ประวัติศกร.ตำบลคลองปราบ ตั้งอยู่ที่ศาลาหมู่บ้านที่ 3 บ้านคลองปราบ ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 มีนางศิริวรรณ ชูช่วย เป็นครูประจำ กศน.ตำบล จนถึงปัจจุบัน โดยภาคีเครื่อข่ายและคณะกรรมหมู่บ้านเห็นชอบในการจัดตั้ง เป็นที่ทำการ กศน.ตำบลตำบลคลองปราบ โดยมีผู้ใหญ่บ้านนายฏมล ชุมศรีและคณะกรรมการหมู่บ้าน ของบ SML มาพัฒนาและต่อเติมศาลาหมู่บ้านที่ 3 และมอบพื้นที่ส่วนเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนและเป็นที่ตั้ง กศน.ตำบล
เปิดเมืองโบราณ งามตระการขุมทรัพย์หมื่นล้าน ชิมสละหวานสวนอาทิตย์ ขอพรหลวงพ่อดำศักดิ์สิทธิ์ ชาวคลองปราบเป็นมิตร ต้อนรับด้วยหัวใจ
ตำบลคลองปราบได้แยกออกมาจากตำบลพรุพี เมื่อมื่ปี พ.ศ. 2528 สำหรับชื่อ “คลองปราบ” ตามตำนานเล่าขานบอกไว้ว่าในสมัยโบราณ พื้นที่ เป็นป่ารกชัฏมีสัตว์ป่าชุกชุม โดยเฉพาะ เสือทำให้ชาวบ้านไม่กล้าสัญจรไปมาในยามค่ำ คืนคื เมื่อมื่ราษฎรถูกทำร้ายบ่อย ๆ เข้าจึงได้มีการร้องเรียนจนทางการส่งเจ้าหน้าที่ ผู้มีฝีมือมาปราบเสือจนราบคาบ จึงได้ชื่อว่า “คลองปราบ” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ประวัติตำบลอย่างละเอียด เปิดเมืองโบราณ งามตระการขุมทรัพย์หมื่นล้าน ชิมสละหวานสวนอาทิตย์ ขอพรหลวงพ่อดำศักดิ์สิทธิ์ ชาวคลองปราบเป็นมิตร ต้อนรับด้วยหัวใจ ตำบลคลองปราบได้แยกออกมาจากตำบลพรุพี เมื่อมื่ปี พ.ศ. 2528 สำหรับชื่อ “คลองปราบ” ตามตำนานเล่าขานบอกไว้ว่าในสมัยโบราณ พื้นที่ เป็นป่ารกชัฏมีสัตว์ป่าชุกชุม โดยเฉพาะ เสือทำให้ชาวบ้านไม่กล้าสัญจรไปมาในยามค่ำ คืนคื เมื่อมื่ราษฎรถูกทำร้ายบ่อย ๆ เข้าจึงได้มีการร้องเรียนจนทางการส่งเจ้าหน้าที่ ผู้มีฝีมือมาปราบเสือจนราบคาบ จึงได้ชื่อว่า “คลองปราบ” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ที่ตั้ง เทศบาลตำบลคลองปราบ ตั้งอยู่ หมู่ 2 ตำบลคลองปราบ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ของอำเภอบ้านนาสาร ระยะห่างจากอำเภอ ประมาณ 7 กิโลเมตร โดยมีอาณาเขตดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ เทศบาลเมืองนาสาร ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลพรุพี ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลพรุพีและตำบลเพิ่มพูนทรัพย์ ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลน้ำพุ และตำบลควนศรี
เนื้อที่ องค์การบริหารส่วนตำบลคลองปราบ มีพื้นที่ประมาณ 48.10 ตารางกิโลเมตร หรือ 30,062.5 ไร่ ภูมิประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศ ทิศตะวันออกมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบเชิงเขาส่วนพื้นที่อื่นๆในตำบลลักษณะเป็นที่ราบลุ่มโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นลูกคลื่นลอนชัน มีความลาดชัน 2-10 เปอร์เซ็นต์เปอร์เซ็นต์ มีลำคลองห้วยไหลผ่านคือ คลองขรม คลองช้าง คลองน้ำขุ่น และลำห้วยบอน มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แร่ยิปซั่ม สภาพดิน เป็นดินร่วนปนทรายเหมาะสำหรับทำสวนเช่น สวนเงาะ ทุเรียน ยางพารา สภาพภูมิอากาศ ได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งทำให้มีช่วงฤดูฝนยาวนานและมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านทำให้ฤดูร้อนและฝนระยะเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้ฤดูฝนมีน้ำมากเกินไปและฤดูร้อนเกิดการขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ในช่วงฤดูแล้ง
แบ่งการปกครองออกเป็น 5 หมู่บ้าน ดังนี้ หมู่ 1 บ้านหนองปลิง หมู่ 2 บ้านทางข้าม หมู่ 3 บ้านตลาดคลองปราบ หมู่ 4 บ้านหนองเภา หมู่ 5 บ้านคีรีราษฎร์ มีครัวเรือนทั้งหมด 831 ครัวเรือน จำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริงทั้งหมด 2,697 คน เพศชาย 1,357 คน เพศหญิง 1,340 คน
กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) (อังกฤษ: Department of Learning Encouragement : DOLE) เดิมชื่อสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) เป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่หน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในประเทศไทย ยกฐานะมาจากสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เดิมก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2483 เป็นกองการศึกษาผู้ใหญ่ และจัดตั้งเป็นกรมครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2522 ในชื่อ "กรมการศึกษานอกโรงเรียน" หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า "กศน."
ประวัติ
ยุคที่1 กองการศึกษาผู้ใหญ่
การศึกษาผู้ใหญ่ เริ่มมีอย่างเป็นทางการในปี 2483 โดยรัฐบาลในขณะนั้น ได้ให้มีการจัดตั้ง "กองการศึกษาผู้ใหญ่" สังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรับผิดชอบงานการศึกษาผู้ใหญ่โดยตรง และได้ริเริ่มโครงการรณรงค์การรู้หนังสือทั่วประเทศ พร้อมกับประกาศใช้กฎหมายบังคับให้ประชาชนผู้ไม่รู้หนังสือที่มีอายุระหว่าง 20 ถึง 45 ปี เสียค่าเล่าเรียนเป็นรายปี จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้รู้หนังสือแล้ว ซึ่งโครงการรณรงค์ดังกล่าวประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ต้องหยุดชะงักไปเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2
ยุคที่2 กรมการศึกษานอกโรงเรียน
ต่อมา ได้มีการขยายโอกาสการศึกษาผู้ใหญ่อย่างกว้างขวางในช่วงปี 2513-2523 รัฐบาลจึงได้ยกฐานะกองการศึกษาผู้ใหญ่ ขึ้นเป็น "กรมการศึกษานอกโรงเรียน" ขึ้น เพื่อจัดการศึกษานอกโรงเรียนสำหรับประชาชนในวันที่ 24 มีนาคม 2522
ยุคที่3 สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2545 ได้มีการปฏิรูประบบราชการ และมีการยุบรวมกรมต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการจากเดิม 14 กรม เหลือเพียง 5 สำนักงาน ทำให้ กรมการศึกษานอกโรงเรียน ถูกยุบรวมเป็นสำนักงานบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พุทธศักราช 2551 สำนักฯ จึงปรับภารกิจเป็น "สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย" (อังกฤษ: Office of the Non-Formal and Informal Education : NFE)
ยุคปัจจุบัน กรมส่งเสริมการเรียนรู้
กระทั่งวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2566 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 โดยมีสาระสำคัญคือการยกเลิกพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 และยกฐานะ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เป็น "กรมส่งเสริมการเรียนรู้" โดยให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นไป 60 วันหรือตรงกับวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566