ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียน สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาและประสิทธิผลการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียน 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียน 3) ค้นหาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่เป็นตัวพยากรณ์ที่ดีของประสิทธิผลการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียนและสมการพยากรณ์ 4) หาแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่เป็นตัวพยากรณ์ที่ดีของประสิทธิผลการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร จำนวน 333 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 45 คน และครูผู้สอน จำนวน 288 คน กลุ่มตัวอย่างใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling)เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามประมาณค่า จำนวน 2 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเชื่อมั่น .971 ด้านที่ 2 ประสิทธิผลการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียน มีค่าความเชื่อมั่น .827 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการใช้ค่าสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (Pearson’s Product – Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1. ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา และประสิทธิผลการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2. ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา มีความสัมพันธ์ทางบวกกับประสิทธิผลของการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่เป็นตัวพยากรณ์ที่ดีของประสิทธิผลการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน คือ ภาวะผู้นำแบบดิจิทัล ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและภาวะผู้นำแบบสุนทรียสนทนา มีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการพยากรณ์ เท่ากับ ±.23848 สามารถเขียนสมการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้ Y′ = 1.684 + .210 (X2) + .226 (X4) + .166 (X3) Z′ = .260 (Z2) + .257 (Z4) + .206 (Z3) 4. ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียน ที่ควรได้รับการพัฒนา จำนวน 3 ด้าน ที่สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียน คือ 1) ภาวะผู้นำแบบดิจิทัล องค์กรมีความจำเป็นจะต้องปรับวัฒนธรรมและวิธีการบริหาร มีการสร้างองค์ความรู้ ใหม่ ๆ นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการสื่อสาร และผู้บริหารต้องสนับสนุนให้บุคลากรกล้าที่จะทำอะไรต่างที่แตกต่าง 2) ภาวะผู้นำแบบสุนทรีย์สนทนา ผู้บริหารต้องสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีการพบปะพูดคุยกับชุมชนของโรงเรียน สามารถพูดโน้มน้าวให้บุคลากรคล้อยตามได้ พูดดี พูดจาไพเราะ พูดจาสุภาพ พูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน และต้องมีการสร้างองค์ความรู้ในกระบวนการใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น และ 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองตามยุคตามสมัย มีการส่งเสริมให้นำองค์ประกอบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงมาใช้ในการบริหารงาน ทำกิจกรรมใหม่ ๆ ทำโครงการใหม่ ๆ ตามความเปลี่ยนแปลงไปของสังคม เปลี่ยนแปลงทั้งที่เป็นรูปธรรม นามธรรม บริบทรอบตัว ที่เห็นด้วยตา และนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการดำเนินงาน
ลำแพน มหาวงศ์, สวัสดิ์ โพธิวัฒน์, เยาวลักษณ์ สุตะโคตร (2566) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร. คณะครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร วารสารการบริหารการศึกษาและภาวะผู้นำ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ปีที่ 11 ฉบับที่ 42 มกราคม - มีนาคม 2566
ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 3
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 จำแนกตาม ตำแหน่ง วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การปฏิบัติงาน กลุ่มตัวอย่างการวิจัยคือ ข้าราชการครู จำนวน 288 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านวิสัยทัศน์ ด้านความฉลาดทางอารมณ์ ด้านความรู้ในการปฏิบัติงาน ด้านความสามารถในการบริหารและด้านการสื่อสารและแบบสอบถามปลายเปิดข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาทั้ง 5 ด้าน ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ .96 สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t และการทดสอบค่า F ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 มีภาวะผู้นำโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง 2. ข้าราชการครูที่มีตำแหน่งต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ข้าราชการครูที่มีวุฒิภาวะต่างกันมีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์การปฏิบัติงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยภาพรวมและรายด้านเมื่อพิจารณารายคู่ พบว่า ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์การปฏิบัติงาน 21 ปีขึ้นไป มีความคิดเห็นแตกต่างกันกับข้าราชการครูที่มีประสบการณ์การปฏิบัติงานน้อยกว่า 10 ปี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนคู่อื่น ๆ ไม่พบความแตกต่างกัน
จักรพันธ์ ไชยยิ่งกฤษศิริ (2553)ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 คณะครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.
ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูผู้สอน ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 22
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา เปรียบเทียบภาวะผู้นาของผู้บริหาร สถานศึกษา และการปฏิบัติงานของครูผู้สอน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารถานศึกษา และครูผู้สอน หาความสัมพันธ์ หาอานาจพยากรณ์ และแนวทางยกระดับภาวะผู้นาของ ผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสานักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 22 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหาร สถานศึกษา และครูผู้สอน ปีการศึกษา 2562 จานวน 348 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบหลาย ขั้นตอน (Multi-Stage Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ด้านภาวะผู้นาของผู้บริหาร สถานศึกษา มีค่าอานาจจาแนก ระหว่าง .268–.918 ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .9797 และ ด้านการปฏิบัติงานของครูผู้สอน มีค่าอานาจจาแนก ระหว่าง .337–.914 ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .9770 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One–Way ANOVA) การทดสอบ t-test ชนิด Independent Samples การวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s product-moment correlation efficient) และ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณทีละขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression
มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร
สุธิกานต์ บริเอก (2564) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูผู้สอน ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 22 คณะครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่21 2)ศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 จำนวน 327 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามตามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 1 ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.89 และแบบสอบถามระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 1 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย
ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับมากที่สุดทั้งในภาพรวม และรายด้านทุกด้าน 2) ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู อยู่ในระดับมากที่สุดทั้งในภาพรวมและรายด้านทุกด้าน 3) ระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สร้างสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ คือ Ŷtot = 1.054 + 0.774 X และสมกาพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ ẐYtot = .725Zx จากสมการณ์พยากรณ์ แสดงให้เห็นว่าภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 เปลี่ยนไป 1 หน่วย ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 1 เปลี่ยนไป 0.725 หน่วย
มุกรินทร์ กันเขตวิทย์, วัฒนา จินดาวัฒน์ (2566). ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 วารสารวิชาการสถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1)เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่นและ 2)เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ ผู้บริหารและครูสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น จำนวน 284 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบตอบสนองคู่ (Dual response format)ชนิด 5 ระดับและแบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้เทคนิค Modified Priority Needs Index (PNImodified) ในการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น
ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ของคุณลักษณะภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น โดยภาพรวม สภาพปัจจุบัน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำในยุคศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น โดยภาพรวม พบว่า ผู้บริหารโรงเรียนมีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำในยุคศตวรรษที่ 21 ดังต่อไปนี้ ลำดับที่ 1 ด้านด้านการใช้เทคโนโลยี/ดิจิทัลและการสื่อสาร ลำดับที่ 2 ด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์/นวัตกรรม ลำดับที่ 3 ด้านการมีวิสัยทัศน์ ลำดับที่ 4 ด้านความร่วมมือ ลำดับที่ 5 ด้านการเสริมพลังอำนาจ ลำดับที่ 6 ด้านทักษะสังคม และลำดับที่ 7 ด้านความมั่นใจและกล้าหาญ และมี 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำในยุคศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น มี 7 ด้าน 17แนวทาง
วรารัตน์ศรีบุดดา, อํานาจ ชนะวงศ์, ภาวะผู้นําในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น (2566). วารสารพุทธปรัชญาวิวัฒน์ ปีที่7 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม –ธันวาคม2566)
ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบและเพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาศึกษาระดับภาวะผู้นำ ของผู้บริหารสถานศึกษในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จําแนกตามตําแหน่ง ประสบการณ์การทํางาน และขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จํานวน 322 คน กําหนดขนาดโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60 -1.00 มีค่าความเชื่อมั่นของ แบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)
ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นําของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2. ผลจากการเปรียบเทียบภาวะผู้นําของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จําแนกตามตําแหน่ง ประสบการณ์การทํางาน และขนาดของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน 3. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นําของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนวทาง ดังนี้ 1) มีความเป็นกัลยาณมิตร ในการปฏิบัติงานร่วมกับบุคลากรภายในและบุคคลภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อ ต่อการเปลี่ยนแปลง เป็นนักคิด นักพัฒนาที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก มีการริเริ่มสิ่งต่าง ๆ รวมถึงความรวดเร็ว ในการปฏิบัติงาน 3) สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการทํางานเป็นทีม กําหนดหน้าที่และภาระงานของแต่ละคนตามความสามารถ ตําแหน่ง และประสบการณ์ 4) ส่งเสริม สนับสนุน และให้ความสําคัญในการนําเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 5) สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้บุคลากรทุกคนทํางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รัตนติกา ยากระโทก,สมเดช สาวันดี,วิภาส ทองสุทธิ์, (2568). ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน, ปีที่11ฉบับที่ 1มกราคม – กุมภาพันธ์ 2568
ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูโรงเรียนในสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 จำนวน 136 คน จาก 15 โรงเรียน โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นนำไปสุ่มอย่างง่ายแบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขต บ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมขององค์กร รองลงมาด้านการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร ด้านการกำหนดทิศทาง ขององค์กร และด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ตามลำดับ
2. ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน
ปรียานุช ทับหนองฮี. (2566) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 คณะศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก
ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น ข้าราชการครู จำนวน 346 คน ได้มาจากการได้จากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครซีและมอร์แกนแล้วทำการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และสุ่มอย่างง่ายตามลำดับ เครื่องมือที่ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบคำถามปลายเปิด โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานโดยการทดสอบค่าที และค่าเอฟ เมื่อพบความแตกต่างเป็นรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่
ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก
2. ผลเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกันเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการแสดงเป็นแบบฉบับให้บุคลากรเป็นผู้นำตนเอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน
3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ผู้บริหารควรให้โอกาสทำงานที่ท้าทายความสามารถของบุคลากร การสนับสนุนให้บุคลากรสามารถนำตนเองได้ของผู้บริหารสถานศึกษา และการให้กำลังใจบุคลากรในการทำงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ
นายเทพรัตน์ ศรีคราม.(2562) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 332 คน คัดเลือกโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าความเชื่อมั่น .98 2) แบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวก ในระดับสูง (r = .862**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำแห่งการเรียนรู้ พัฒนาบุคลากรให้มีศาสตร์ทางวิชาชีพ
สร้างวิสัยทัศน์ กระจายอำนาจให้บุคลากรอย่างเหมาะสม คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผลประโยชน์ของทุกภาคส่วน สร้างความสมดุลของทรัพยากรทางการศึกษา และให้ความสำคัญกับความรู้ ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
นายวสันต์ ศักดาศักดิ์.(2565) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
This mixed methods research was applied and divided into two phases. In phase one, was conducted with two main objectives: 1) to study the spiritual leadership of school administrators according to the perspectives of teachers in the Bangkok Metropolitan Administration (BMA); and 2) to compare the spiritual leadership of school administrators according to the perspectives of teachers in BMA, classified by areas, school sizes, education levels, and academic standings. The samplesincluded 370 teachers from educational school inthe BMA.Next, multi-stage random sampling was used to select teachers from the BMAas participants in this research. The research instrument for phase one was a five-point Likert scale. In phase two, was conducted with the objective of creating spiritual leadership development guidelines for school administrators under the BMA. Using purposive sampling,there was a total of nine participants, including two deputy directors, four education supervisors, Department of Education, BMA; and three school administrators, BMA. The research instrument used was structured interviews. The results of the research found that: 1) the spiritual leadership of school administrators from the perspectives of BMA teachers were at high levels overall and in each aspect; 2) the spiritual leadership of educational institution administrators from the perspectives of teachers within the BMA classified by areas, school sizes, education levels, and academic standingswere not different overall and in each aspect; and 3) approaches to the spiritual leadership development of school administrators under the BMAinclude development of knowledge and skills, forming of attitudes, and implementation.
Wacharin Korngsook, Patumphorn Piatanom (2023) Approaches to Spiritual Leadership Development of School Administrators in Schools Under the Bangkok Metropolitan Administration International Journal of Education, v11 n3 p9–17 (2023)
แนวทางการพัฒนาความเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณของผู้บริหารโรงเรียนในโรงเรียนในเขตบริหารกรุงเทพมหานคร
การวิจัยวิธีการผสมนี้ถูกนําไปใช้และแบ่งออกเป็นสองขั้นตอน ในระยะที่ 1 มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ 1) ศึกษาความเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณของผู้บริหารโรงเรียนตามมุมมองของครูในเขตการปกครองกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณของผู้บริหารโรงเรียนตามมุมมองของครูใน กทม. จําแนกตามพื้นที่ ขนาดโรงเรียน ระดับการศึกษา และอันดับทางวิชาการ ตัวอย่างประกอบด้วยครู 370 คนจากโรงเรียนการศึกษาใน กทม. จากนั้นใช้การสุ่มตัวอย่างหลายขั้นตอนเพื่อเลือกครูจากผู้เข้าร่วม BMAas ในการวิจัยนี้ เครื่องมือการวิจัยสําหรับระยะที่หนึ่งคือมาตราส่วน Likert ห้าจุด ในระยะที่สองดําเนินการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแนวทางการพัฒนาความเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณสําหรับผู้บริหารโรงเรียนภายใต้ กทม. ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบมีจุดประสงค์มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 9 คน รวมถึงรองผู้อํานวยการ 2 คน หัวหน้างานการศึกษา 4 คน กรมศึกษาธิการ กมทร. และผู้บริหารโรงเรียนสามคน กทม. เครื่องมือวิจัยที่ใช้คือการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง
ผลการวิจัยพบว่า: 1) ความเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณของผู้บริหารโรงเรียนจากมุมมองของครู BMA อยู่ในระดับสูงโดยรวมและในแต่ละด้าน 2) ความเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณของผู้บริหารสถาบันการศึกษาจากมุมมองของครูภายใน กทม. จําแนกตามพื้นที่ ขนาดโรงเรียน ระดับการศึกษา และอันดับทางวิชาการไม่แตกต่างกันโดยรวมและในแต่ละด้าน และ 3) แนวทางการพัฒนาความเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณของผู้บริหารโรงเรียนภายใต้ กทม. รวมถึงการพัฒนาความรู้และทักษะ
วัชรินทร์ กองสุข,ปทุมพรรณ เปียตานม (2023) แนวทางการพัฒนาความเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณของผู้บริหารโรงเรียนในโรงเรียนในเขตบริหารกรุงเทพมหานคร วารสารการศึกษานานาชาติ ฉบับที่ 11 ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2566 หน้า 9–17
Instructional Leadership of School Administrators and Teachers' Instructional Mood States
This study aims to explain the relation between school administrators' instructional leadership and teachers' instructional moods according to teacher opinions. The research is quantitative in nature and designed in a correlational survey pattern using quantitative research methods. A total of 160 participants took part in the study, selected through simple random sampling method. In data analysis, t-tests and ANOVA were used. Pearson product-moment correlational analysis was employed to determine the relation between school administrators' instructional leadership and teachers' instructional moods. The impact of school administrators' instructional leadership on teachers' instructional moods were analyzed using simple linear regression analysis. It was found that the level of school administrators' instructional leadership was high, and teachers' instructional moods were at a moderate level. Teachers were found to have a higher sense of enjoyment in their instructional moods, while their anxiety levels were relatively low. School administrators' instructional leadership behaviors were found to be consistent across gender, educational level, years of service in the school, and duration of working with the current school administrator. Similarly, no differences were found in teachers' instructional moods concerning gender, educational level, years of service in the school, and duration of working with the current school administrator. A low level of positive correlation was found between school administrators' instructional leadership and teachers' instructional moods. The study concluded that the instructional leadership of school administrators has a minimal impact on teachers' instructional mood states.
Ahmet GİRGİN (2023) Instructional Leadership of School Administrators and Teachers' Instructional Mood States EJERCongress 2023 Conference Proceedings ,Ani Publishing, 2023, pp. 1-23
ความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนและสถานะอารมณ์การสอนของครู
การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนกับอารมณ์การสอนของครูตามความคิดเห็นของครู การวิจัยมีลักษณะเชิงปริมาณและได้รับการออกแบบในรูปแบบการสํารวจเชิงสหสัมพันธ์โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 160 คนเข้าร่วมในการศึกษา โดยคัดเลือกผ่านวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย ในการวิเคราะห์ข้อมูล จะใช้การทดสอบ t และ ANOVA การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาของผลิตภัณฑ์เพียร์สันถูกนํามาใช้เพื่อกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นผู้นําในการสอนของผู้บริหารโรงเรียนกับอารมณ์การสอนของครู ผลกระทบของความเป็นผู้นําด้านการสอนของผู้บริหารโรงเรียนต่ออารมณ์การสอนของครูได้รับการวิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย พบว่าระดับความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนอยู่ในระดับสูง และอารมณ์การสอนของครูอยู่ในระดับปานกลาง พบว่าครูมีความรู้สึกเพลิดเพลินในอารมณ์การสอนที่สูงขึ้นในขณะที่ระดับความวิตกกังวลค่อนข้างต่ํา พบว่าพฤติกรรมความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนมีความสอดคล้องกันตามเพศระดับการศึกษาปีที่ให้บริการในโรงเรียนและระยะเวลาในการทํางานกับผู้บริหารโรงเรียนปัจจุบัน ในทํานองเดียวกันไม่พบความแตกต่างในอารมณ์การสอนของครูเกี่ยวกับเพศระดับการศึกษาปีที่ให้บริการในโรงเรียนและระยะเวลาในการทํางานกับผู้บริหารโรงเรียนปัจจุบัน พบความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับต่ําระหว่างความเป็นผู้นําด้านการสอนของผู้บริหารโรงเรียนกับอารมณ์การสอนของครู การศึกษาสรุปว่าความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนมีผลกระทบน้อยที่สุดต่อสภาวะอารมณ์การสอนของครู
อาเม็ต GİRGİN (2023) ความเป็นผู้นําด้านการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียนและสถานะอารมณ์การสอนของครู สํานักพิมพ์ Ani 2023 หน้า 1-23
Examination of the relationship between school principals’ 21st century skills and their strategic leadership according to teachers’ opinions
This study aims to examine the relationship between school principals’ 21st century skills and their strategic leadership according to teachers’ opinions. In this quantitative research, a descriptive model that describes the situation was used. The study was conducted in Ankara, and 424 teachers joined the study. To get data from teachers, two scales were used: 21st Century Educational Administrators’ Skills Scale and Strategic Leadership Scale. In order to determine the level of school principals’ 21st century skills and their strategic leadership, descriptive analysis was used as well as Pearson Correlation Analysis and Regression analysis. There were significant positive relationships between all dimensions of educational administrators’ 21st century skills and strategic leadership behaviors. Besides, education managers’ 21st century skills were found to be a significant predictor of their strategic leadership behaviors. As a result of the research, it was revealed that information literacy, technology literacy, accountability, leadership and responsibility were significant predictors of managerial leadership behavior. School administrators need to increase their levels of knowledge literacy, technological literacy, accountability, leadership, and responsibility skills in order to improve their managerial leadership behaviors.
Servet ÖZDEMİR , Ömür ÇOBAN , Süheyla BOZKURT (2020) Examination of the relationship between school principals’ 21st century skills and their strategic leadership according to teachers’ opinions. Pegem Eğitim ve Öğretim Dergisi, 10(2), p399-426 2020
การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้อํานวยการโรงเรียนกับความเป็นผู้นําเชิงกลยุทธ์ตามความคิดเห็นของครู
การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้อํานวยการโรงเรียนกับความเป็นผู้นําเชิงกลยุทธ์ตามความคิดเห็นของครู ในการวิจัยเชิงปริมาณนี้ใช้แบบจําลองเชิงพรรณนาที่อธิบายสถานการณ์ การศึกษานี้ดําเนินการในอังการา และมีครู 424 คนเข้าร่วมการศึกษา ในการรับข้อมูลจากครู ได้ใช้มาตราส่วนสองแบบ: มาตราส่วนทักษะของผู้บริหารการศึกษาในศตวรรษที่ 21 และมาตราส่วนความเป็นผู้นําเชิงกลยุทธ์ เพื่อกําหนดระดับทักษะในศตวรรษที่ 21 ของอาจารย์ใหญ่โรงเรียนและความเป็นผู้นําเชิงกลยุทธ์ จึงใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนาเช่นเดียวกับการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอย มีความสัมพันธ์เชิงบวกที่สําคัญระหว่างทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารการศึกษาทุกมิติและพฤติกรรมความเป็นผู้นําเชิงกลยุทธ์ นอกจากนี้ ทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้จัดการการศึกษายังพบว่าเป็นตัวทํานายที่สําคัญของพฤติกรรมความเป็นผู้นําเชิงกลยุทธ์ของพวกเขา จากการวิจัยพบว่าความรู้ด้านข้อมูล ความรู้ด้านเทคโนโลยี ความรับผิดชอบ ความเป็นผู้นํา และความรับผิดชอบเป็นตัวทํานายที่สําคัญของพฤติกรรมความเป็นผู้นําด้านการจัดการ ผู้บริหารโรงเรียนจําเป็นต้องเพิ่มระดับความรู้ความรับผิดชอบความเป็นผู้นําและทักษะความรับผิดชอบเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมความเป็นผู้นําด้านการจัดการ
เซอร์เวต โอซเดมิร์,โอมูร์ โชบัน,ซูเฮย์ล่า โบซค์คอร์ท (2563) การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้อํานวยการโรงเรียนกับความเป็นผู้นําเชิงกลยุทธ์ตามความคิดเห็นของครู วารสารการศึกษาและการฝึกอบรม Pegem,10(2), พ.ศ.2563, หน้า 399-426