การศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 2
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นาเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 จำนวน 320 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม และผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 จำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 2 ได้แก่ (1) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ผู้บริหารสถานศึกษามีการจัดหาเทคโนโลยี สื่อ วัสดุอุปกรณ์การสื่อสารที่ทันสมัยให้สามารถใช้งานได้อย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ มีระบบการนิเทศ ติดตาม และพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถ ด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (2) ด้านการทางานเป็นทีมและมีส่วนร่วม ผู้บริหารสถานศึกษามีการบริหารแบบมีส่วนร่วม สนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรในสถานศึกษามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นร่วมพัฒนา ผลงานเพื่อปรับปรุงงานให้ดีขึ้นในรูปแบบของคณะทางานและทีมงาน (3) ด้านการมีวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องเป็นผู้แสวงหาความรู้อยู่เสมอเปลี่ยนแนวคิดตนเองให้มาเป็น coaching เป็นผู้นำทางวิชาการ สร้างวัฒนธรรมการทางานที่มุ่งเน้นการเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่หรือความคิดเห็นใหม่ๆ (4) ด้านการคิดสร้างสรรค์ ผู้บริหารสถานศึกษาเปิดโอกาสให้ทุกคนได้สร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ร่วมกันทำให้ผู้มีส่วนร่วมเห็นคุณค่าของนวัตกรรมที่ได้ ส่งเสริมให้บุคลากรร่วมกันผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจนบรรลุตามเป้าหมาย (5) ด้านการสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรม ผู้บริหารสถานศึกษารับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน รวมถึงการแสดงความมีน้ำใจต่อผู้อื่น มีมารยาทและมีความอ่อนน้อมถ่อมตนในการทำงานร่วมกัน
ศิริพร พงษ์เนตร (2566) การศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ปทุมธานี: วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
บทคัดย่อ
ภาวะผู้นำเหนือผู้นำเป็นภาวะผู้นำของผู้นำที่นำคนอื่นเพื่อให้คนอื่นสามารถนำตนเองได้ โดยผู้นำทำตนเป็นผู้สอนและแนะนำให้ผู้ตามเกิดการพัฒนากรอบความคิดเชิงเหตุผล และสร้างสรรค์ให้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองจนมีความมั่นใจ มีความเป็นอิสระในตน จนมีความเป็นผู้นำเกิดขึ้นในตนเอง โดยการสร้างแรงบันดาลใจผู้อื่น (Inspiration) ให้สามารถจูงใจตนเองและนำตนเองได้ แนวคิดเกี่ยวกับผู้นำเหนือผู้นำนั้นกำหนดให้ผู้นำต้องมีความกล้าเสี่ยงกับคน และจะต้องเชื่อว่าถ้าเปิดโอกาสให้เขานำตนเองแล้ว เขาก็จะพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพสูงสุดที่เขามีและจะทำงานนั้นด้วยตนเองอย่างได้ผลดีสูงสุดเช่นเดียวกัน กุญแจที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้นำเหนือผู้นำ คือ การมี “ความสามารถในการสอนและให้กรอบความคิดที่ถูกต้อง” แก่สมาชิก ซึ่งกระบวนการในการสร้างผู้นำของผู้นำที่มีภาวะผู้นำเหนือผู้นำนั้น มีทั้งหมด 7 ขั้นตอนคือ 1) การทำให้บุคลากรเป็นผู้นำตนเอง 2) แสดงเป็นต้นแบบให้บุคลากรเป็นผู้นำตนเอง 3) กระตุ้นให้บุคลากรตั้งเป้าหมายด้วยตนเอง 4) สร้างรูปแบบความคิดในทางบวก 5) อำนวยความสะดวกให้เกิดภาวะผู้นำตนเอง 6) สนับสนุนให้เกิดภาวะผู้นำตนเองโดยการสร้างคณะทำงาน และ 7) อำนวยความสะดวกให้เกิดวัฒนธรรมของผู้นำตนเอง ภาวะผู้นำแบบนี้สิ่งสำคัญที่ผู้นำต้องการคือผลสำเร็จของงานทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ แต่ในทำนองเดียวกันปัจจัยแห่งความสำเร็จย่อมขึ้นอยู่กับผู้นำหรือผู้บริหารซึ่งมีส่วนผลักดันและมีอิทธิพลต่อบรรยากาศในการทำงาน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้บุคลากรในองค์การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สามารถนำรูปแบบการจัดการเพื่อพัฒนาผู้นำเหนือผู้นำ ไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการทีมงานเพื่อให้ทุกคนสามารถทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การสร้างบรรยากาศองค์การและวัฒนธรรมการทำงานที่ดี โดยสามารถนำหลักการต่อไปนี้ไปปรับใช้ได้แก่การจัดการการทำงานของทีมด้วยตนเอง การจัดการการทำงานเป็นทีมในโรงงาน การจัดการทางด้านการสื่อสารด้วยตนเอง และการนำตนเองของทีมภาวะผู้นำ, ภาวะผู้นำเหนือผู้นำ, ศตวรรษที่ 21
ดารุวรรณ ถวิลการ (2558) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำ แบบภาวะผู้นำแห่งศตวรรษที่ 11 วารสารบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีที่ 11 ฉบับที่ 2 ประจำเดือน กรกฎาคม - ธันวาคม 2558 ; หน้า 23-35
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูโรงเรียนในสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 จำนวน 136 คน จาก 15 โรงเรียน โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นนำไปสุ่มอย่างง่ายแบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า1. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขต บ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมขององค์กร รองลงมาด้านการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร ด้านการกำหนดทิศทาง ขององค์กร และด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ตามลำดับ 2. ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน 3. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน นางสาว ปรียานุช ทับหนองฮี (2566) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กรุงเทพมหานคร
นางสาวปรียานุช ทับทองฮี (2566) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 : วิทยานิพนธ์ คณะศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยเกริก
Effective Leadership Types in Change Management in Sports Organizations
Sahin, Bayram
International Journal on Social and Education Sciences, v4 n4 p562-580 2022
The aim of this study is to examine the types of effective leadership in change management in sports organizations. Qualitative research method was used in the study. In-depth individual interviews were carried out with the participants and the data obtained were analyzed by content analysis method. When the findings of the study were examined, it was seen that five dimensions came to the fore: flexible, authoritative, insightful, situational, and meritocracy. The leadership type that emerged as a result of the study was seen to be "leadership type that includes flexible, authoritarian and understanding dimensions". It has emerged that there are two leadership types that contain these dimensions. These are autocratic and democratic leadership types. In other words, the participants who defended being authoritarian from autocratic leadership style emphasized the understanding and flexible features of democratic leadership type. When the answers given by the participants are examined in its entirety, it has been understood that the leadership types used during the change in sports federations are a leadership type that includes many leadership types rather than a single leadership type. In the light of the findings, it was discovered that a leadership practice that differs according to the situation rather than a standard leadership type is required. This necessity brings success while experiencing change. As a result, these views of the participants brought the situational leadership type to the fore. According to the situational leadership theory, it is necessary to examine each situation according to its internal subjectivity. Afterwards, the participants argued that after revealing the subjectivity of the situation, it is necessary to apply the most appropriate leadership type.
ประเภทความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการจัดการการเปลี่ยนแปลงในองค์กรกีฬา
Sahin, Bayram
วารสารนานาชาติด้านสังคมศาสตร์และการศึกษา ฉบับที่ 4 ฉบับที่ 4 หน้า 562-580 ปี 2022
วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือการตรวจสอบประเภทความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการจัดการการเปลี่ยนแปลงในองค์กรกีฬา โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ การสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมในเชิงลึกเป็นรายบุคคลและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้โดยใช้ระเบียบวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา เมื่อตรวจสอบผลการศึกษาแล้ว พบว่ามี 5 มิติ ได้แก่ ความยืดหยุ่น อำนาจ ความเข้าใจ สถานการณ์ และคุณธรรม ประเภทความเป็นผู้นำที่เกิดขึ้นจากการศึกษานี้ถือเป็น "ประเภทความเป็นผู้นำที่ประกอบด้วยมิติความยืดหยุ่น อำนาจนิยม และความเข้าใจ" ปรากฏว่ามีประเภทความเป็นผู้นำ 2 ประเภทที่มีมิติเหล่านี้ ได้แก่ ประเภทความเป็นผู้นำแบบเผด็จการและแบบประชาธิปไตย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้เข้าร่วมที่ปกป้องการเป็นเผด็จการจากรูปแบบความเป็นผู้นำแบบเผด็จการเน้นย้ำถึงความเข้าใจและคุณลักษณะที่ยืดหยุ่นของประเภทความเป็นผู้นำแบบประชาธิปไตย เมื่อพิจารณาคำตอบของผู้เข้าร่วมทั้งหมดแล้ว จะพบว่าประเภทความเป็นผู้นำที่ใช้ในช่วงการเปลี่ยนแปลงของสหพันธ์กีฬาเป็นประเภทความเป็นผู้นำที่รวมประเภทความเป็นผู้นำหลายประเภทมากกว่าประเภทความเป็นผู้นำประเภทเดียว จากผลการศึกษาพบว่าจำเป็นต้องมีแนวทางปฏิบัติด้านความเป็นผู้นำที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์มากกว่าประเภทความเป็นผู้นำแบบมาตรฐาน ความจำเป็นนี้ทำให้ประสบความสำเร็จในขณะที่ประสบกับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น มุมมองเหล่านี้ของผู้เข้าร่วมจึงทำให้ประเภทความเป็นผู้นำตามสถานการณ์กลายมาเป็นที่สนใจ ตามทฤษฎีความเป็นผู้นำตามสถานการณ์ จำเป็นต้องตรวจสอบสถานการณ์แต่ละสถานการณ์ตามความเป็นอัตวิสัยภายใน หลังจากนั้น ผู้เข้าร่วมได้โต้แย้งว่าหลังจากเปิดเผยความเป็นอัตวิสัยของสถานการณ์แล้ว จำเป็นต้องใช้ประเภทความเป็นผู้นำที่เหมาะสมที่สุด
Sahin and Bayram (2022). Effective Leadership Types in Change Management in Sports Organizations. International Journal on Social and Education Sciences, v4 n4 Page 562-580
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานราธิวาส
บทคัดย่อ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และทิศทางในการพัฒนาองค์กรที่มุ่งเน้นความแปลกใหม่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัว นวัตกรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะผลักดันงานที่ปฏิบัติไปสู่ความสำเร็จ ผู้นำจึงจำเป็นต้องมี ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมมีความชำนาญ ในการประยุกต์ทั้งวิธีการคิด วิธีการทำงานมีความซื่อสัตย์และเปิดรับ ข้อมูลเพื่อเหตุผลหาวิธีใหม่ ๆ เพื่อสร้างผลงานที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ในการทำงานของครูสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานราธิวาส เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานราธิวาส และเพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานราธิวาส โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ศึกษา คือ ครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานราธิวาส ในปีการศึกษา 2564 จำนวน 17 โรงเรียน รวมครูผู้สอนทั้งสิ้น 536 คน ใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอรแกน กำหนดให้สัดส่วนของ ประชากรเท่ากับ 0.5 ระดับความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ 5% และระดับความเชื่อมั่น 95% ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ ได้มีจำนวน 226 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.74 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการทำงานเป็นทีมและมีส่ว ร่วม มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด เท่ากับ 3.98 รองลงมาด้านการมีวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.95 ด้านการสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.71 ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.65 ด้านการบริหารความเสี่ยง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.63 และด้านการคิดสร้างสรรค์มี ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดเท่ากับ 3.52 ตามลำดับ ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตในการทำงานของครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.79 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านความสมดุลระหว่างชีวิตการ ทำงานมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด เท่ากับ 4.26 รองลงมาด้านโอกาสความก้าวหน้า มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.04 ด้าน ระเบียบข้อบังคับในการปฏิบัติงาน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.72 ด้านสภาพแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย มี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.70 ด้านการพัฒนาความสามารถของบุคคล มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.68 ด้านบูรณาการทางสังคม และการปฏิบัติงานในสังคม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.65 และด้านค่าตอบแทนที่แหมาะสมและเป็นธรรม ค่าเฉลี่ย น้อยที่สุดเท่ากับ 3.63 ตามลำดับ ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานราธิวาส ด้านการมีวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง ด้านการทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วม ด้านการคิดสร้างสรรค์ด้านการบริหารความเสี่ยง ด้านการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร และด้านการสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรม สามารถร่วมกันพยากรณ์คุณภาพ ชีวิตในการทำงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานราธิวาส ได้ร้อยละ 82.50 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ : ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม; คุณภาพชีวิตในการทำงานของครู
อาฟานดีคอลออาแซ และ อิบรอฮิม สารีมาแซ (2566) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของครูสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานราธิวาส วารสารสหวิทยาการวิจัยและวิชาการ, ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพะเยา เขต 2
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 2) เพื่อศึกษาความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงาเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และข้าราชการครูสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 จำนวน 316 คน ได้จากการสุ่มหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความเที่ยงตรง และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01
ภูมิประสิทธิ์ ไชยบาล (2566) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของ ผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพะเยา เขต 2: วิทยานิพนธ์ ศึกษามหาบัณฑิต. สาขาวิชาการบริหารการศึกษามหาวิทยาลัยพะเยา
The Lack of Black Women in Executive Leadership Positions in Four-Year Colleges and Universities
Mechelle L. Garrett
ProQuest LLC, Ed.D. Dissertation, University of Southern California
This qualitative study examines the lived experiences of Black women in higher education executive leadership. The study examines how gendered racial stereotypes contribute to the barriers faced by Black women in reaching executive leadership positions in academia using an ethnographic methodology. Black female executive leaders in higher education encounter numerous barriers and challenges (e.g., metaphorical ceilings, lack of institutional support, oppressive institutional cultures, and lack of social networks) that impede their advancement, promotion, and retention. This study used a conceptual framework that combined intersectionality theory (Crenshaw, 1989) and community cultural wealth (Yosso, 2005) to examine the intersection of race and gender and their influences on the experiences of Black women in higher education executive leadership. The key findings of this study are as follows: a) being a Black woman does affect Black women's lived experiences in higher education, b) having a sponsor has significant influences on Black women's careers, and c) the participants in this study used community cultural wealth to navigate, contend with, and overcome the adversity and challenges they experienced. The recommendations focused on measures U.S. colleges and universities should take to address and correct the systemic problems that hinder Black women's progress, retention, and success in academic executive leadership to ensure their equitable representation in higher education.
Mechelle L. Garrett (2024). The Lack of Black Women in Executive Leadership Positions in Four-Year Colleges and Universities International Journal on Social and Education Sciences, v4 n4 Page 159
Examining Sense of Belonging in Higher Education Leadership for Black Women with Intersecting Marginalized Identities
Dominique A. White
ProQuest LLC, Ed.D. Dissertation, Walden University
Black women juggling marginalized minority identities in executive leadership at public four-year universities contend with stigmas associated with race and gender, contributing to a decreased sense of belonging. Significant research has been done about the journeys of Black or African American women as they seek executive roles in higher education. However, minimal research explores Black women's sense of belonging once executive leadership status is reached. Understanding their sense of belonging could fill a gap in practice regarding Black women's scarcity occupying executive university leadership. This qualitative study examined the perceptions of a sense of belonging for Black women juggling intersecting marginalized identities while in executive leadership at public four-year institutions in the United States. It also explored suggestions to improve belonging. Crenshaw's intersectionality theory and Maslow's hierarchy of needs grounded this exploration. Twelve women who met the study criteria were interviewed via Zoom audio recordings. Findings showed that Black women in executive leadership had various perceptions of their sense of belonging from feeling "spoiled" to having no expectation of belonging. Overall, these women felt that sense of belonging for Black female executive leaders is a mutual responsibility of Black women and the institution. Key themes that emerged were: the value of villages, belonging beyond institutions, support, creating opportunity, and opting out. Results also indicated that Black women in executive leadership may never fully belong in predominately White spaces. Understanding these women's perceived sense of belonging can help institutions enact strategies to improve the job satisfaction, recruitment, and retention of Black female executive leaders, which could contribute significantly to positive social change.
Dominique A. White (2024). Examining Sense of Belonging in Higher Education Leadership for Black Women with Intersecting Marginalized Identities International Journal on Social and Education Sciences, v4 n4 Page 185
The Underrepresentation of African American Males in Senior Leadership Positions at Predominantly White Institutions: Qualitative Phenomenology Study of Ohio's Community Colleges
Ty-Juan Young
ProQuest LLC, Ed.D. Dissertation, Franklin University
There is still a scarcity of African American male professionals ascending to senior executive leadership within predominantly White institutions (PWIs) of higher education. Some may believe that obtaining qualified Black males for those positions is a pipeline issue. However, what if they are already African American males waiting and ready for the call-up? Higher education has become diverse for the student populations, staff, faculty, and mid-level administrators, but no difference exists within senior executive leadership in PWIs. This research study examined Black males' experiences, perceptions, and pathways when pursuing or thinking about senior executive leadership at predominantly white institutions (PWIs) community colleges. The targeted population is African American males of mid-level faculty, staff, and administrators who are subordinates to senior executive leadership at the community colleges. Participants of this research come from Ohio's community colleges. Therefore, the study aimed to avoid extrapolating results to populations outside the particular geographical area. The researcher investigated the lived experience, beliefs, barriers, or challenges African American males may face as mid-level leaders in community colleges. The results of this study contribute to the body of research on African American males in leadership by providing tools and pathways to executive leadership positions in community colleges in Ohio. However, the insight obtained can help inform the creation of mentorship and leadership development programs for senior executive roles for mid-level African American male professionals in Ohio's community colleges.
Ty-Juan Young (2023). The Underrepresentation of African American Males in Senior Leadership Positions at Predominantly White Institutions: Qualitative Phenomenology Study of Ohio's Community Colleges International Journal on Social and Education Sciences, v4 n4 Page 159
ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ1)เพื่อศึกษาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 2) เพื่อศึกษาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 และ 4) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 จำนวน 501 คน จำแนกเป็นบริหารสถานศึกษา 169 คน และครูผู้สอน 332 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม คือ สถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .962 และการดำเนินงานตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .974 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression) ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. การดำเนินงานตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่กับการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 มีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม (X4) ด้านการมีทักษะเทคโนโลยีดิจิทัล การใช้สื่อและเข้าใจศัพท์ดิจิทัล (X1) ด้านการมีทักษะสื่อสาร (X5) ด้านการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และการสร้างการเรียนรู้ (X6) ด้านการมีวิสัยทัศน์ (X3) และด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ (X2) เป็นตัวพยากรณ์ สามารถร่วมกันพยากรณ์ดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 ได้ร้อยละ 82.70 และเขียนเป็นสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ทำนายการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 ในรูปคะแนนดิบ ดังนี้ Y’ = .283 + .177X4 + .218X1 + .210X5 + .132X6 + .083X3 + .120X2 สมการพยากรณ์ทำนายการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 ในรูปคะแนนมาตรฐาน ดังนี้ Z’Y = .190zX4 + .250zX1 + .229zX5 + .140zX6 + .099zX3 + .133zX2
รัชนีกร เศษโถ (2566) ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2: วิทยานิพนธ์ ศึกษามหาบัณฑิต. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
การศึกษาภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย ในการบริหารจัดการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
บทคัดย่อ
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย 2) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงรายในการบริหารจัดการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย จำนวน 85 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Random Sampling) กลุ่มตัวอย่าง 70 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ประกอบไปด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการศึกษา พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของผู้บริหารโรงเรียนในการบริหารจัดการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อแยกรายด้านพบว่า ผู้อำนวยการสถานศึกษามีภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ 4 ด้าน คือ ผู้นำแบบสั่ง ผู้นำแบบสนับสนุน ผู้นำแบบมีส่วนร่วม ผู้นำแบบมุ่งผลสำเร็จอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) การบริหารจัดการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย อยู่ในระดับมากทุกข้อ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ทุกข้อมีระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย ในการบริหารจัดการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีค่าความสัมพันธ์อยู่ในระดับมาก (r = .624) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
วินัย คำยันต์ (2562) การศึกษาภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย ในการบริหารจัดการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
: วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กับการบริหารงานประกันคุณภาพของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร
บทคัดย่อ
Abstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร 2)การบริหารงานประกันคุณภาพและ 3) ความสัมพันธ์ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานประกันคุณภาพของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ประชากร ประกอบด้วย ผู้บริหารและครูผู้สอนของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่างจำนวน 342 คน ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ เครื่องมือที่ใช้ในเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการศึกษา พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาครภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านวิสัยทัศน์ รองลงมาคือด้านความสามารถในการแก้ปัญหาและด้านที่มีค่าต่ำที่สุดคือด้านความยืดหยุ่น 2) การบริหารงานประกันคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาครภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการจัดการให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รองลงมาคือด้านการจัดระบบบริหารและสาระสนเทศและด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการจัดให้มีการติดตามและตรวจสอบคุณภาพภายในตามมาตรฐานศึกษาของสถานศึกษา 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับปานกลางกับการบริหารงานประกันคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ชนุตาพร อ่วมเครือ (2567) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กับการบริหารงานประกันคุณภาพของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร
: วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยธนบุรี