พนักงานราชการ ครั้งที่ 1 (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568)
พนักงานราชการ ครั้งที่ 1 (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568)
1.1 ข้อมูลทั่วไปของตำบลที่รับผิดชอบ
ตำบลที่รับผิดชอบ จำนวน 6 ตำบล 46 หมู่บ้าน ได้แก่
1. ตำบลท่าฉาง มี 5 หมู่บ้าน ดังนี้
หมู่ที่ 1 บ้านท่าฉาง
หมู่ที่ 2 บ้านท่าเคย
หมู่ที่ 3 บ้านคชาธาร
หมู่ที่ 4 บ้านท่าพิกุล
หมู่ที่ 5 บ้านบ่อน้อย
2. ตำบลท่าเคย มี 11 หมู่บ้าน ดังนี้
หมู่ที่ 1 บ้านห้วย
หมู่ที่ 2 บ้านท่าเคย
หมู่ที่ 3 บ้านใหญ่
หมู่ที่ 4 บ้านคลองวัว
หมู่ที่ 5 บ้านหนองกุล
หมู่ที่ 6 บ้านคลองลำใน
หมู่ที่ 7 บ้านเกาะยอ
หมู่ที่ 8 บ้านในพรุ
หมู่ที่ 9 บ้านบางปอ
หมู่ที่ 10 ท่าแซะ
หมู่ที่ 11 บ้านหนองบัว
3.ตำบลคลองไทร มี 9 หมู่บ้าน ดังนี้
หมู่ที่ 1 บ้านคลองหอ
หมู่ที่ 2 บ้านคลองเข้
หมู่ที่ 3 บ้านหน้าวัดอัมพาราม
หมู่ที่ 4 บ้านท่าน้ำแห้ง
หมู่ที่ 5 บ้านเชียร
หมู่ที่ 6 บ้านควรสุวรรณ
หมู่ที่ 7 บ้านดอนใหญ่
หมู่ที่ 8 บ้านนาลึก
หมู่ที่ 9 บ้านไม้เรียบ
4. ตำบลเขาถ่าน มี 6 หมู่บ้าน ดังนี้
หมู่ที่ 1 บ้านร้อนน้ำร้อน
หมู่ที่ 2 บ้านบางน้ำจืด
หมู่ที่ 3 บ้านไร่ปรุง
หมู่ที่ 4 บ้านน้ำพุ
หมู่ที่ 5 บ้านหนองดูน
หมู่ที่ 6 บ้านไทรใหญ่
5.ตำบลเสวียด มี 9 หมู่บ้าน ดังนี้
หมู่ที่ 1 บ้านกลาง
หมู่ที่ 2 บ้านเสวียด
หมู่ที่ 3 บ้านไสน้อย
หมู่ที่ 4 บ้านเหนือท่า
หมู่ที่ 5 บ้านแหลมสน
หมู่ที่ 6 บ้านห้วยเรียน
หมู่ที่ 7 บ้านนาวะ
หมู่ที่ 8 บ้านชายวัด
หมู่ที่ 9 บ้านอำดี
6 .ตำบลปากฉลุย มี 6 หมู่บ้าน ดังนี้
หมู่ที่ 1 บ้านเหนือ
หมู่ที่ 2 บ้านบางคราม
หมู่ที่ 3 บ้านกอไพล
หมู่ที่ 4 บ้านหน้าซึง
หมู่ที่ 5 บ้านเคี่ยมเพาะ
หมู่ที่ 6 บ้านล้อมปุด
ประวัติอำเภอท่าฉาง
"ท่าฉาง" เป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งตามคำบอกเล่าและตำนานเกิดขึ้นในสมัยอาณาจักรศรี วิชัย มีชื่อว่า "เมืองโฉลก" ชาวบ้านเรียกว่า เมืองโละในบริเวณแถบนี้มีเมืองขนอน ท่าทอง เวียงสระ และไชยา เมืองโฉลก (ท่าฉาง) ขึ้นกับเมืองไชยา เมื่ออาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมอำนาจลง สุโขทัยมีอำนาจในดินแดนแถบนี้ เมืองโละจึงขึ้นกับเมืองสุโขทัยประมาณปี พ.ศ. 1800 มีฐานะเท่าเทียมกับอยุธยา มีท้าวเป็นผู้ปกครอง(เทียบเท่ากับพระยา)
ต่อ มาสมัยอยุธยาเมืองโละกลับขึ้นต่อเมืองไชยาอีกครั้งหนึ่ง เมืองโละเป็นเมืองท่าขนส่งข้าวไปสู่เมืองไชยา ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 พระยาวจีสัตนารักษ์ เจ้าเมืองไชยาได้เปลี่ยนชื่อเมืองโละมาเป็นท่าฉาง เพราะได้มาตั้งยุ้งฉางที่เมืองโละนี้ เพื่อเป็นที่เก็บข้าวที่ส่งมาทางคลองบ้านท่ามาออกคลองโละ(คลองท่า ฉาง) ผู้คนทั่วไปจึงเรียกเมืองโละ (โฉลกเป็นท่าฉางมาจนทุกวันนี้) ในตอนต้นสมัยรัชกาลที่ 6 เมืองโละได้ยกฐานะจากเมืองโฉลกเป็นอำเภอท่าฉาง มีอาณาเขตขึ้นไปถึงพุมเรียง ทิศใต้จดพุนพิน บริเวณแม่น้ำหลวง(แม่น้ำตาปีในปัจจุบัน)
จากหนังสือต้นตระกูลคุ้มรักษ์ ได้กล่าวว่า ผู้ปกครองเมืองโละเท่าที่ทราบมีดังต่อไปนี้
- ท้าวราช ในสมัยกรุงสุโขทัย
- พระยาวรวงศ์สิริยมาศ กรุงศรีอยุธยาตอนต้น
- ขุนทอง กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
- ขุนทิพย์ กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
- ขุนรา อยุธยาตอนปลาย
- ขุนสาร กรุงธนบุรีตอนต้น
- หลวงรักษ์นรกิจ กรุงธนบุรีตอนปลาย
- หลวงภักดีสงคราม รัตนโกสินทร์ในสมัยรัชกาลที่ 5
อำเภอท่าฉางเป็นอำเภอหนึ่งของ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมท้องที่นี้ก่อนยกฐานะเป็น อำเภอขึ้นอยู่ในเขตปกครองของอำเภอไชยา เดิมเรียกว่า “ เมืองไชยา ” ต่อมาเมื่อประมาณปี พ. ศ.2453 หลังจากนั้นมีการเลี่ยนแปลงการปกครองยกเลิกการปกครองแบบกินเมือง และในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้จัดตั้งเมืองต่างๆ เป็นจังหวัด เมืองท่าฉางเป็นเมืองหนึ่งที่ได้ยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2483 พื้นที่ส่วนหนึ่งของเมืองโละในตำบลมะลวน ตำบลหัวเตย และตำบลพุนพินให้ขึ้นอยู่กับอำเภอพุนพิน
การเรียกชื่อ "ท่าฉาง" จากการสืบสวนและสอบถามต่อๆ กันมาได้ความว่า ในสมัยที่ราษฎรต้องเสีย "ส่วย" หรือ "อากร" ให้แก่รัฐเป็นสิ่งของแทนเงินนั้น เนื่องจากท้องที่บริเวณนี้ราษฏรส่วนใหญ่มีอาชีพในการทำนา ฉะนั้น "ส่วย" หรือ "อากร" ที่ราษฎร์ต้องเสียเพื่อให้รัฐได้นำไปช่วยเหลือในการทำนุบำรุงบ้านเมืองและ ป้องกันประเทศชาติ ก็ใช้ข้าวเปลือกที่ได้จากการทำนามาเป็นสวย จากการที่ราษฎรต้องใช้ข้าวเปลือกเป็นส่วย จึงได้สร้างที่เก็บข้าวเปลือกเป็นแหล่งกลางขึ้นเรียกว่า "ยุ้ง" หรือ "ฉาง" สำหรับรับข้าวเปลือกจากราษฎร์ และต้องสร้างขึ้นตามริมคลองเพื่อสะดวกในการลำเลียงขนส่งไปยังเมืองต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยทางเรือจึงต้องมีท่าเทียบเรือสำหรับรับข้าวจากฉาง เพื่อส่งเป็นการส่งส่วยหรืออากรตามกล่าวมาแล้ว ราษฎรจึงเรียกรวมกันว่า "ท่าฉาง" และเรียกต่อ ๆ กันมาจนถึงทุกวันนี้
อาณาเขตอำเภอท่าฉาง สุราษฎร์ธานี มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภออื่น ๆ ดังนี้
ทิศเหนือ ติดกับอำเภอพุนพิน
ทิศใต้ ติดกับอำเภอไชยา
ทิศตะวันออก ติดกับอำเภอพนม
ทิศตะวันตก ติดกับอำเภอวิภาวดี และอำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง
ประชากรอำเภอท่าฉาง
ลักษณะภูมิประเทศ แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
ประมาณร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งหมด ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ของอำเภอจะเป็นพื้นที่สูงสลับด้วยภูเขา ได้แก่ ตำบลปากฉลุย
พื้นที่ตอนกลางของอำเภอจะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่นา และสวน
ยางพารา ได้แก่ ตำบลเสวียด, ตำบลท่าเคย, และตำบลคลองไทร
ทิศตะวันออกซึ่งติดต่อกับทะเลอ่าวไทย บริเวณชายฝั่งจะเป็นป่าชายเลน
ได้แก่ ตำบลเขาถ่าน, ตำบลท่าฉาง, ตำบลท่าเคย
พื้นที่ด้านตะวันออก มีสภาพเป็นที่ราบและที่ราบลุ่มมักจะมีน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี
การปกครองส่วนท้องถิ่นแบ่งการปกครองเป็น
เทศบาลตำบลท่าฉาง จำนวน 1 แห่ง
องค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 6 แห่ง
ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ
ธนาคารออมสิน , ธนาคารกรุงไทร , ธนาคารกสิกรไทย
บริษัท กรีนกลอรี่ จำกัด หมู่ที่ 3 ตำบล เสวียด
บริษัท นิว ไบโอดีเซล 2 จำกัด หมู่ที่ 3 ตำบล เสวียด
บริษัท ท่าฉางปาล์ม จำกัด หมู่ที่ 7 ตำบลเสวียด
บริษัท ไชน่าซีฟู๊ด จำกัด หมู่ที่ 6 ตำบลเขาถ่าน
โรงเลื่อยจิรัสย์ จำกัด หมู่ที่ 3 ตำบลคลองไทร
ศูนย์กระจายสินค้า CP All หมู่ที่ 1 ตำบลคลองไทร
ข้อมูลด้านอาชีพ
อาชีพหลัก ทำนา/ทำสวน/ทำไร่/ประมง (เลี้ยงกุ้งและประมงชายฝั่ง)
อาชีพเสริม ค้าขาย/รับจ้าง
ด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของอำเภอ
ป่าชายเลน หมู่ที่ 4 ตำบลท่าฉาง
โป่งพุร้อน หมู่ที่ 1 ตำบลเขาถ่าน
ข้อมูลด้านศาสนา
วัด 15 แห่ง
สำนักสงฆ์ 3 แห่ง
ข้อมูลด้านสาธารณสุข
โรงพยาบาลของรัฐ ขนาด 30 เตียง 1 แห่ง
สาธารณสุขอำเภอ 1 แห่ง
โรงพยาส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล 6 แห่ง
ข้อมูลด้านความปลอดภัย
สถานีตำรวจ 2 แห่ง
ป้อมสายตรวจ 7 แห่ง
สถานที่และประเพณีที่สำคัญ
สำนักสงฆ์ธารน้ำร้อน หมู่ 1 ตำบลเขาถ่าน
อ่างเก็บน้ำท่าแซะ หมู่ 10 ตำบลท่าเคย
ประเพณีชักพระบก ตำบลเสวียด เดือนพฤษภาคมของทุกปี
งานประเพณีชักพระอำเภอท่าฉาง เดือนตุลาคมของทุกปี
แผนที่อำเภอท่าฉาง
1.2 ข้อมูลผู้ไม่รู้หนังสือ/ลืมหนังสือ
ข้อมูลผู้ไม่รู้หนังสือ/ลืมหนังสือ
1.3 ข้อมูลภูมิปัญญาภาคีเครือข่าย
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ภาคีเครือข่าย
1.4 ข้อมูลแหล่งเรียนรู้
แหล่งเรียนรู้ของอำเภอท่าฉาง
1.5 ข้อมูลความต้องการเรียนรู้ของคนในชุมชน
ประชาชน มีความต้องการ การเรียนรู้ทุกรูปแบบ ไม่เน้นการเรียนการสอนในห้องเรียน ซึ่งองค์ความรู้ที่มีอยู่กระจัดกระจายในชุมชน มีการจัดการให้เป็นหมวดหมู่ มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ที่ประชาชนสามารถเข้าไปสืบค้นศึกษา เรียนรู้ หาความรู้ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งการพบปะ สังสรรค์และ เรียนรู้ ได้ทุกเวลา เพื่อสร้างความเข้าใจ เป็นศูนย์กลางในการจัดการความรู้ ที่ดำเนินการโดยประชาชนและเพื่อประชาชน เป็นศูนย์ประสานและบูรณาการการทำงานของทุกภาคส่วน ภาคประชาชน ได้แก่ ผู้นำ กลุ่ม/องค์กร เครือข่าย ภาคเอกชน และภาคีการพัฒนาภาครัฐเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของปราชญ์ชาวบ้าน ความร่วมมือในการพัฒนาตนเองและชุมชนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน