เก็บเรื่องเล่ามาฝาก


เรื่องที่ 11 เผยเรื่องราวความรัก "หนุ่มเรียนจบปริญญา แต่งงานกับสาวแผงลอย เวลาผ่านไป เกิดสิ่งที่ใครก็คาดไม่ถึง?

นี่เป็นแค่เรื่องเล่า!

หลังปิดไฟเตรียมเข้านอน ภรรยาสาวคุยกับสามี : "อาเฉียง โรงงานในหมู่บ้านกำลังรับสมัครคนงาน พรุ่งนี้คุณไปลองดูมั๊ย"

อาเฉียงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเพียงคนเดียวในหมู่บ้าน หลังเรียนจบก็หางานที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้สักที เขาอยู่บ้านเฉย ๆ มา 2 ปีแล้ว รายจ่ายทั้งหมดก็ตกเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ต้องไปตั้งแผงลอยขายของ

"ผมเรียนจบตั้งมหาวิทยาลัย จะให้ไปเป็นคนงานในโรงงาน ผู้หญิงอย่างคุณไม่เข้าใจ ระดับผมต้องทำบริษัทใหญ๋" อาเฉียงไม่พอใจ หันหลังให้ภรรยา แล้วเข้านอน

"อาเฉียง ฉันไปขายของกลับมามืดค่ำ คุณอยู่บ้านทำอาหารเย็นได้มั็ย" เหมยลี่ปรึกษากับสามีที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ขณะเธอกำลังเตรียมอาหารเย็นหลังจากไปขายของเหนื่อยมาทั้งงวัน

"ผมเป็นผู้ชายที่ต้องทำเรื่องใหญ่ ทำอาหารซื้อของเป็นเรื่องของผู้หญิงอย่างคุณ อย่ามาโยนให้ผม" อาเฉียงไม่แม้แต่หันหน้ามามอง ความหมายก็คือไม่ต้องการช่วยเหมยลี่ แต่เหมยลี่ก็ไม่ยอมแพ้

"งั๊นตอนกลางวันคุณมาช่วยฉันขายของมั๊ย ช่วงนี้ลูกค้าเยอะ ฉันทำคนเดียวไม่ทัน เราสองผัวเมียช่วยกันขาย ร้านต้องไปได้ด้วยดีแน่ ๆ"

ที่จริงแล้วเธออยากให้อาเฉียงมาช่วย ยิ่งตอนนี้เขายังหางานไม่ได้สักที อย่างนั้นสองผัวเมียมาช่วยกันทำร้านเล็ก ๆ ใหญ่ขึ้นก็ไม่เลวเลย แต่คำพูดของเธอก็ไม่สามารถทำให้เขาหันมาสนใจได้ เขาฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา : โอ๊ย! ร้านคุณมันก็แค่แผงลอยเล็ก ๆ ผมเป็นนักศึกษามหาลัย ไม่ไปขายอะไรเล็กน้อยอย่างนั้นหรอก

เหมยลี่มองด้านหลังของอาเฉียงที่เอาแต่เล่นเกม เธออ้าปากจะพูดแล้วก็ต้องหุบปากลง...วันเวลาผ่านไป อาเฉียงเอาแต่อยู่บ้าน รอโอกาสทองของเขา และเหมยลี่เองก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเขาอีกเลย

เธอออกไปขายของที่ร้านของเธอตอนกลางวัน กลางคืนก็กลับมาจัดการบ้านที่อาเฉียงทำรกไว้ เธอเหนื่อยจนหัวถึงหมอนก็หลับทันที ส่วนสามีถ้าไม่เล่นคอมพิวเตอร์ก็ออกไปกินเหล้ากับเพิ่อนฝูง

อยู่มาวันหนึ่งเขาไปได้ยินว่า ลูกชิ้นปลาของเหมยลี่ไปเตะตานักธุรกิจใหญ่ เหมยลี่กำลังจะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท เขาก็รีบกลับบ้านไปคุยกับเธอทันที "อาลี่ มีคนบอกว่ามีนักธุรกิจใหญ่มาสนใจลูกชิ้นปลาของคุณ คุณกำลังจะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่"

"อืม ทำไมเหรอ" เธอกำลังหันหลังให้เขา เตรียมอาหารเย็น

"นั่นมันบริษัทใหญ่ คุณแนะนำผมเข้าไปหน่อยสิ นี่เป็นโอกาสดีของผมแล้ว" อาเฉียงยิ่งพูดยิ่งดีใจ เขารู้สึกได้ว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว

"คุณคุ้นเคยกับขั้นตอนการผลิตมั๊ย"

"ไม่คุ้นอะ"

"คุณมีคอนเนคชั่นมั๊ย"

"ไม่ ไม่มีป่ะ"

"คุณมีประสบการณ์ด้านการบริหารมั็ย"

"ไม่มี"

เหมยลี่หันมาคุยกับเขา "แล้วบริษัทจะเอาคุณไปทำอะไร"

"ผมจบมหาวิทยาลัย ผมเคยเรียนในมหาวิทยาลัย"

ไม่นานหลังจากนั้นอาเฉียงก็ได้รับหนังสือหย่า ข้างในมีกระดาษโน๊ตเขียนคำพูดของเหมยลี่ :

"คุณทำอาหารเป็นมั๊ย? : ไม่เป็น

คุณเคยทำงานบ้านมั๊ย? : ไม่เคย

คุณเคยรู้เคยเข้าใจว่าภรรยาอย่างฉันลำบากแค่ไหนมั๊ย? : ไม่เคย

คุณเคยรับผิดชอบอะไรในครอบครัวมั๊ย? : ไม่เคย

ฉันเป็นผู้หญิง เป็นภรรยาของคุณ เวลาฉันทำงานเหนื่อย ๆ ก็อยากให้คุณมาช่วยแบ่งเบา แต่คุณกลับเอาแต่เล่นเกม และออกไปกินเหล้ากับเพื่อน ๆ ฉันทำงานบ้านเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่คุณกลับบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของฉันคนเดียว

อาเฉียง งานการดี ๆ รอไป ๆ ก็ไม่มี ใจฉันก็เหมือนกัน

ในเมื่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเป็นหน้าที่ของฉัน ทำงานบ้านเป็นหน้าที่ของฉัน ถ้าอย่างนั้นครอบครัวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีคุณ คุณไม่เหมาะกับตำแหน่ง "สามี" อีกต่อไป

ในชีวิตของคนเรา เรื่องเล็ก ๆ ทุกเรื่องในวันนี้จะสะสมเป็นเรื่องใหญ่ของคุณในอนาคต เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเรื่องงานหรือหัวใจ :

"ปฏิเสธ" ให้น้อย "ปฏิบัติ" ให้มาก

"บ่น" ให้น้อย "พยายาม" ให้มาก

"สนุก" ให้น้อย "ลำบาก" ให้มาก

ข้อมูลโดย....อินเเทอร์เนต

เรื่องที่ 10 อย่าทำตัวเป็น..."ม้าพันลี้" อย่าอวดดีคิดว่าตนเองเก่ง

อย่าทำตัวเป็น...ม้าพันลี้...อย่าอวดดีว่าตนเองเก่ง หรืออยู่เหนือผู้อื่น

ม้าหนุ่มพันลี้ตัวหนึ่ง รอคอยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ มาพบเห็นมัน ระหว่างที่รอ ก็มี...พ่อค้ามาหา พ่อค้าก็เลยถามม้าพันลี้ว่า "เจ้าจะไปกับข้าไหม" ม้าพันลี้ ส่ายหัว ตอบว่า..."ไม่ไป...ฝีเท้าดีอย่างข้า ทำไมต้องไปส่งของให้เจ้า ซึ่งเป็นพ่อค้าธรรมดา"

หทารมาหา ก็ถามว่า "เจ้าจะยินยอมไปกับข้าหรือไม่" ม้าพันลี้ ส่ายหน้า แล้วพูดว่า "ไม่...ทำไมข้าจะต้องไปรับใช้ทหารธรรมดาอย่างเจ้า"

นายพรานมา แล้วพูดว่า "เจ้ายินยอมจะไปกับข้าไหม" ม้าพันลี้ส่ายหน้า พูดว่า "ไม่...ข้าเป็นม้าพันลี้ จะไปทำงานหนักรับใช้เจ้าผู้เป็นนายพรานทำไม"

อย่างไรก็ตาม จนเวลาผ่านไปนาน...วันแล้ว วันเล่า ปีแล้ว ปีเล่า ม้าตัวนี้ยังค้นหาเจ้านายที่ใฝ่ฝันไว้ไม่ได้ จนมีขุนนางรู้ข่าวเกี่ยวกับม้าพันลี้ ขุนนางออกมาจากวังหลวงตามพระราชโองการ เพือตามหาม้าพันลี้ ม้าพันลี้และขุนนาง จึงได้พบกัน ม้าพันลี้ พูดขึ้นว่า " ข้าคือม้าพันลี้ ที่ท่านตามมหา" ขุนนางก็เลยถามม้าพันลี้ว่า "เชี่ยวชาญเส้นทางประเทศเราไหม" ม้าพันลี้ตอบว่า "ไม่" ขุนนางก็เลยถามต่อว่า "เจ้าเคยสู้สมรภูมิรบบ้างไหม" ม้าพันลี้ตอบว่า "ไม่" ขุนนางเลยพูดขึ้นว่า "ข้าเอาเจ้าไป จะมีประโนชน์อะไร" ม้าพันลี้ตอบว่า "ข้าวิ่งเวลากลางวันได้วันละ พันลี้ กลางคืน แปดร้อยลี้" ขุนนางให้ม้าพันลี้วิ่ง ม้าใช้พลังทั้งหมดออกวิ่งไป วิ่งไปได้ไม่กี่เก้า ก็หายใจหอบ ขุนนางพูดว่า "เจ้าแก่แล้ว ไม่ไหวแล้ว" หลังจากพูดจบก็เดินจากไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การรอบางเรื่อง...ไม่เป็นผลดีกับตัวคุณเลย

รอวันหน้า...รอไม่ยุ่ง...รอครั้งหน้า...รอมีเวลา...รอมีเงื่อนไข...รอมีเงินแล้ว...รอไปรอมา...รอจนไร้ซึ่งวาสนา...รอจนไร้ซึ่งวัยเยาว์...รอจนไร้สุขภาพดี...รอจนไม่ได้โอกาส...ไม่มีทางเลือก...ไร้ซึ่งวาสนา

ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตได้ เรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็กลายเป็นผ่านออกไปตลอดกาล

เรื่องที่คิดจะทำ ก็รีบเร่งทำ อย่าให้ตนเองคงเหลือไว้ซึ่งความเสียใจที่ไม่ได้ทำ บางครั้งโอกาสดี ๆ ก็ไม่ได้มีเข้ามาบ่อย ๆ เมื่อไรที่มีโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิต ให้รีบคว้าไว้และตั้งใจทำให้ได้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง

ที่มา ADMIN

เรื่องที่ 9 ผมล้างมือให้แม่ครับ

หนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการเรียนดีเยี่ยม ไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้ว ผู้อำนวยการได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ผู้อำนวยการเห็นข้อมูลในประวัติของเด็กหนุ่มคนนี้ ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอดมา นับตั้งแต่มัธยมศึกษาจนจบมหาวิทยาลัย ไม่ปรากฏว่าเขาทำคะแนนตกเลย ผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า "เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่า" ? เด็กหนุ่มตอบว่า "ไม่เคยครับ" ผู้อำนวยการถามต่อว่า "คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม" เด็กหนุ่มตอบว่า "คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม" ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหน" เด็กหนุ่มตอบว่า "คุณแม่รับจ้างซักผ้ารีดผ้า" ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ตืให้ผู้อำนวยการดู ผู้อำนวยการถามต่อว่า "เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า" เขาตอบว่า "ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะ ๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ" ผู้อำนวยการบอกว่า "ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ วันนี้ เธอกลับไปที่บ้านช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอ แล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งเช้า"

ด้วยความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมาก เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาจึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา ฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคนหวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก

หนุ่มน้อยค่อย ๆ ล้างมือให้แม่ !! แล้วก็น้ำตาไหลออกมา !!

เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั่นช่างเหี่ยวย่น และเต็มไปด้วยริ้วรอยขูดข่วน ซึ่งบาดแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริก นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวันเพื่อหารายได้มาส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน รอยแผลเหล่านี้คือราคาที่แม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา เพื่อผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขาและอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกันอยู่นาน

เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการพูดขึ้นว่า "ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร"? เด็กหนุ่มตอบว่า "ผมล้างมือให้แม่แล้วครับ แล้วก็เลยช่วยเม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ" ผู้อำนวยการบอกว่า "ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิว่า เธอรู้สึกยังไง"

เด็กหนุ่มตอบว่า

ข้อที่หนึ่ง ผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย

ข้อที่สอง จากการช่วยแม่ทำงาน ผมได้รู้ว่า มันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง

ข้อที่สาม ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความรักและความผูกพันในครอบครัว

ผู้อำนวยการจึงบอกว่า..."นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอยากได้...คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบากของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง และอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงินเป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว...มาเป็นผู้จัดการให้ฉัน

"เป็นอันตกลงว่า...ฉันรับเธอไว้ทำงาน"

ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกจ้างทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี

...............................................................

เด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้รับทุกอย่างที่ต้องการ จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเป็นอันดับแรก เขาจะไม่สนใจความเหนื่อยยากของพ่อแม่ เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใคร ๆ จะต้องเชื่อฟังเขา เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไร และมักจะโทษคนอื่น คนลักษณะนี้อาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จ หากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึงและไม่มีวันรู้สึกเพียงพอ

ถ้าเราเป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้ จงถามตัวเราว่า เรากำลังให้ความรักกับลูกหรือกำลังทำลายเขากันแน่? เราให้ลูก ๆ มีบ้านใหญ่ ๆ อยู่กินอาหารดี ๆ ดูทีวีจอใหญ่ แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วย หลังอาหารให้เขาล้างถ้วยล้างชามของตัวเองพร้อม ๆ กับพี่ ๆ น้อง ๆ ไม่ใช่เราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้ แต่เพราะเราอยากให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธี เราอยากให้เขาเข้าใจว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะจนหรือรวย วันหนึ่งก็ต้องผมขาว แก่เฒ่าลงไป เหมือนกับแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือรู้คุณค่าของความพยายาม ได้รู้จักว่า ความยากลำบากเป็นยังไง และได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น

................................................................

ถ้าน้ำตาซึม....เช็ด....แล้วก็..................อย่าเก็บไว้คนเดียวนะ

ขอบคุณเจ้าของบทความ

ข้อมูลโดย....อินเเทอร์เนต

เรื่องที่ 8 แม่ยืมเงินลูก

แม่ขอยืมเงินลูก 5 พัน แต่เขียนสัญญา 5 แสน หลังจากแม่จากไปลูกถึงได้รู้ความจริง

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีเรื่องราวหนึ่ง อ่านแล้วมีความรู้สึกเกิดขึ้นอยู่หลายอย่าง เป็นเรื่องราวของป้าหวังที่มีลูกชาย 2 คน ลูกสาว 1 คน แต่ลูกชายทั้ง 2 คน ไม่ได้เรื่อง มีแต่ลูกสาวที่พอจะพึ่งพาได้ เมื่ออายุมากขึ้น สุขภาพของป้าหวังก็เริ่มแย่ลง ลูกชายทั้งสองก็ไม่มาดูแล พอลูกสาวรู้เข้า จึงปรึกษากับลูกเขยว่า ให้แม่อยู่บ้านคนเดียวไม่ดีแน่่ ในเมื่อพี่ชายสองคนไม่ดูแลแม่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะกลับบ้านไปดูแลแม่แล้วกัน ลูกเขยก็เข้าใจ บอกว่ากลับไปดูแลแม่เป็นสิ่งที่เราควรทำ เอาเป็นว่า เธอกลับไป เดี๋ยวเรื่องที่นี่ผมจัดการเอง ลูกสาวกลับไปดูแลแม่อย่างตั้งใจ แม่ไม่สบายต้องใช้เงิน ลูกสาวไปขอจากพี่ชายคนโต เขาก็ว่า "ไม่มีเงิน" พอไปขอจากพี่ชายคนรอง เขาก็บอกว่า "แกกลับไปรอที่บ้าน ถ้ามีเงินแล้วจะส่งไปให้" แต่พี่คนรองก็ไม่เคยส่งมา ที่พูดก็เพื่อจะไล่น้องสาวกลับบ้านเท่านั้น ลูกสาวไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แต่ก็ยังโทรไปบอกลูกเขย ให้ส่งเงินมาให้ ลูกเขยเลยเอาหมูที่บ้านไปขาย ส่งเงินให้ลูกสาว 5,000 บาท

แม่ : "ลูกเอ๋ย เงินนี้แม่รับไว้เฉย ๆ ไม่ได้ ต้องเขียนเป็นสัญญากู้"

ลูกสาว : "แม่จ๋า แม่เป็นแม่หนู นี่คือสิ่งที่หนูควรทำ ไม่ต้องค่ะ"

แม่ยืนกรานจะเขียน สุดท้ายแม่ก็เลยเขียนเป็นสัญญากู้ง่าย ๆ แถมเซ็นลายเซ็นและปั๊มลายนิ้วมือด้วย ลูกสาวอ่านแล้วก็บอกว่า "แม่เขียนผิดหรือเปล่า หนูให้แม่ 5,000 ทำไมแม่เขียน 500,000 "

แม่บอกว่า : "แกไม่ต้องไปสนใจ เก็บสัญญากู้นี้ไว้ให้ดี ๆ ก็พอ"

สามเดือนผ่านไป แม่ก็จากไป

ลูกชายทั้งสองรู้ จึงขายบ้านของแม่ทิ้ง ได้เงินมา 750,000 เตรียมจะแบ่งกันสองคน ผู้ใหญ่บ้านพาลูกสาวของป้าหวังมาหาลูกชายทั้ง 2 คน แล้วพูดว่า "แม่ของพวกเอ็งตอนมีชีวิตอยู่ฝากให้ลุงมาจัดการ แกบอกลูกสาวกตัญญูนัก สมบัติให้แบ่งให้ลูกสาวด้วยส่วนหนึ่ง

ลูกชายสองคนบอกว่า "ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกไป ตามธรรมเนียมของหมู่บ้านเรา สมบัติต้องตกเป็นของลูกชาย พวกเราเองก็กลัวเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ก่อนแม่จากไป พวกเราก็เลยให้แม่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าให้ยกบ้านให้พวกเรา และในตอนนั้นเอง ผู้ใหญ่บ้านก็ให้ลูกสาวหยิบสัญญากู้ออกมา แล้วว่า "แม่เอ็งติดเงินลูกสาวอยู่ 500,000 เงินนี้พวกเอ็งต้องเป็นคนชดใช้ พวกเอ็กต้องทำตามสัญญามรดกและสัญญากู้ ไม่อย่างนั้นก็ไปฟ้องร้องเอา เอ็งสองคนได้ไป 250,000 ก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว ลูกชายสองคนลังเลอยู่หลายวัน ก่อนจะส่งเงิน 500,000 ให้ลูกสาว หลังเร่ื่องนี้จบลง ชาวบ้านก็ชื่นชมคน 3 คน เป็นอย่างมาก หนึ่งคือ ลูกสาวที่กตัญญู สองคือ ป้าหวังที่ฉลาด และ สาม คือ ผู้ใหญ่บ้านที่ยุติธรรม


ข้อมูลโดย....อินเเทอร์เนต

เรื่องที่ 7 วงจรชีวิตของปาก

หนึ่งถึงสิบปี เป็นช่วงที่เธอใช้ปากเพื่อการกิน การซักถาม ร้องขอความช่วยเหลือ และเพื่อการเริ่มต้นเป็นคน คำพูดที่ออกมาจึงน่ารัก ฟังแล้วไม่รู้สึกโกรธเคือง เด็ก ๆ พูดอะไร ก็ตลกขำขัน

สิบถึงยี่สิบปี เป็นช่วงที่เธอใช้ปากเพื่อการศึกษา การเรียนรู้โลก การเรียนรู้สิ่งตรงกันข้าม เริ่มชัดเจนในคำติชม เรียนรู้การด่า การนินทาว่าร้าย เข้าใจการสรรเสริญ เริ่มวงจร วจีกรรม

ยี่สิบถึงสามสิบปี เป็นช่วงที่เธอใช้ปากเพื่อการจับจอง เพื่อความคาดหวังในองค์ประกอบชีวิต เริ่มใช้ปากเพืิ่อการแย่งชิง เป็นการเริ่มโตด้วยการถากถางโตบนความเชื่อมั่นตนเอง เริ่มโตด้วยกรรมจากปาก

สามสิบถึงสี่สิบปี ช่วงสำคัญที่สุดของปาก บัดนี้ปากเธอโตถึงที่สุดแล้ว ได้ดีเพราะคำพูด ล้มเหลวเพราะปากก็มี เป็นช่วงที่ปากแข็งแรง และแกร่งกล้าที่สุด เธอเชื่อมั่นในประสบการณ์ทางคำพูด มั่นใจในคำพูด รวมถึงสะสมกรรมจากคำพูดมาพอสมควร ด่าใครไว้เยอะ ติเตียนใครมาเกือบครึ่งนึงของความเป็นคน

สี่สิบถึงห้าสิบปี เธอเริ่มทบทวนที่มาของปากตัวเอง ปากเธอเริ่มแก่ สี่สิบปีที่ผ่านมาด่าใครไว้บ้าง ทำร้ายใครด้วยวาจาไว้บ้าง เธอเริ่มคิดทบทวนมากขึ้นที่จะขอโทษคนที่เคยพูดทับถมดูถูก บางคนด่าจนคนเขาเกลียด บางคนใช้ปากเมตตาจนคนเขาเคารพ สะสมคุณงามความดีด้วยคำพูด ทุกสิ่งจะสมบูรณ์ในช่วงเวลานี้อีกเช่นกัน

ห้าสิบถึงหกสิบปี เธอเริ่ม ๆ ที่จะหยุดนินทาว่าร้าย สงบปาก สงบคำพูด เหมือนกำลังพูดว่าจะเกษียณอายุทางคำพูดสักที ตั้งใจว่าจะไม่นินทาว่าร้ายใคร เห็นคนได้ดีมาเยอะ เห็นคนล้มเหลวมามาก ชีวิตมาเกินครึ่งร้อยแล้ว นิ่ง ๆ สงบปากสงบคำดีที่สุด

หกสิบถึงเจ็ดสิบปี ปากเธอเริ่มเกิดใหม่ บางปากเริ่มต้นที่จะหางานใหม่ บางคนเริ่มสวดพุทธ บางคนสงบปากมาก เพราะกลัวคำพูดจะทำร้ายใคร ปากท่องแต่มนต์ พูดแต่สิ่งทีี่มีประโยชน์ดีที่สุด บางคนรักษาดีลูกหลานก็รักใคร่ แต่บางคนไม่กลับตัวก็กลายเป็นลูกหลานรังเกียจ

เจ็ดสิบถึงแปดสิบปี ของการเกิดใหม่ บางคนเริ่มจบชีวิต บางคนพูดไม่ได้ บางคนสื่อสารไม่ดีเพราะสังขาร โรคภัยรุมเร้า ปากเริ่มตายด้วยก็มี

แปดสิบถึงเก้าสิบถึงร้อย ยังอยู่ก็เหมือนตาย คำพูดทั้งชีวิตไร้ความหมาย บางคนคาบแต่สายยาง บางคนปากถูกครอบครองด้วยเครื่องช่วยหายใจ พูดมาทั้งชีวิตแต่ถูกอุปกรณ์สารพัดปิดปาก ท้ายที่สุดคำพูดทั้งหมดก็ถูกลืมเลือนด้วยความตายและกาลเวลา บางคนรู้ตัวไวก็ให้ปากเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีไว สรรเสริญธรรมงดการอกุศลกรรมทางปาก พึงพอใจสำรวมคำพูด บ้างรู้ตัวตั้งแต่วัยรุ่น ประตูกรรมที่น่ากลัวที่สุดคือ ปาก หากสำรวมได้เร็วเข้าใจเร็ว ชีวิตทั้งภพนี้ภพหน้าก็เป็นสุข

ขอมูลโดย อินเทอร์เน็ต

เรื่องที่ 6

เรื่องสั้น 4 เรื่อง ที่ใช้สอนใจและให้ข้อคิดดี ๆ

เรื่องที่ 1 ความรู้ vs ความสามารถ

คุณยายคนหนึ่ง พลัดหลงเข้าไปในห้องสัมมนาของเหล่าดอกเตอร์ บนเวทีมีดอกเตอร์ท่านหนึ่งกำลังเอ่ยถามผู้ที่เข้ามาสัมมนาว่า…“เม็ดฝนที่ตกมาจากฟ้าที่สูงและตกมาด้วยความเร็วสูง จะทำให้คนได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่?” เมื่อสิ้นเสียงคำถาม ภายในห้องประชุมก็อื้ออึง ต่างก็พากันวินิจฉัยหาคำตอบ บ้างก็หาค่าความเร็วของเม็ดฝน บ้างก็หามวลน้ำหนักของเม็ดฝน ฯลฯ ต่างคนต่างก็พากันคิด คุณยายมองดูอยู่สักพักก็คว้าไมโครโฟนที่โพเดียมออกมาพูดขึ้นว่า…“พวกคุณไม่เคยตากฝนเหรอ?” สิ้นเสียงของคุณยาย ห้องทั้งห้องเงียบกริบ ทุกคนต่างพากันพยักหน้าบอกว่า “ใช่ ๆ พวกเราก็เคยโดนฝนนี่นา”

เรื่องนี้สะกิดว่า “ความรู้อาจสร้างวิธีคิดที่หลากหลาย แต่ประสบการณ์คือความสามารถทำให้คุณแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว”

เรื่องที่ 2 เกลือจิ้มเกลือ

ชายหนุ่มซื้อปลามาจากตลาด เขาบอกภรรยาว่า…“ที่รัก ผมซื้อปลามา คุณช่วยทอดให้หน่อยนะ เดี๋ยวผมจะไปดูหนังสักเรื่องหนึ่ง แล้วจะกลับมากิน” เมื่อภรรยาได้ยินว่าสามีจะไปดูหนัง ก็เอ่ยขึ้นว่า "ฉันไปดูด้วย!” ชายหนุ่มได้ตอบกลับไปว่า "อย่าไปเลย คุณอยู่ทำกับข้าวที่นี่ ค่าตั๋วก็แพง ผมไปดูคนเดียว เดี๋ยวจะกลับมาเล่าให้ฟัง พร้อมทานปลาที่คุณทำนะ ๆ” เมื่อชายหนุ่มกลับมาจากดูหนัง ก็เดินเข้าไปที่ห้องครัว แล้วถามภรรยาว่า “คุณ! ปลาทอดอยู่ไหน?" ภรรยาสาวนั่งอ่านหนังสือด้วยอาการสงบ แล้วตอบว่า “ฉันกินหมดแล้ว! มาๆ มานั่งใกล้ฉันเลยคุณ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังว่าปลามันอร่อยยังไง?”

เรื่องนี้สะกิดว่า “คุณปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร เขาก็อาจปฏิบัติต่อคุณอย่างนั้น”

เรื่องที่ 3 สำคัญที่ข้างเคียง

ตอกเส้นหนึ่งตกอยู่บนถนน มันคือขยะ หากมันผูกอยู่กับผักกาดขาว ก็มีค่าเท่ากับการร้อยผักกาดขาว หากมันผูกอยู่กับซุ้มดอกไม้ มันก็มีค่าเท่ากับของประดับสำคัญคือ เราอยู่กับใคร

เรื่องนี้สะกิดว่า “อยู่กับคนที่ไม่เหมือนกันย่อมเกิดคุณค่าที่แตกต่างกัน เวทีที่ยืนต่างกันค่าตัวก็ต่างกัน อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป”

เรื่องที่ 4 ไม่เรียนได้ไหม?

ตอนที่เอ็นทรานซ์ ผมสอบไม่ติดมหาลัยใดเลย เพื่อนของแม่มาคุยให้แม่ฟังว่า ลูกชายของแกสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดัง แกภูมิใจลูกชายแกมาก ส่วนผมสอบไม่ติดจึงออกมาหางานทำ ผ่านไปไม่กี่ปี เพื่อนของแม่มาเล่าให้แม่ผมฟังว่า ลูกชายของแกจบดอกเตอร์แล้ว ตอนนี้ทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เงินเดือนสามหมื่นกว่าบาท “แล้วลูกชายของเธอล่ะ ตอนนี้ทำงานอะไร? เรียนจบที่ไหน?” “ตอนนี้ไอ้โน้ตมันเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถ เงินเดือนไม่มีเพราะเป็นเงินของมันทั้งหมด” แม่ของผมตอบออกไป

เรื่องนี้สะกิดว่า “คุณไม่ต้องจบมหาลัยก็ได้ ถ้าไม่งอมืองอเท้า”

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก เพจสาระน่ารู้

เรื่องที่ 5

หลายคนอาจเคยได้ยินประโยคสุดคลาสสิคที่ว่า..."เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต" แต่เอาเข้าจริง หลาย ๆ อย่างในชีวิตก็ต้องใช้เงิน

เงิน ซื้อความสุขแท้จริงไม่ได้ แต่เหตุประกอบของการสร้างความสุข ก็ต้องใช้เงิน

เงิน ซื้อเวลาไม่ได้ ไม่จริงหรอก แต่อาจต้องใช้เงินในจำนวนที่เยอะ มากขึ้นหน่อย

เงิน ซื้อความฝันไม่ได้ แต่ทำให้เราเอื้อมมือไปคว้ามันได้เร็วขึ้นได้

เงิน ซื้อมิตรภาพไม่ได้ ซื้อความรักไม่ได้ อันนี้จริงแฮะ...ซื้อไม่ได้จริง ๆ ยกเว้น มิตรภาพและความรักจอมปลอม

มันก็ใช่แหละที่ เงิน ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่เราก็อาจสูญเสียหลายอย่างในชีวิตได้...ถ้าไม่มี "เงิน"

ข้อมูลโดย : เตือนตัวเอง

เรื่องที่ 4

พ่อแม่ นี่ก็แปลกเนอะ เลี้ยงเราให้โตกว่าท่านได้ด้วย

พ่อแม่ นี่ก็ประหลาดดีนะ ไม่เคยมีข้าวของดี ๆ ใช้ แต่ทำให้ลูกเข้าสังคมได้ โดยไม่อายใคร

พ่อแม่ นี่ก็ตลกดีเนาะ ไม่เคยได้หยุดพัก แต่ก็ไม่เคยบ่น ท่านยอมทนกับความเหนื่อย เพียงเพราะกลัวว่าเราจะไม่สบาย

ท่านคือคนที่เชื่อมั่นในตัวเรา แม้ในวันที่เรา หมดความเชื่อมั่นในตัวเอง

เหนื่อยเมื่อไหร่ กลับไปหากำลังใจที่บ้านนะ คนทางนั้นไม่เคยดูถูกเรา แม้ในวันที่เราดูถูกตัวเอง

อย่ามองสิ่งที่ท่านทุ่มเทให้เป็นสิ่งเล็กน้อย เพราะมันอาจหมายถึงทั้งหมดที่ท่านทั้งสองมี

ข้าวกับเกลือพ่อแม่ทานได้ ถ้าลูกยิ้มได้ พ่อแม่ก็อิ่ม

เสื้อผ้าเก่า ๆ พ่อแม่ใส่ได้ แค่เห็นลูกมีข้าวของเครื่องใช้ พ่อแม่ก็อุ่น

ไม่รู้ว่าเรานึกถึงพ่อแม่ตอนไหนบ้าง แต่สำหรับท่าน...คงไม่มีเวลา...ไม่นึกถึง

ฝันเป็นจริงเมื่อไหร่ จงรีบกลับไปดูแล

วันไหนประสบความสำเร็จ อย่าลืมชวนท่านไปร่วมยินดี

อย่าบ่น เพราะท่านต้องทนกว่าเราเยอะ

ไปเถอะ ไปกอดท่าน ก่อนที่วันนั้น ตัวท่านจะเย็น

แด่...ผู้ให้กำเนิด

ข้อมูลโดย อินเทอร์เน็ต

เรื่องที่ 3

มีนักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง ว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟากในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม และลมเริ่มพัดจนน้ำเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็ก ๆ เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้า ๆ จนเมื่อเรือได้เข้าสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราด คนแจวเรือจึงต้องใช้ความคิดและระมัดระวังเป็นอย่างมาก ส่วนฝ่ายนักศึกษานั้นกำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มใหญ่อยู่ จนในที่สุดนักศึกษาได้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราแล้วมองไปยังคนแจวเรือ

“ลุง ๆ เคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์บ้างไหม?” นักศึกษาเอ่ยถามขึ้น

“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือจ้างตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“ถ้างั้นลุงก็พลาดโอกาสเสียแล้วหละ ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่านมีเรื่องของกษัตริย์และราชินในสมัยอดีต รวมถึงเรื่องของสงครามการต่อสู้ ทำให้เราสามารถรู้ว่าคนในสมัยโบราณใช้ชีวิตกันแบบไหน แต่งกายกันอย่างไร ประวัติศาสตร์จะบอกให้ได้รู้ถึงความเจริญและความเสื่อมลงของชนชาติต่าง ๆ ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?”

“ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ” คนแจวเรือตอบ

คนแจวเรือก็ยังคงแจวเรือต่อไป ส่วนนักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น ผ่านไปสักครู่หนึ่ง นักศึกษาก็เอ่ยถามคนแจวเรือขึ้นอีก ”ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?”

“ไม่เคยเลยครับ”

“ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้เราได้รู้จักกับโลกและประเทศต่าง ๆ และยังรวมถึงกระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน นะลุง วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?”

“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ

นักศึกษาส่ายหน้า

“ถ้าไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงก็เหมือนไม่มีค่าอะไรเลย”

“วิทยาศาสตร์ละลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า”

“ไม่เคยอีกแหละคุณ”

“ลุงเนี่ยนะเป็นคนยังไงกันแน่? วิทยาศาสตร์ที่ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่าง ๆ ลุงรู้มั้ยความก้าวหน้าของคนเราในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรงเลยนะ นักวิทยาศาสตร์เป็นคนที่สำคัญอย่างมากในโลกนี้เลยก็ว่าได้ แต่นี่อะไรลุงกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเสียเหลือเกิน”

นักศึกษาปิดตำราของเขา และนั่งเงียบไม่พูดอะไรขึ้นอีก ในช่วงเวลานั้นก้อนเมฆสีดำได้แผ่ขยายและปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า ลมเริ่มพัดแรงขึ้น มีฟ้าแลบแปลบปลาบ เป็นเหตุบอกว่าพายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกกว่าครึ่งซึ่งไกลมากกว่าจะถึงฝั่ง คนแจวเรือแหงนขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น

"ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาถึงเราในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?”

นักศึกษาพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจกลัว

“ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง”

บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างประหลาดใจบ้างแล้ว และพูดว่า

“อะไรกัน นี่คุณว่ายน้ำไม่เป็นหรอกรึ คุณมีความรอบรู้มากมายออกขนาดนี้ ประวัติศาสตร์เอย ภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์เอย คุณก็รู้ แต่ทำไมคุณถึงไม่ไปเรียนการว่ายน้ำด้วยเล่า อีกสักประเดี๋ยวเถอะ คุณก็จะได้รู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย”

ลมพายุพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ เรือแจวลำน้อยถูกคลื่นและลมโหมซัดพัดกระหน่ำใส่เข้ามา ในไม่ช้าไม่นานเรือแจวก็ถูกคลื่นและพายุซัดจนเรือพลิกคว่ำ คนแจวเรือจ้างสามารถว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสารได้จมหายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดนั้นเอง

ใครกันไม่มีค่า?


ข้อมูลโดย อินเทอร์เน็ต

เรื่องที่ 2

เงินเดือน 15,000 /เดือน

15,000/30 วัน = วันละ 500 บาท

500/8 ชั่วโมง = ชั่วโมงละ 62 บาท

62/60 นาที = นาทีละ 1 บาท

เด็กจบใหม่คนหนึ่งมาขอคำปรึกษาหลังไมค์ พร้อมกับยื่น งบการเงินที่เขาบอกว่า มันช่างรันทดจริง ๆ สำหรับคนยุคนี้ เงินเดือน 15,000 บาท ค่าเช่าคอนโด 3,500 บาท ค่าน้ำ-ไฟ-เน็ต-ศัพท์ 1,500 บาท ค่าเดินทาง 2,500 บาท ค่าอาหาร 4,500 บาท ประกันสังคม 750 บาท สำรองเลี้ยงชีพ 750 บาท คงเหลือเป็นเงินใช้จ่ายอื่น ๆ ...1,500 บาท หรือวันละ 75 บาท นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องใช้จ่ายจริง ๆ เงินเดือนก็แทบจะหมดไปแล้ว...เขาว่า "แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะรวย โค้ชทำให้ผมรวยได้มั๊ยอ่ะ" เด็กน้อยถามกวน ๆ หลังส่งงบ การเงินให้ผมดู ผมยังไม่ทันได้พิมพ์คำตอบ กลับไป มันก็สวนมาอีกว่า "สมัยนี้ไม่ง่ายเหมือนสมัยโค้ชแล้วมั๊งครับ โค้ชโชคดีเนอะ ยุคโค้ชคนยังไม่ค่อยรู้เรื่องเงิน ใครรู้ก่อนก็ได้เปรียบ" ยังไม่ทันพิมพ์คำตอบ (มันพิมพ์กันเร็วจังวะ) มันก็สำทับดอกสุดท้าย "ถ้าโค้ชมาอยู่ในยุคเดียวกับผมคงลำบาก" จากนั้นมันก็ยังพรั่งพรูเหตุผลร้อยแปดที่ชีวิตมันคงรวยได้ยากต่อไป (ไม่เถียงเลยเพราะพิมพ์ไม่ทันมัน) ด้วยความรู้สึกเห็นใจไอ้เด็กเวรคนนี้ ผมเลยตอบกลับไปด้วยความรู้สึกเอ็นดูเบา ๆ ว่า...ถ้า...เดือน ๆ นึง เงินมึง ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง เวลามึงก็ยังเหลืออยู่อีกเยอะ ไม่งั๊นคงไม่ว่างมาบ่นอะไรให้กูฟัง พื้นที่สมองมึงก็ยังว่างไม่ได้ใช้งานอีกตั้งเยอะ ปากมึงยังมีเวลาพูดเรื่องไร้สาระ พูดดูถูกตัวเอง และอื่น ๆ ได้อีกมาก ตามึงยังมีเวลาดูเรื่องไร้ประโยชน์ หาอ่านในสิ่งที่ไม่ทำให้ตัวเองฉลาดขึ้น หูมึงยังว่างไว้คอยเสือกเรื่องที่ไม่ทำให้ชีวิตมึงดีขึ้นได้ แสดงว่า "มึงยังมีโอกาสรวยได้" ถ้าแค่นี้เรียกว่าลำบาก ก็อย่าไปคิดถึงความร่ำรวยให้เปลืองลมหายใจเลย...ฟายยยยยยยยย สุดท้าย...เด็กน้อยเงียบไป...ไม่มีสัญญาณ ตอบรับใด ๆ จากหมายเลขที่ท่านเรียก

ที่มาบทความ : Mony

เรื่องที่ 1

กาลครั้งหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ ทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียการมองเห็น แต่สามีเธอก็พยายามปลอบใจ และให้กำลังใจเธอตลอด พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัสให้มากขึ้น ที่ทำงานของเธอกับสามีอยู่คนละทาง แต่เขาก็ขับรถไปส่งและไปรับอยู่เสมอ จนวันหนึ่งสามีเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก เขาจึงพูดกับเธอว่าให้เธอลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งได้ใหม

นาทีนั้น ….. เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธอ

แต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาขอ เธอพยายามขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้ วันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงรถไปทำงานตามปกติ คนขับรถเมล์ก็เข้ามาจับแขนเธอและพูดกับเธอว่า ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิง จริง ๆ ครับ เธอก็เลยถามว่า อิจฉาเธอเรื่องอะไร คนขับรถเมล์ก็เลยบอกว่า .......

สามเดือนที่ผ่านมา ผมจะเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง เขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้า มานั่งตรงเบาะหลังคุณ เฝ้ามองดูคุณ ด้วยความห่วงใย ตามคุณลงรถไป และเฝ้าดูคุณเดินเข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย และตอนเย็นทุก ๆ เย็น เขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถ และคอยดูคุณจนคุณลงรถ

พอเธอได้ยินดังนั้น.... เธอก็น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน......และสำนึกผิด เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยทิ้งเธอ ไปไหน เขายังอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด เขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก

เธอหวนนึกถึงคำพูดเขา ที่บ่นลอย ๆ ออกมาบ่อย ๆ ว่า ชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ ได้ทุกเมื่อเลยนะ.. ดูอย่างคุณสิ...เมื่อวานยังมองเห็น วันนี้คุณมองไม่เห็นแล้ว.... เธอคิดน้อยใจเขา มาตลอด 3 เดือน ที่คิดว่าเขาเบื่อ รำคาญ การเป็นคนตาบอดของเธอ...

ณ วันนี้เธอรู้แล้วว่า ....เขากลัวว่า วันนี้ พรุ่งนี้เขาจะตายไป... แล้วเธอจะไม่สามารถ ไปไหนมาไหน หรือ มีชีวิตอยู่เองได้ ถ้าขาดเขา.....

ข้อมูลโดย ญามี่