ชื่อสถานศึกษา ตำบลลีเล็ด สังกัด ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอพุนพิน
ที่ตั้ง/การติดต่อ ตั้งอยู่ วัดบางใหญ่ หมู่ที่ 1 บ้านบางใหญ่ฝั่งขวา ตำบลลีเล็ด อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
โทรศัพท์ 099-4091114
ประวัติความเป็นมาของ กศน.ตำบลลีเล็ด
ในสมัยที่มีหัวเมืองไชยาเป็นศูนย์กลางการปกครอง ขึ้นตรงกับกรุงศรีอยุธยา (ก่อนพ.ศ.2439) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ (ร.5) ทรงเสด็จไปบ้านดอน (ทางเรือ) แล้วเจอกับพายุฝน จึงทรงเสด็จไปตามคลองสายนี้ ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นคลองลัด จึงได้ชื่อเรียกชื่อคลองสายนี้ว่า “คลองลัด”
ชาวบ้านในคลองลัด ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ข้าว จึงมีชาวจีนล่องเรือมารับซื้อข้าวอยู่เป็นประจำ ชาวจีนจึงเรียก คลองลัด เพี้ยนไปเป็น คลองเล็ดสมัย ร.5 ทรงปฏิรูประบบการปกครองท้องถิ่น โดยรวมอำนาจเข้าส่วนกลาง ทรงริเริ่มระบบการปกครองแบบหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัดในปี พ.ศ.2445 มีการตั้งเป็นตำบลลีเล็ด มีขุนลีเล็ดลัทธกิจ (นาค ธดากุล) เป็นกำนันคนแรก แต่เดิมชาวบ้านมีอาชีพทำไร่ข้าวปนกับสวนมะพร้าว เริ่มหันมาทำนา การทำไร่จึงหมดไปในช่วงนี้ ส่วนในคลองชาวบ้านไม่กล้าลงไปหาปลา เพราะมีจระเข้ชุกชุมมาก ชาวบ้านที่อยู่ริมคลองต้องใช้ไม้กั้นเป็นคอก เพื่อลงไปอาบน้ำ ต่อมาไม่นานมีพวกแขกมารับซื้อจระเข้ชาวบ้านจับจระเข้ขายจนหมด ในที่สุดก็สูญพันธุ์ เมื่อในคลองไม่มีจระเข้ชาวบ้านก็เริ่มหันมาทำอาชีพประมงพื้นบ้าน พื้นที่ที่เป็นนาข้าวกลายเป็นสวนมะพร้าว จนมาถึงปัจจุบัน อาชีพที่สำคัญของชาวลีเล็ดก็คือ การทำประมงกับสวนมะพร้าว
ศกร.ระดับตำบลลีเล็ด ตั้งอยู่ที่ศรัทธาธรรม วัดบางใหญ่ หมู่ที่ 1 บ้านบางใหญ่ฝั่งขาก ตำบลลีเล็ด
อำเภอพุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 10 เดือนมกราคม พ.ศ.2558 กศน.ตำบลลีเล็ด(เดิม)ได้ย้ายสถานที่จากเดิมตั้งอยู่ที่โรงเรียนวัดบางพลา หมู่ที่ 5 บ้านบางพลา ตำบลลีเล็ด โดยได้ความอนุเคราะห์ให้ใช้อาคารศาลาศรัทธาธรรม ของวัดบางใหญ่ เป็นสถานที่เปิดจัดกระบวนการเรียนรู้ การพบกลุ่ม ของนักศึกษาขั้นพื้นฐาน และเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างของกศน.
ลักษณะทั่วไป และระบบนิเวศ
ลักษณะภูมิประเทศ
ลีเล็ดเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีพื้นที่ประมาณ 17,266 ไร่ มีประชากรทั้งสิ้น 3,881 คน ประกอบไปด้วยหมู่บ้านจำนวน 8 หมู่บ้าน คือ บ้านบางใหญ่ฝั่งขวา บ้านคลองราง บ้านบางใหญ่ฝั่งซ้าย บ้านบางบุตร บ้านบางพลา บ้านบางในบ้าน บ้านคลองกอ บ้านบางทึง
สภาพทั่วไปของตำบลลีเล็ดจะเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำไหลผ่าน และบางส่วนอยู่ติดกับทะเล มีน้ำเค็มท่วมถึง เป็นพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ในอดีตแต่ละหมู่บ้านจะใช้เส้นทางทางน้ำในการสัญจรไปมาซึ่งนับว่ามีเป็นร้อยสาย เพราะลักษณะสภาพพื้นที่ที่เป็นเช่นนั้นทำให้ประชากรที่อาศัยบริเวณที่ราบต่ำประกอบอาชีพทำสวนมะพร้าว ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ติดกับทะเลจะทำประมงพื้นบ้านเป็นอาชีพ นอกจากอาชีพการทำสวนมะพร้าวและประมงพื้นบ้านแล้ว ในปัจจุบันยังมีการทำนากุ้งร่วมด้วย
ในตำบลลีเล็ดมีวัดอยู่ 5 วัดด้วยกัน คือ วัดบางใหญ่ วัดบางพลา วัดบางบุตร วัดคลองกอ และวัดตรีธาราราม
มีโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษา 3 โรงเรียน คือ โรงเรียนวัดบางพลา โรงเรียนวัดตรีธาราราม และโรงเรียนบ้าน
คลองราง
ในปัจจุบันลีเล็ดเป็นตำบลที่มีความเจริญมากขึ้น จากที่เคยสัญจรกันทางน้ำก็เปลี่ยนมาใช้รถแทน มีถนนตัดใหม่เกิดขึ้นหลายสายเชื่อมโยงอำเภอต่าง ๆ กับลีเล็ดให้มีความสะดวกขึ้น บ้านผู้คนจากที่เคยตั้งอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง ได้เคลื่อนย้ายมาสร้างใกล้ถนน แต่ยังคงมีความเป็นวิถีชนบท
ทิศเหนือ ติดกับ ทะเลอ่าวไทย
ทิศใต้ ติดกับ ต.ศรีวิชัย อ.พุนพิน จ.สุราษฏร์ธานี
ทิศตะวันออก ติดกับ ต.บางโพธิ ์อ.เมือง จ.สุราษฏร์ธานี
ทิศตะวันตก ติดกับ ต.คลองไทร อ.ท่าฉาง จ.สุราษฏร์ธานี
วัฒนธรรมประเพณี
1. วันขึ้นปีใหม่ 1 ม.ค. ของทุกปี ชาวบ้านจะนำอาหารไปทำบุญตักบาตรที่วัด เพื่อเสริมสิริมงคลให้ตนเอง และอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับไปแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถร่วมทำบุญกับชาวบ้านได้
2. วันมาฆบูชา ขึ้น 15 ค่า เดือน 3 เช้าทา บุญตักบาตร เย็นร่วมกันเวียนเทียนเพื่อทาบุญและสืบทอดประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนา
3. วันสงกรานต์ วันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี ตอนเช้าทำบุญตักบาตร หลังจากเสร็จพิธี มีการสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวคนเฒ่าคนแก่ สาดน้ำสงกรานต์เพื่อแสดงความเคารพนับถือผู้หลักผู้ใหญ่
สืบทอดประเพณี
4. วันจบปีจบเดือน วันแรม 14 ค่ำ เดือน 5 มีการทำบุญตักบาตร การละเล่นพื้นบ้าน เล่นสะบ้า เล่นหญิงไหว้ชายรำ ปัจจุบันมีการแข่งปีนเสาน้ำมัน แข่งพายเรือหัวใบ้ท้ายบอด พายกระทะ ชักเขย่อเป็นการฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไทย
5. วันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วัน เช้านำอาหารไปทำบุญตักบาตร และเวียนเทียน
6. วันอาสาฬหบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 มีการตักบาตร เวียนเทียน
7. วันสวดคลอง นิยมทำในเดือน 6 ของทุกปี เช้าชาวบ้านทำแพเล็ก ๆ ด้วยกาบกล้วย แล้วให้คนในหมู่บ้านนำดอกไม้ธูปเทียนข้าวสาร เส้นผม เล็บ และเศษเสื้อผ้าใส่ลงในแพ นำไปลอยในคลอง เชื่อว่าเป็นการนำเอาสิ่งไม่ดีออกไปจากตัว ชาวบ้านเรียกแพนี้ว่า “เรือเจ้าเรือนาย” จากนั้นนิมนต์พระสงฆ์ลงเรือเพื่อสวดทำพิธี ชาวบ้านจะขับเรือให้พระสงฆ์สวดไปตลอดทางในคลอง เป็นการสะเดาะเคราะห์ ขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากคลอง
8. วันเข้าพรรษา วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ชาวบ้านจะทำบุญตักบาตร นำเงินห่อกระดาษดอกไม้ไปวัด ทำพิธีในโบสถ์ เพื่อทำบุญส่งพระเข้าจำพรรษา เนื่องจากเป็นฤดูกาลเพาะปลูกไม่เหมาะที่พระจะออกบิณฑบาต
9. วันรับตายาย (รับเปรต) วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 เชื่อว่าเป็นวันที่ยมทูตปล่อยวิญญาณบรรพบุรุษกลับมารับส่วนบุญจากลูกหลาน โดยการนำอาหารคาวหวาน ดอกไม้ ธูปเทียน ผลไม้ และขนมประจำท้องถิ่น ไปทำบุญ เป็นวันที่ลูกหลานพบปะกัน
10. วันส่งตายาย (ส่งเปรต) วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ชาวบ้านจะให้ความสำคัญกับวันส่งมากกว่าวันรับ โดยจะเตรียมอาหาร ที่นิยม คือ ข้าวสวย ผัดเปรี้ยวหวาน ทอดมัน แกงส้ม สะตอดอง แกงจืด ขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมที่ขาดไม่ได้ คือ รังนก ขนมไส้เค็ม ขนมลา ขนมเทียน ขนมต้ม ผลไม้ต่างๆ เลี้ยงพระเพล ร่วมรับประทานอาหาร ตอนบ่าย สวดบังสุกุลกระดูก ที่ขาดไม่ได้คือ การตั้งร้านเปรต เพื่อให้วิญญาณที่ไม่มีญาติมารับส่วนบุญ
11. วันออกพรรษา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ทำบุญตักบาตร เพื่อวันที่สิ้นสุดการจำพรรษาของพระสงฆ์
12. งานชักพระทอดผ้าป่า แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ก่อนวันงาน ชาวบ้านร่วมกับพระสงฆ์ทำเรือพนมพระ และรถพนมพระ คืนวันพระ 15 ค่ำ ทำพิธีสวดสมโภชเรือพนมพระ ตกแต่งพุ่มผ้าป่า แรม 1 ค่ำ นิมนต์พระสงฆ์ลงเรือ เพื่อประพรมน้ามนต์ให้กับชาวบ้าน เมื่อถึงอำเภอเมือง ก็เอารถพนมพระร่วมขบวนแห่ไปทั่ว เมือง
13. วันลอยกระทง ขึ้น 15 ค่า เดือน 12 จะทำเพื่อขอขมาเจ้าแม่คงคาและสะเดาะเคราะห์
ลิเกป่า
คณะลิเกป่า มีหัวหน้ากลุ่มชื่อ นายจำรัส กลับแดง อายุ 78 ปี ฝึกเล่นลิเกป่ามาตั้งแต่อายุ 19 ปี มักนิยมเล่นในงานวัด งานศพ ในคืนหลังจากที่เผาศพแล้ว ลิเกป่าเล่นได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เนื้อเรื่องที่เล่นส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของสามัญชน นำมาจากวรรณคดีบ้าง ชาวบ้านแต่งเองบ้าง เช่น เรื่อง ทินกรรัศมี มณีหยาดฟ้า จันทโครพ ตัวละครก็มีหลายตัวเช่น พระเอก นางเอก พระรอง นางรอง เจ้าเมือง นางเมือง ตัวร้าย แขก นางยักษ์ โจร เสนาอำมาตย์ ตาเจ้า แม่ชี ตัวตลก ฤาษี ส่วนเครื่องแต่งกายก็แตกต่างกันไป เช่น ผู้หญิงจะนุ่งผ้าลาย + เสื้อยืด + กรองคอ + ลูกปัด ชฎา +ต่างหู+ สร้อยคอ ส่วนผู้ชายนุ่งโจงกระเบน + เสื้อยืด + กรองคอ + ลูกปัด + ผ้าคาดพุง ส่วนฤาษี จะใส่ชุดฤาษี + ไม้เท้า และมีหมวกฤาษี เครื่องดนตรีที่ใช้ก็มี รำมะนา +โหม่ง + ฉิ่ง
แหล่งท่องเที่ยว
จุดเด่นด้านการท่องเที่ยวของชุมชน / สถานที่เด่น
1. ป่าชายเลน ป่าชายเลนบ้านลีเล็ด ตั้งอยู่ในพื้นที่อ่าวบ้านดอน มีผืนน้ำทะเลอันกว้างใหญ่ ล้อมรอบด้วยป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ที่สำคัญหลายชนิด เช่น ลำพู, โกงกาง, แสม, ถั่ว, ลำพูหิน, ตะบูน, หลุมพอสามารถนำไม้มาใช้ในงานก่อสร้างได้ส่วนที่ใช้เป็นสมุนไพรก็มี เช่น เหงือกปลาหมอ รักษาโรคมะเร็ง, ย่านขี้เดือน รักษาโรคท้องอืด, แสมรักษาโรคผอมแห้ง แก้ลม ขับเลือด ฯลฯ และยังมีอีกหลายชนิด เช่น ปรงทะเล, จาก, ลำแพน, หน่อเซียน, ปอทะเล และพืชเล็ก ๆ เช่นตะไคร่น้ำสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนมี ลิงหางยาว, นกกระยาง, นกกะปูด, หิ่งห้อย, งู, ผึ้ง, ต่อ, ปูทะเล, ปูเปี้ยว, หอยจุ๊บแจง, หอยกัน ฯลฯ
2. หิ่งห้อย เป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากการชมหิ่งห้อยที่อื่น เพราะที่นี่จะเป็นการนำชมวงจรชีวิตหิ่งห้อย ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาหาร แหล่งที่อยู่อาศัย และวัฏชีวิตของหิ่งห้อยตั้งแต่ไข่จนเติบโตเป็นตัวเต็มวัย
3. ศูนย์เรียนรู้และศึกษาธรรมชาติ เกิดจากการที่ชาวบ้านหมู่ที่ 4 ร่วมแรงร่วมใจกันนำเงินจากโครงการ SML ของหมู่บ้าน มาสร้างเป็นศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศป่าชายเลน เพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้ของคนทั้งภายในและนอกชุมชน รวมทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ หลังจากการก่อสร้างศูนย์แล้วเสร็จ ทางอำเภอและจังหวัดได้สนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมในการก่อสร้างทางเดินศึกษาธรรมชาติในป่าชายเลน (Walk Way)
4. เขตอนุรักษ์พิเศษ เป็นสถานที่ที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ โดยการนำภูมิปัญญาพื้นบ้านในการทำ มีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ และมีการห้ามไม่ให้จับปลาในบริเวณเขตอนุรักษ์พิเศษ
5. กลุ่มอาชีพ ได้แก่ กลุ่มใบจากและกลุ่มกะปิ
กิจกรรมท่องเที่ยว
• ล่องเรือชมธรรมชาติระบบนิเวศป่าชายเลนและลำคลองต่าง ๆ
• ประกอบกิจกรรมร่วมกับชาวบ้านตามวิถีชีวิตท้องถิ่น เช่น ร่วมออกหาปลา ถีบกระดาน จับปู
• ชมศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น ลิเกป่า มโนราห์
• เยี่ยมชมกลุ่มอาชีพเสริมในชุมชน เช่น กลุ่มใบจาก กลุ่มกะปิ
• เรียนรู้วัฏจักรหิ่งห้อย
• เข้าพักค้างคืนร่วมกับชุมชนในรูปแบบ Home Stay
• จัดกิจกรรมสิ่งแวดล้อมศึกษาสำหรับโรงเรียน
• กิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การปลูกป่าชายเลน
อาหาร
แหล่งอาหารที่สำคัญของชาวลีเล็ด คือ ทะเลกับป่าชายเลน วัตถุดิบที่ได้คือ กุ้ง, หอย, ปู, ปลา อีกส่วนได้มาจากสัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงเอง เช่น ไก่และหมู ผักที่นำมาทำอาหารก็หาได้จากในท้องถิ่น มีผักพื้นบ้านเช่น นกจาก, ลูกจากอ่อน, ลูกเขาคัน, ลูกลำแพน, ดอกลำพู, เหม่งมะพร้าว, เห็ดแครง ฯลฯ
- เคล็ดลับในการทำอาหารทะเลให้อร่อยของชาวลีเล็ด
คือ อาหารต้องมาจากทะเลสด ๆ เวลาปรุงควรให้น้ำแกง หรือน้ำมันเดือด และพยายามอย่าคน เพื่อลดกลิ่นคาว ต้องปรุงรสชาติให้เข้มข้น
- ความเชื่อด้านอาหารก็มี เช่น กินแกงขี้เหล็ก ทำให้ระบบขับถ่ายดี ต้มใบทับทิมกินน้ำ แก้ท้องเสีย
ต้มรากขี้เดือน กินน้ำ แก้ท้องอืดน้ำต้มใบฝรั่ง แก้ปวดท้อง น้ำต้มใบชุมเห็ด ลดอาการเมาสุรา น้ำมะพร้าว ให้สุนัขและแมวกินเวลาโดนยาเบื่อ
- เมนูอาหารพื้นบ้าน จำแนกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
1. ประเภทปลา
2. ประเภทหมู – ไก่
3. ประเภทแกงทั่วไป
4. ประเภทน้ำพริก ผักจิ้ม
นับตั้งแต่กลางปี 2547 ที่ชุมชนลีเล็ดได้ก่อตั้งกลุ่มชุมชนลีเล็ดนำเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรนั้น กล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านทรัพยากรป่าชายเลนที่มีต้นไม้เกิดขึ้นใหม่ จำนวน 2,733 ไร่ (ข้อมูลเมื่อปี 2550 วัดโดยการจับ GPS) โดยที่ชุมชนไม่ต้องลงแรงปลูก เมื่อมีแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์เพิ่มขึ้นก็ส่งผลให้สัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลาก็เพิ่มตามมา รายได้ของผู้คนในชุมชนก็เพิ่มขึ้น อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ น้ำในแม่น้ำลำคลองสามารถใช้ในการอุปโภคได้เป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งปนเปื้อน ชุมชนมีความสะอาดน่าอยู่ น่ามอง
ชาวบ้านก็มีความรู้ความเข้าใจ กระตือรือร้นและให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์มากขึ้น พร้อมทั้งตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ว่าส่งผลอย่างไรต่อชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง เพราะว่าได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
หลังจากทำการอนุรักษ์ คือ ชาวประมงพื้นบ้านสามารถจับสัตว์น้ำได้มากขึ้น และเข้าใจถึงวิธีการทำประมงที่ถูกวิธี เมื่อจับได้สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยก็จะปล่อยคืนกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อให้เจริญเติบโต ซึ่งจากตรงนี้ทำให้รู้ได้ว่าทุกคนคำนึงถึงความยั่งยืนของทรัพยากรในอนาคต เพราะถ้าจับหมดไม่ว่าตัวเล็กหรือตัวใหญ่ เปรียบเหมือนกับการ
ทำลายหม้อข้าวหม้อแกงของตนเอง ในอนาคตก็จะไม่มีให้ลูกหลานได้ทำมาหากิน ประกอบอาชีพกันต่อไป ทั้งที่ในอดีตเมื่อพูดถึงการอนุรักษ์ ทุกคนจะเมินเฉยและต่อต้าน
การทำประมงผิดกฎหมายของคนในชุมชนลดลงไปประมาณ 80% ส่วนที่เหลือก็ให้ความร่วมมือโดยการไม่ทำอวนลาก อวนรุนในบริเวณเขตอนุรักษ์ของชุมชน แต่สามารถทำได้ในบริเวณพื้นที่ที่อยู่ห่างจากต้นไม้ต้นสุดท้ายของป่าชายเลนประมาณ 3 กิโลเมตร นอกจากอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนแล้ว พฤติกรรมการทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลองก็ค่อย ๆ หายไป บริเวณบ้านเรือนมีการพัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์ให้น่าดู น่าอยู่
เรื่องของการอนุรักษ์นี้ ชุมชนเองก็มีการตั้งกฎของชุมชนเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรในป่าชายเลน เช่น การใช้ประโยชน์จากต้นไม้ในป่าชายเลนจะต้องมีการขออนุญาตผ่านคณะกรรมการป่าชายเลนก่อน ซึ่งคณะกรรมการจะมาจากการคัดเลือกของแต่ละหมู่บ้าน นอกจากนี้ ชุมชนยังได้มีการจัดทำเขตอนุรักษ์พิเศษ คือ จัดไว้เป็นแหล่งสำหรับเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ เป็นที่หลบภัยของสัตว์วัยอ่อน โดยนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่น “กร่ำ” เครื่องมือประมงพื้นบ้านมาประยุกต์ทำเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ในเขตอนุรักษ์พิเศษ (มีลักษณะคล้ายกับการทำปะการังเทียม) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ และในเขตนี้ห้ามทำประมงทุกประเภท
ตอนนี้ทุกคนที่ทำงานอนุรักษ์มีความคาดหวังว่าในอนาคตจะทำให้การทำประมงผิดกฎหมายทั้งจากคนในชุมชนและภายนอกชุมชนหมดไป
ปัจจุบัน กลุ่มองค์กรต่าง ๆ ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนทั้ง 3 โรง ในชุมชน สภาที่ปรึกษาการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง ตำบลลีเล็ด องค์การบริหารส่วนตำบล ก็หันมาให้ความสำคัญและร่วมมือกันในการดูแล อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น
ดังนั้น สรุปได้ว่า การท่องเที่ยวโดยชุมชนของลีเล็ดเป็นเครื่องมือที่ทำให้การอนุรักษ์เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เป็นรูปธรรม การท่องเที่ยวสามารถสร้างกระแสให้เกิดการอนุรักษ์ และเป็นกระบอกเสียงในการประชาสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี เพราะสมาชิกทุกคนจะช่วยกันพูดคุย กระจายข่าวให้กับทุกคนในชุมชนได้รับรู้ถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นจากการอนุรักษ์
นอกจากการอนุรักษ์และจัดการเกี่ยวกับทรัพยากรแล้ว การท่องเที่ยวโดยชุมชนยังเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูและสืบสานวัฒนธรรม ศิลปะการแสดงท้องถิ่น เช่น ลิเกป่า ที่ในอดีตมีแต่คนเฒ่าคนแก่เป็นผู้แสดง แต่ปัจจุบันได้มีการถ่ายทอดให้กับอนุชนรุ่นหลัง โดยการสอนผ่านหลักสูตรท้องถิ่น มีปราชญ์ที่เป็นนักแสดงในคณะ “ลิเกป่า” มาเป็นวิทยากรให้กับเด็ก เมื่อมีการแสดงก็จะให้เด็กร่วมแสดงด้วย
จากตัวเมืองสุราษฎร์ธานี ข้ามสะพานแม่น้ำตาปีตรงศาลหลักเมือง มาประมาณ 10 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกบ้านบางพลา (สี่แยกที่สอง) ประมาณ 20 เมตร กลุ่มชุมชนลีเล็ดจะตั้งอยู่ซ้ายมือ
จากกระบี่ จากเส้นทาง Southern Seaboard เลี้ยวซ้ายสู่ถนนสายเอเชีย (มีป้ายบอกว่าไปพุนพิน, ชุมพร) ผ่านสหกรณ์สุราษฎร์ธานี และสนามบิน เลี้ยวขวาตรงสามแยกไฟแดง เข้าสู่ถนนหมายเลข 417 เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกไปแดงไปบ้านบางพลา ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร กลุ่มชุมชนลีเล็ดนำเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ตั้งอยู่ทางขวามือก่อนถึงสี่แยกบ้านบางพล