เพื่อเหลือพื้นที่ไว้
5.การประลองระหว่างเครื่องย่านเสียงต่ำ
- เราควรที่จะดูให้ดีว่าเบสกับ kickไม่แย่งกันอยู่ในย่านเสียงเดียวกัน ให้แยกความถี่ของเบสกับ kickให้ชัดเจนเพื่อเสียงจะได้ไม่ตีกัน
6. COMPRESSORS
- Compressor ส่วนใหญ่จะรับมือกับย่านต่ำได้ไม่ดีเท่าไหร่ มันมักจะทำงานได้ดีกับย่านเสียงกลาง ถ้าเราต้องการเพิ่มความดังของ mix เราควรดันย่านกลางขึ้นก่อนเข้า compressor เพื่อให้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ compressor บางตัวที่ดีหน่อยจะมี filter ที่กรองเอาเสียงย่านต่ำออก เพื่อให้ compressor ทำงานได้ดีขึ้นและหลีกเลี่ยงการทำลายเนื้อเสียงย่านต่ำ
7. DISTORTION
- Distortion เป็นเสียงที่เหมาะกับการเพิ่มเสียง Harmonic การใช้เสียงแตกช่วยให้เสียงนั้นตัดผ่านเสียงอื่นๆในการmixได้อย่างดี ใช้ได้ดีเป็นพิเศษกับเสียงร้อง กลอง เบส กีต้าร์ และ lead synth มีปลั๊กอินหลายตัวที่ให้เสียงแตกที่ดี อย่างเช่น Sound Toy Decapitator, Magneto II ใน Cubase หรือแม้แต่ Lo-Fi ของ ProTools ถ้าใช้ distortion ให้ถูกต้องจะสามารถเพิ่มมุมมองของความดังได้
8. MASTER BUS
- เราควรใช้ compressor ที่ดีกับ master bus มีหลายๆอันที่ค่อนข้างดีทั้งที่เป็น Hardware และ Software บางตัวที่ดีคือ SSL, the Pheonix, the Zener, the Maselec และ the Shadow Hills และเราควรใช้ attack ที่ช้าประมาน 20-30 ms จะทำให้เสียงที่ออกมาพอดี รวมไปถึงค่า release ที่ดีจะทำให้เข็ม meter เด้งไปกับจังหวะเพลง แล้วเราก็ใช้ limiter อะไรก็ได้ที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็น Waves, Slate Digital, iZotope, Masser, UAD มีให้เลือกหลากหลายอย่างมาก ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบอะไร ท้ายที่สุดแล้วเราควรคำนึงไว้ว่าเสียงที่ดังไม่ใช่เพลงที่ดีและมีพลังเสมอไป เราควรคำนึงถึง dynamic และความดังที่ลงตัวกัน
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการทำดนตรีครับ
** บทความดังกล่าวเป็นเพียงบทความจากต่างประเทศที่นำมาแปลเพื่อแบ่งปันความรู้เท่านั้น
เทคนิคหรือข้อมูลต่างๆล้วนเป็นเทคนิคที่ไม่ตายตัว ซึ่งแตกต่างกันไปเพราะฉะนั้นควรปรับใช้ตามสถานะการณ์ที่แตกต่างกันออกไป หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางครับ
"ความรู้ต้องแบ่งปัน"
ขอบคุณMr arranger
ขอบคุณข้อมูลจาก www.doctormix.com
แปลโดย Paul Mytri