คำสั่ง max()
เราสามารถใช้คำสั่ง max() ในภาษา Python เพื่อหาค่าสูงสุดในชุดข้อมูลที่กำหนด ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
numbers = [5, 2, 9, 1, 7, 4]
max_number = max(numbers)
print(max_number)
ในตัวอย่างด้านบน เรากำหนดชุดข้อมูล numbers ที่ประกอบด้วยตัวเลขต่าง ๆ จากนั้นเราใช้ max() เพื่อหาค่าสูงสุดในชุดข้อมูลนี้ และนำผลลัพธ์มาแสดงผลทางหน้าจอ ในที่นี้ค่าสูงสุดคือ 9
นอกจากนี้ max() ยังสามารถใช้กับตัวอักษร (สตริง) หรืออ็อบเจ็กต์อื่น ๆ ที่มีการกำหนดการเปรียบเทียบค่าสูงสุดได้ โดยจะใช้ตัวอักษรตัวแรกที่อยู่หลังตัวอักษรเมื่อเรียงลำดับตามรหัส ASCII ด้วย
คำสั่ง sort()
เราสามารถใช้คำสั่ง sort() ในภาษา Python เพื่อเรียงลำดับข้อมูลในรายการ (list) ตามลำดับน้อยไปมาก ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
fruits = ["banana", "apple", "orange", "mango"]
fruits.sort()
print(fruits)
Output:
['apple', 'banana', 'mango', 'orange']
ในตัวอย่างด้านบน เรามีรายการ fruits ที่ประกอบด้วยชื่อผลไม้ต่าง ๆ จากนั้นเราใช้ sort() เพื่อเรียงลำดับชื่อผลไม้ในรายการ จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นรายการของผลไม้ที่เรียงลำดับตามตัวอักษร (เรียงจาก a-z)
นอกจากนี้ sort() ยังสามารถใช้กับตัวเลขและตัวอักษรที่สามารถเปรียบเทียบได้ โดยจะเรียงลำดับตามค่าเลขหรือตามลำดับตามรหัส ASCII
หากต้องการเรียงลำดับที่ตรงกันข้าม (จากมากไปน้อย) เราสามารถใช้ sort() พร้อมกับพารามิเตอร์ reverse=True ดังนี้:
fruits = ["banana", "apple", "orange", "mango"]
fruits.sort(reverse=True)
print(fruits)
Output:
['orange', 'mango', 'banana', 'apple']
คำสั่งremove()
เราสามารถใช้คำสั่ง remove() ในภาษา Python เพื่อลบสมาชิกในรายการ (list) ที่มีค่าตามที่ระบุได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
fruits = ["apple", "banana", "orange", "mango"]
fruits.remove("banana")
print(fruits)
Output:
['apple', 'orange', 'mango']
ในตัวอย่างด้านบน เรามีรายการ fruits ที่ประกอบด้วยชื่อผลไม้ต่าง ๆ จากนั้นเราใช้ remove("banana") เพื่อลบสมาชิก "banana" ออกจากรายการ จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นรายการของผลไม้ที่ถูกลบ "banana" ออกแล้ว
คำสั่ง remove() จะลบสมาชิกตัวแรกที่พบที่มีค่าตรงกับที่ระบุ หากไม่พบสมาชิกที่ตรงกันในรายการ จะเกิดข้อผิดพลาดแบบ ValueError ขึ้น
หากต้องการลบสมาชิกด้วยการระบุตำแหน่งในรายการ แทนที่ค่าของสมาชิก สามารถใช้คำสั่ง del ได้ เช่น:
fruits = ["apple", "banana", "orange", "mango"]
del fruits[1]
print(fruits)
Output:
['apple', 'orange', 'mango']
ในตัวอย่างนี้ เราใช้ del fruits[1] เพื่อลบสมาชิกในตำแหน่งที่ 1 (สมาชิกที่สอง) ออกจากรายการ
คำสั่ง index()
เราสามารถใช้คำสั่ง index() ในภาษา Python เพื่อค้นหาตำแหน่งแรกของสมาชิกในรายการ (list) ที่มีค่าตามที่ระบุได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
fruits = ["apple", "banana", "orange", "mango"]
index = fruits.index("banana")
print(index)
Output:
1
ในตัวอย่างด้านบน เรามีรายการ fruits ที่ประกอบด้วยชื่อผลไม้ต่าง ๆ จากนั้นเราใช้ index("banana") เพื่อค้นหาตำแหน่งแรกของสมาชิก "banana" ในรายการ จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นตำแหน่งแรกที่พบสมาชิก "banana" ในรายการ ในที่นี้คือ 1 (เริ่มนับตำแหน่งแรกเป็น 0)
หากไม่พบสมาชิกที่ตรงกันในรายการ คำสั่ง index() จะเกิดข้อผิดพลาดแบบ ValueError ขึ้น
นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้คำสั่ง index() ร่วมกับการระบุตำแหน่งเริ่มต้นและตำแหน่งสิ้นสุดในการค้นหา หากต้องการค้นหาสมาชิกที่ตรงกับค่าที่ระบุเฉพาะในช่วงของรายการ เช่น:
fruits = ["apple", "banana", "orange", "banana", "mango"]
index = fruits.index("banana", 2, 4)
print(index)
Output:
3
ในตัวอย่างนี้ เราใช้ index("banana", 2, 4) เพื่อค้นหาตำแหน่งแรกของสมาชิก "banana" ในช่วงตำแหน่งที่ 2 ถึง 4 (ไม่รวมตำแหน่งสุดท้าย) ในรายการ จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นตำแหน่งแรกที่พบสมาชิก "banana" ในช่วงนี้ ในที่นี้คือ 3
คำสั่ง len()
เราสามารถใช้คำสั่ง len() ในภาษา Python เพื่อหาความยาวหรือจำนวนสมาชิกในตัวแปรที่เป็นลำดับของข้อมูลได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
fruits = ["apple", "banana", "orange", "mango"]
length = len(fruits)
print(length)
Output:
4
ในตัวอย่างด้านบน เรามีรายการ fruits ที่ประกอบด้วยชื่อผลไม้ต่าง ๆ จากนั้นเราใช้ len(fruits) เพื่อหาความยาวหรือจำนวนสมาชิกในรายการ จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นจำนวนสมาชิกในรายการ ในที่นี้คือ 4
นอกจากนี้ len() ยังสามารถใช้กับสตริง (ข้อความ) เพื่อหาความยาวของสตริง ที่เป็นจำนวนตัวอักษร ดังนี้:
string = "Hello, World!"
length = len(string)
print(length)
Output:
13
ในตัวอย่างนี้ เราใช้ len(string) เพื่อหาความยาวของสตริง "Hello, World!" ซึ่งมีจำนวนตัวอักษรทั้งหมด 13 ตัว
คำสั่ง split()
เราสามารถใช้คำสั่ง split() ในภาษา Python เพื่อแยกสตริง (ข้อความ) เป็นรายการ (list) โดยใช้ตัวอักษรตัวแบ่งที่กำหนดได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
sentence = "Hello, how are you today?"
words = sentence.split()
print(words)
Output:
['Hello,', 'how', 'are', 'you', 'today?']
ในตัวอย่างด้านบน เรามีสตริง sentence ที่ประกอบด้วยประโยค จากนั้นเราใช้ split() โดยไม่ระบุตัวอักษรตัวแบ่ง ที่ทำให้ค่าเริ่มต้นของตัวแบ่ง (เช่นช่องว่าง) ถูกใช้ จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์เป็นรายการของคำที่แยกออกมาจากประโย
คในสตริง ซึ่งแยกตามช่องว่าง
นอกจากนี้ เรายังสามารถระบุตัวอักษรตัวแบ่งเพิ่มเติมที่ต้องการใช้ในการแยกข้อความ เช่น:
sentence = "apple,banana,orange,mango"
fruits = sentence.split(",")
print(fruits)
Output:
['apple', 'banana', 'orange', 'mango']
ในตัวอย่างนี้ เราใช้ split(",") เพื่อแยกสตริง sentence โดยใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) เป็นตัวแบ่ง จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์เป็นรายการของผลไม้ที่แยกออกมา
หากต้องการแยกสตริงโดยตัดตามจำนวนตัวอักษรที่กำหนด สามารถระบุความยาวในการใช้งาน split() ได้ เช่น:
sentence = "apple,banana,orange,mango"
fruits = sentence.split(",", 2)
print(fruits)
Output:
['apple', 'banana', 'orange,mango']
ในตัวอย่างนี้ เราใช้ split(",", 2) เพื่อแยกสตริง sentence โดยใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) เป็นตัวแบ่ง และกำหนดจำนวนการแยกเป็น 2 ชิ้น จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นรายการของผลไม้ที่แยกออกมา โดยเอาสตริงที่เหลือทั้งหมดเป็นสมาชิกสุดท้ายในรายการ
คำสั่ง upper()
เราสามารถใช้คำสั่ง upper() ในภาษา Python เพื่อแปลงสตริง (ข้อความ) เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
text = "hello, world!"
uppercase_text = text.upper()
print(uppercase_text)
Output:
HELLO, WORLD!
ในตัวอย่างด้านบน เรามีสตริง text ที่มีข้อความ "hello, world!" จากนั้นเราใช้ upper() เพื่อแปลงสตริงให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นสตริง "HELLO, WORLD!"
นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้คำสั่ง upper() เพื่อแปลงสตริงในตัวแปรอื่น ๆ ได้ เช่น:
name = "john"
uppercase_name = name.upper()
print(uppercase_name)
Output:
JOHN
ในตัวอย่างนี้ เรามีตัวแปร name ที่มีค่าเป็นสตริง "john" จากนั้นเราใช้ upper() เพื่อแปลงสตริงให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นสตริง "JOHN"
คำสั่ง is_blank()
ในภาษา Python ไม่มีคำสั่ง is_blank() ในรุ่น Python ที่ใช้ในปัจจุบัน (รุ่น Python 3) ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ได้มีอยู่ในไลบรารีมาตรฐานของ Python อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการตรวจสอบว่าสตริงว่างเปล่าหรือไม่ สามารถใช้วิธีการตรวจสอบความยาวของสตริง ดังนี้:
string = " "
is_blank = len(string.strip()) == 0
print(is_blank)
Output:
True
ในตัวอย่างนี้ เรามีสตริง string ที่ประกอบด้วยช่องว่าง เราใช้ strip() เพื่อลบช่องว่างที่อยู่ทั้งหน้าและท้ายสตริง จากนั้นเราใช้ len() เพื่อหาความยาวของสตริงหลังจากที่ลบช่องว่างแล้ว และเปรียบเทียบความยาวกับ 0 เพื่อตรวจสอบว่าเป็นสตริงว่างเปล่าหรือไม่ ถ้าความยาวเท่ากับ 0 จะคืนค่าเป็น True มิฉะนั้นคืนค่าเป็น False
อย่างไรก็ตาม หากคุณใช้เวอร์ชัน Python ที่เก่ากว่า Python 3 หรือคุณใช้ไลบรารีเพิ่มเติม อาจมีคำสั่ง is_blank() ที่เป็นเฉพาะเจาะจงในบางไลบรารี ดังนั้นคุณอาจต้องตรวจสอบคำสั่งที่เกี่ยวข้องในไลบรารีที่คุณใช้งานอยู่
คำสั่ง join()
เราสามารถใช้คำสั่ง join() ในภาษา Python เพื่อรวมสมาชิกในรายการ (list) หรือสตริง (ข้อความ) เข้าด้วยกันเป็นสตริงเดียว ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
fruits = ["apple", "banana", "orange", "mango"]
joined_string = ", ".join(fruits)
print(joined_string)
Output:
apple, banana, orange, mango
ในตัวอย่างด้านบน เรามีรายการ fruits ที่ประกอบด้วยชื่อผลไม้ต่าง ๆ จากนั้นเราใช้ join() เพื่อรวมสมาชิกในรายการด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,) จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นสตริงที่รวมชื่อผลไม้กันเป็น "apple, banana, orange, mango"
นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้คำสั่ง join() กับสตริงเปล่าหรือสตริงอื่น ๆ ได้ เพื่อรวมส่วนย่อยในสตริงด้วยกัน เช่น:
words = "Hello, how are you today?"
joined_string = "-".join(words)
print(joined_string)
Output:
H-e-l-l-o-,- -h-o-w- -a-r-e- -y-o-u- -t-o-d-a-y-?
ในตัวอย่างนี้ เรามีสตริง words ที่ประกอบด้วยคำ จากนั้นเราใช้ join() เพื่อรวมส่วนย่อยในสตริงด้วยเครื่องหมายขีดกลาง (-) จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นสตริงที่รวมคำเป็น "H-e-l-l-o-,- -h-o-w- -a-r-e- -y-o-u- -t-o-d-a-y-?"
คำสั่ง replace()
เราสามารถใช้คำสั่ง replace() ในภาษา Python เพื่อแทนที่สตริงย่อยในสตริงหลักด้วยสตริงอื่น ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
sentence = "I like apples"
new_sentence = sentence.replace("apples", "bananas")
print(new_sentence)
Output:
I like bananas
ในตัวอย่างด้านบน เรามีสตริง sentence ที่มีข้อความ "I like apples" จากนั้นเราใช้ replace() เพื่อแทนที่คำว่า "apples" ด้วย "bananas" ในสตริงหลัก จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นสตริง "I like bananas"
คำสั่ง replace() จะแทนที่สตริงย่อยทั้งหมดที่พบในสตริงหลัก หากมีหลายตัวอย่างในสตริงย่อย ทุกตัวจะถูกแทนที่ด้วยสตริงใหม่
นอกจากนี้ เรายังสามารถระบุจำนวนการแทนที่สตริงย่อยได้ โดยใช้อาร์กิวเมนต์เพิ่มเติมของ replace() ดังนี้:
sentence = "I like apples, apples are delicious"
new_sentence = sentence.replace("apples", "bananas", 1)
print(new_sentence)
Output:
I like bananas, apples are delicious
ในตัวอย่างนี้ เราใช้ replace("apples", "bananas", 1) เพื่อแทนที่คำว่า "apples" ด้วย "bananas" ในสตริงหลักเพียงครั้งเดียว จากนั้นเราแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ โดยผลลัพธ์จะเป็นสตริง "I like bananas, apples are delicious"
คำสั่ง if, elif, และ else
คำสั่ง if, elif, และ else เป็นคำสั่งทางเลือก (conditional statements) ในภาษา Python ที่ช่วยให้เราทำการตรวจสอบเงื่อนไขและดำเนินการตามเงื่อนไขนั้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
score = 75
if score >= 80:
print("เกรด A")
elif score >= 70:
print("เกรด B")
elif score >= 60:
print("เกรด C")
else:
print("เกรด D")
Output:
เกรด C
ในตัวอย่างด้านบน เรามีตัวแปร score ที่มีค่าเป็น 75 จากนั้นเราใช้คำสั่ง if เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขว่า score มากกว่าหรือเท่ากับ 80 หากเงื่อนไขเป็นจริง เราจะแสดงผลลัพธ์ "เกรด A" แต่ในกรณีนี้เงื่อนไขไม่เป็นจริง จากนั้นเราใช้คำสั่ง elif เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขถัดไป ว่า score มากกว่าหรือเท่ากับ 70 ถ้าเงื่อนไขนี้เป็นจริง เราจะแสดงผลลัพธ์ "เกรด B" แต่เงื่อนไขนี้ไม่เป็นจริงเช่นกัน จากนั้นเราใช้คำสั่ง elif เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขถัดไป ว่า score มากกว่าหรือเท่ากับ 60 ถ้าเงื่อนไขนี้เป็นจริง เราจะแสดงผลลัพธ์ "เกรด C" แต่ถ้าไม่เป็นจริงทุกเงื่อนไข เราจะใช้คำสั่ง else เพื่อกำหนดการกระทำในกรณีที่ไม่เข้าใจเงื่อนไขใดเลย ในที่นี้เราแสดงผลลัพธ์ "เกรด D"
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นการใช้งานคำสั่ง if, elif, และ else เพื่อทำการตรวจสอบและดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนด และสามารถใช้หลาย elif เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมได้
ในโจทย์นี้ เราใช้ if, elif, และ else เพื่อคำนวณค่าน้ำตามจำนวนหน่วยที่ผู้ใช้งานป้อนเข้ามา
โดยโค้ดด้านบนจะทำงานดังนี้:
รับข้อมูลจำนวนหน่วยที่ผู้ใช้งานป้อนผ่านคีย์บอร์ดโดยใช้ input() และแปลงเป็นตัวเลขโดยใช้ int()
ตรวจสอบเงื่อนไขโดยใช้ if, elif, และ else สำหรับแต่ละช่วงหน่วย
คำนวณค่าน้ำตามจำนวนหน่วยและแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอ
ในตัวอย่างนี้ หน่วยน้ำที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 0 จะแสดงผลว่า "กรุณาใส่จำนวนหน่วยที่ถูกต้อง" หน่วยน้ำที่ 1-10 จะคำนวณค่าน้ำโดยใช้อัตราค่าน้ำ 10 บาทต่อหน่วย และแสดงผลลัพธ์ว่า "ค่าน้ำของคุณคือ X บาท" โดย X คือผลลัพธ์ของการคำนวณ
หน่วยน้ำที่ 11-20 จะคำนวณค่าน้ำโดยใช้อัตราค่าน้ำ 15 บาทต่อหน่วย และแสดงผลลัพธ์ว่า "ค่าน้ำของคุณคือ X บาท" โดย X คือผลลัพธ์ของการคำนวณ
หน่วยน้ำที่ 21-30 จะคำนวณค่าน้ำโดยใช้อัตราค่าน้ำ 20 บาทต่อหน่วย และแสดงผลลัพธ์ว่า "ค่าน้ำของคุณคือ X บาท" โดย X คือผลลัพธ์ของการคำนวณ
และหากหน่วยน้ำมากกว่า 30 จะคำนวณค่าน้ำโดยใช้อัตราค่าน้ำ 25 บาทต่อหน่วย และแสดงผลลัพธ์ว่า "ค่าน้ำของคุณคือ X บาท" โดย X คือผลลัพธ์ของการคำนวณ
ส่งงานใน Classroom ใส่ใน google doc https://classroom.google.com/c/NjE1Nzc4NzYwMzg2?cjc=i6hdxkn
รหัสเข้าห้องเรียน i6hdxkn