u3
บทที่ 3
บทที่ 3
วิธีดำเนินการศึกษา
การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ เรื่องการใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้ศึกษาได้ดำเนินการศึกษาตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
3. การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้กำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้
ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชุมชนบ้านทุ่งตาลเลียน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 30 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชุมชนบ้านทุ่งตาลเลียน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 30 คน โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรียนรู้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
พาวเวอร์พอยต์ ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นข้อสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือกจำนวน 30 ข้อ
4. แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ออนไลน์
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
1. ขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีลำดับ
ขั้นตอน ดังนี้
1.1 ศึกษารายละเอียดเนื้อหาของหลักสูตรเพื่อกำหนดจุดประสงค์
1.2 กำหนดเนื้อหาที่บรรจุในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ ดังนี้
1) ประโยชน์และการเรียกใช้โปรแกรม
2) การสร้างงานนำเสนอ
3) การแทรกรูปภาพและการปรับแต่งภาพ
4) การตกแต่งสไลด์
5) การสร้างงานนำเสนอด้วยตาราง
6) การสร้างงานนำเสนอด้วยกราฟ
7) การสร้างงานนำเสนอด้วยแผนผังองค์กร
8) การแทรกเสียงและไฟล์วิดีโอ
9) การเพิ่มเทคนิคให้กับวัตถุในสไลด์
10) การเชื่อมโยงหลายมิติ
11) เทคนิคการเปลี่ยนสไลด์
1.3 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์
จำนวน 11 แผน
1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ที่สร้างขึ้นไปให้
ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่านซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและเทคโนโลยี พิจารณาตรวจสอบความถูกต้องและประเมินคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมีรายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้
1. ผศ.ดร.เบญจลักษณ์ เมืองมีศรี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
2. ผศ.ดร.บุญล้ำ สุนทร
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
3. ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ สมุทธารักษ์
มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
4. ดร.วิทยา เมฆขำ
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
5. ดร.ชัชวาล มงคล
มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
1.5 แบบประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เป็นแบบประเมินมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยกำหนดค่าคะแนนเป็น 5 ระดับ ดังนี้
และใช้เกณฑ์ในการแปลค่าเฉลี่ย ดังนี้
1.6 ผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ (ดังแสดงผลในภาคผนวก ง.) โดยรวมมีความเห็นว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมมาก (= 4.20 , S.D.=0.12) และผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนะให้ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ โดยให้เพิ่มเติมในส่วนของกระบวนการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน โดยครูจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ
จากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ได้อย่างอิสระ และหากมีข้อสงสัยสามารถซักถามปัญหาต่างๆ จากครูผู้สอนได้อย่างเต็มที่ และในช่วงท้ายชั่วโมงเรียนครูจะต้องมอบหมายให้ผู้เรียนหาเวลาว่างเข้าใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อทบทวนความรู้เดิมและเรียนรู้เนื้อหาใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ในชั่วโมงต่อไป ผู้ศึกษาได้ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ตามที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะ
1.7 ได้แผนการจัดการเรียนรู้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ ที่มีความสมบูรณ์พร้อมที่จะนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน
สรุปขั้นตอนในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ดังแสดงในภาพประกอบที่ 2
2. การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ เรื่องการใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้ศึกษาได้ดำเนินการ ดังนี้
2.1 ศึกษาวิเคราะห์ความต้องการและสภาพปัญหาในการจัดการเรียนการสอน และ
ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 รวมถึงหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนชุมชนบ้านทุ่งตาลเลียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาระที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ
2.2 ศึกษาทฤษฎีและหลักการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ โดยประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม (Constructivism) และทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่ (Gagne) สรุปได้ ดังนี้
1) วิเคราะห์หลักสูตรเนื้อหา
2) จัดลำดับเนื้อหาเพื่อนำเสนอ
3) สร้างความเร้าใจให้กับผู้เรียน
4) แจ้งจุดมุ่งหมายแก่ผู้เรียน
5) สร้างสถานการณ์เพื่อดึงความรู้เดิม
6) นำเสนอบทเรียน
7) ชี้แนวทางการเรียนรู้
8) ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างอิสระและลงมือปฏิบัติ
9) ให้ผู้เรียนได้ทำแบบฝึกหัดและประเมินตนเอง
10) ให้ข้อมูลย้อนกลับ
11) ย้ำให้เกิดความจำและการประยุกต์ใช้ความรู้
2.3 วิเคราะหเนื้อหาและกําหนดจุดประสงคการเรียนรู
2.4 แบงเนื้อหาออกเป็น 11 แผนการจัดการเรียนรู้ ได้แก่
1) ประโยชน์และการเรียกใช้โปรแกรม
2) การสร้างงานนำเสนอ
3) การแทรกรูปภาพและการปรับแต่งภาพ
4) การตกแต่งสไลด์
5) การสร้างงานนำเสนอด้วยตาราง
6) การสร้างงานนำเสนอด้วยกราฟ
7) การสร้างงานนำเสนอด้วยแผนผังองค์กร
8) การแทรกเสียงและไฟล์วิดีโอ
9) การเพิ่มเทคนิคให้กับวัตถุในสไลด์
10) การเชื่อมโยงหลายมิติ
11) เทคนิคการเปลี่ยนสไลด์
2.5 นำเนื้อหาที่ได้มาออกแบบเพื่อเรียงลำดับความสำคัญของเนื้อหาโดยให้สอดคล้องกับจุดประสงค์
2.6 สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ ตามลำดับขั้นตอนกรอบเนื้อหาต่าง ๆ ให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้
2.7 นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ที่สร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้วไปเสนอ
ต่อผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม 5 ท่านเพื่อประเมินคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์
ซึ่งเป็นแบบประเมินมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยกำหนดค่าคะแนนเป็น 5 ระดับดังนี้
และใช้เกณฑ์ในการแปลค่าเฉลี่ย ดังนี้
2.8 ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์โดยผู้เชี่ยวชาญ
(ดังแสดงผลในภาคผนวก ช.) ซึ่งผลการประเมิน พบว่า ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก (
= 4.08 , S.D.=0.44)
2.9 นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองใช้
เพื่อหาข้อบกพร่องของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ โดยดำเนินการทดลองรายบุคคล
กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนภูพานวิทยา ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550
ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างและไม่เคยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ที่สร้างขึ้นมาก่อน โดยการสุ่มอย่างง่ายจากนักเรียนที่มีผลการเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 1 คน และผลการเรียนอ่อน 1 คน รวมจำนวน
3 คน เริ่มการทดลองโดยให้นักเรียนใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ 1 คน ต่อ 1 เครื่อง แนะนำวิธีการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ จากนั้นให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 30 ข้อ เวลา 30 นาที และให้นักเรียนเรียนรู้เนื้อหาจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ ตามที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้จนครบทั้ง 11 แผน หลังจากนั้นให้นักเรียน ทำแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 30 ข้อ เวลา
30 นาที สังเกตปฏิกิริยาของนักเรียนขณะที่กำลังใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ ผลการทดลองรายบุคคล พบว่า ประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ E1/E2 เท่ากับ 71.43/73.33 ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่ถึงเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทาง
การเรียน พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน (
= 22.00, S.D.=5.00) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน
(
= 15.67, S.D.=6.03) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (ดังแสดงผลในภาคผนวก ซ.) และจากการสัมภาษณ์นักเรียนที่ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ พบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับเสียงของการบรรยาย จึงได้แก้ไขปรับปรุงเสียงบรรยายให้มีความชัดเจนมากขึ้นและใช้วิธีการอธิบายลำดับขั้นตอนต่างๆ ของเนื้อหาบทเรียนให้ช้าลงกว่าเดิม
2.10 นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ที่ปรับปรุงแก้ไข ไปทดลองใช้เพื่อหา
ข้อบกพร่องอีกครั้ง โดยดำเนินการทดลองกลุ่มเล็กกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน
ภูพานวิทยาซึ่งเป็นโรงเรียนเดิมกับการทดลองครั้งแรก จำนวน 9 คน โดยการสุ่มอย่างง่ายจากนักเรียนที่มีผลการเรียนเก่ง 3 คน ปานกลาง 3 คน และผลการเรียนอ่อน 3 คน ทำการทดลองเหมือนกับ
การทดลองรายบุคคลทุกขั้นตอน ผลการทดลองกลุ่มเล็ก พบว่า ประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ E1/E2 เท่ากับ 80.88/80.74 ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ตรงตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้
เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน (
= 24.22, S.D.=2.73)
สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน (
= 18.89, S.D.=2.42) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
(ดังแสดงผลในภาคผนวก ซ.) และจากการสัมภาษณ์นักเรียนทั้ง 9 คนที่ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ พบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับการใช้งานปุ่มเมนูต่าง ๆ มีความซับซ้อนและมีปุ่มมากเกินไป ดังนั้นผู้ศึกษาจึงได้ทำการแก้ไขปรับปรุงบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ โดยได้จัดเรียงลำดับเนื้อหาและเมนูต่าง ๆ ให้มีความเรียบง่ายไม่ซับซ้อนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงบทเรียนได้สะดวกมากขึ้น
2.11 นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ ที่ผ่านการทดลองรายบุคคลและ
การทดลองกลุ่มเล็กซึ่งได้แก้ไขปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์แล้วไปทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพ โดยดำเนินการทดลองภาคสนามกับกลุ่มตัวอย่างจริง ซึ่งได้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชุมชน
บ้านทุ่งตาลเลียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 4 จำนวน 30 คน
สรุปขั้นตอนในการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดังแสดงในภาพประกอบที่ 3
ภาพประกอบที่ 4 ขั้นตอนการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์
3. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้ศึกษาได้ดำเนินการ ดังนี้
3.1 ศึกษาหลักการและวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3.2 วิเคราะห์หลักสูตร เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้
3.3 สร้างแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน จำนวน 40 ข้อ
3.4 นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม 5 ท่าน พิจารณาตรวจสอบความเที่ยงตรงและความถูกต้องของภาษา โดยได้ค่า IOC (สมนึก ภัททิยธนี. 2541 : 221) ผลการประเมิน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยผู้เชี่ยวชาญ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.60-1.00 (ดังแสดงผลในภาคผนวก ฉ.)
3.5 นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแก้ไขเสร็จเรียบร้อย ไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนชุมชนบ้านทุ่งตาลเลียนที่เคยเรียน เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองานมาแล้ว จำนวน 30 คน เพื่อหาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบ ถ้าตอบถูกให้ 1 คะแนนถ้าตอบผิดให้ 0 คะแนน คัดเลือกข้อสอบที่มีค่า
ความยากง่ายระหว่าง 0.20– 0.80 และมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.2 ขึ้นไป ซึ่งจากผลการวิเคราะห์
หาค่าความยากง่าย (p) ค่าที่ได้อยู่ระหว่าง 0.40 - 0.77 และค่าอำนาจจำแนก (r) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.50 - 0.89 (ดังแสดงผลในภาคผนวก ฉ.)
3.6 คัดเลือกแบบทดสอบที่มีค่าความยากง่ายและค่าอำนาจจำแนกตามเกณฑ์ที่
กำหนดไว้ โดยครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม จำนวน 30 ข้อ เพื่อนำไปใช้เป็น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3.7 คำนวณหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบที่คัดเลือกไว้ด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach) โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
ทั้งฉบับ เท่ากับ 0.97 (ดังแสดงผลในภาคผนวก ฉ.)
สรุปขั้นตอนในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดังแสดงใน
ภาพประกอบที่ 4
4. แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์
ผู้ศึกษาได้ใช้แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้น
โดยกลุ่มผลิตสื่อและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะ
กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ รายการประเมินแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่
ด้านคำชี้แจง ด้านเนื้อหา ด้านการประเมินผล และด้านการออกแบบบทเรียน โดยมีระดับความคิดเห็นให้เลือก 4 ระดับ คือ ดีมาก ดี พอใช้ และควรปรับปรุง (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน. 2550 : 34)
ผู้ศึกษาได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีลำดับขั้นตอน ดังนี้
1. ขออนุมัติผู้บริหารโรงเรียนชุมชนบ้านทุ่งตาลเลียนและได้รับอนุมัติให้จัดกิจกรรม
การเรียนการสอนและเก็บรวบรวมข้อมูลการศึกษาค้นคว้ากับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550
2. แนะนำรายละเอียดและขั้นตอนวิธีการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ให้กับนักเรียนซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างทราบ
3. ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (ดังแสดงผลในภาคผนวก จ.) และบันทึกผลคะแนนของนักเรียนแต่ละคน
4. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 11 แผนและให้นักเรียน
ทำแบบฝึกหัดในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ บันทึกผลคะแนนจนครบทุกแผนการจัดการเรียนรู้
และหลังเรียนเสร็จในแต่ละแผนนักเรียนสามารถใช้เวลาว่าง นอกเวลาเรียนเพื่อทบทวนบทเรียนเดิมและศึกษาเนื้อหาใหม่จากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้
5. หลังจากที่นักเรียนได้เรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์
ครบทุกแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน
ซึ่งเป็นชุดเดิมกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนโดยสลับข้อคำถามและคำตอบใหม่ จำนวน 30 ข้อ ใช้เวลา 30 นาที บันทึกผลคะแนนของนักเรียนแต่ละคน
6. ให้นักเรียนทำแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ เรื่อง การใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนองาน ระดับชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 2 ซึ่งเป็นแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นโดยกลุ่มผลิตสื่อและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 17 ข้อ
7. รวบรวมข้อมูล เพื่อทำการวิเคราะห์และสรุปผลการทดลอง
1. สถิติพื้นฐาน
1.1 ค่าร้อยละ
1.2 ค่าเฉลี่ย ()
1.3 ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ
2.1 การประเมินคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์
จากผู้เชี่ยวชาญ โดยการหาค่าเฉลี่ย () และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
2.1 การประเมินคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์จากผู้เชี่ยวชาญ
โดยการหาค่าเฉลี่ย () และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
2.2 การวิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้
1) หาค่าความเที่ยงตรงตามเนื้อหา ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับ
จุดประสงค์ (IOC)
IOC =
IOC คือ ค่าดัชนีความสอดคล้อง
คือ ผลรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด
คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
2) การหาค่าความยากง่าย (p) ของแบบทดสอบ
เมื่อ P คือ ค่าระดับความยากง่าย
R คือ จำนวนผู้ตอบถูกทั้งหมด
N คือ จำนวนคนทั้งหมด
เกณฑ์คุณภาพในการหาความยากง่าย มีดังนี้
1. คุณภาพความยากง่ายที่ยอมรับได้ต้องอยู่ระหว่าง 0.2-0.8
2. ค่า P สูงกว่า 0.8 แสดงว่าแบบทดสอบง่ายเกินไป ค่า P ต่ำกว่า 0.2
แสดงว่าแบบทดสอบยากเกินไป
3) หาค่าอำนาจจำแนกของแบบสอบถาม โดยใช้วิธีหาค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง
คะแนนรายข้อกับคะแนนรวมทั้งฉบับ (Item-total correlation) โดยใช้โปรแกรม SPSS for Windows
4) หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบด้วยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟ่า
(Coefficient Alpha) ของครอนบาค (Cronbach) โดยใช้โปรแกรม SPSS for Windows
3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน
3.1 สถิติที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์
ใช้สูตร E1/E2 (ไชยยศ เรืองสุวรรณ. 2545 : 172)
E1 =
โดยที่ E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ
คือ คะแนนรวมของแบบฝึกหัดทุกชุดของผู้เรียนทั้งหมด
N คือ จำนวนผู้เรียนทั้งหมด
A คือ คะแนนเต็มแบบฝึกหัด
E2 =
โดยที่ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
คือ คะแนนรวมของแบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด
N คือ จำนวนผู้เรียนทั้งหมด
B คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังการเรียน
3.2 การทดสอบความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน โดยใช้สถิติค่าที (t – test : Dependent Samples) ด้วยโปรแกรม SPSS for Windows