ออกจากเมืองพิชัย
ครั้น วันศุกร์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือนอ้าย ปีระกา จ.ศ.๑๒๔๗ ตรงกับ วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๘ เวลา ๓ โมงเช้า เจ้าหมื่นไวยวรนารถก็ยกกองทหารกรุงเทพฯ และหัว เมืองก็ยกออกจากเมืองพิชัย กรมการได้ทำประตูป่า พระสงฆ์สวดชยันโต และ ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ราษฎรตั้งเครื่องบูชา แม่ทัพได้จัดกระบวนทัพ เป็นกองหน้า กองหนุน ปีกซ้าย - ขวา และกองหลัง
ช้างธงชัย ช้างบรรทุกปืนใหญ่ และช้างเลื่อนบรรทุกของ ซึ่งแม่ทัพคิดขึ้นใหม่ กำลัง เตรียมการเดินทัพยกจากเมืองพิชัย ไปทางเมืองน่าน มุ่งสู่เมืองหลวงพระบาง
วันพฤหัสบดี แรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา จ.ศ.๑๒๔๗ ตรงกับวันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๘ เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครน่าน แต่งแสนท้าวพระยาลาวคุมช้างพลายผูก จำลองเขียนทองออกมารับ ๓ เชือก เชิญกองทัพเข้านครน่าน
วันจันทร์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา สัปตศก จ.ศ.๑๒๔๗ ตรงกับวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๒๘ กองทัพออกจากเมืองน่าน
วันเสาร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนสาม ตรงกับ วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๒๘ ถึงเมืองไชย บุรีศรีน้ำฮุง เขตเมืองหลวงพระบาง เจ้าราชภาคินัย (บุญคง) เมืองหลวงพระบางมา คอยรับกองทัพ พักแรม ๑ คืน วันรุ่งขึ้นจึงเข้าเมืองหลวงพระบาง
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ วันอังคาร เดือน ๑๑ แรม ๑๑ ค่ำปีระกา ไปตั้งรวมพลที่ เมืองพิไชย และโปรดให้พระยาศรีสิงหเทพ (อ่วม) ขึ้นไปเป็นพนักงานจัดพาหนะส่ง กองทัพ จึงปรึกษาการจัดการเดินทัพขึ้นไปเมืองหลวงพระบางเป็น ๓ ทาง
๑. ทางที่ ๑ ทัพใหญ่ : เมืองพิไชย – เมืองฝาง ๓ วัน – เมืองท่าแฝกเขตน่าน ๔ วัน – เมืองน่าน ๖ วัน – ตำบลนาดินดำ ๖ วัน – บ้านนาแล ๖ วัน ถึงหลวงพระบาง ๒. ทางที่ ๒ เมื่อทัพใหญ่ถึงน่าน แต่งให้พระพลสงคราม เมืองสวรรคโลก กับ นาย ทหารกองทหารปืนใหญ่ คุมปืนใหญ่และกระสุนดินดำ แยกไปท่านุ่น ริมแม่น้ำโขง จัด ลงบรรทุกเรือไปยังหลวงพระบาง
๓. ทางที่ ๓ เครื่องใช้สำหรับกองทัพ : ให้พระศรีพิไชยสงคราม (ปลัดซ้ายกรมการ เมืองพิไชย) กับนายทหารกรุงเทพ ให้คุมไปทางเมืองน้ำปาด – ตำบลปากลาย – ลง เรือข้ามแม่โขง ส่งไปเมืองหลวงพระบาง
พาหนะและเสบียงอยุ่ที่เมืองพิไชยได้ ๒๐ วัน ยังไม่พร้อม ช้างที่จะใช้ในกองทัพ ๑๐๘ ช้าง โคต่าง ๓๑๐ โค ม้า ๑๑ ตัวเท่านั้น จึงต้องรอคอยให้พาหนะพร้อมแล้วจึงยก กองทัพออกจากเมืองพิไชย วันศุกร์ แรม ๑๑ ค่ำ ปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๘
ครั้นถึงวันพุธ เดือนยี่ แรม ๑ ค่ำปีระกา ถึงตำบลสบสมุนใกล้เมืองน่านประมาณ ๑๐๐ เส้น แม่ทัพจึงสั่งให้ตั้งพักจัดกองทัพที่จะเดินเข้าเมืองน่าน เจ้าเมืองน่าน(เจ้าอนันตรฤ ทธิเดช) แต่งให้พระยาวังซ้าย และเจ้านายบุตรหลานแสนท้าวพระยา คุมช้างพลาย สูง ๕ ศอกผูกจำลองเขียนทองออกมารับ ๓ ช้างกับดอกไม้ธูปเทียนพานหนึ่ง แต่ แม่ทัพบอกว่าจะขอพักที่แห่งนี้คืนหนึ่ง วันรุ่งจึงขอเข้าเมืองเนื่องจากทัพเหนื่อยล้ามาก
รุ่งขึ้นเจ้านครน่านจึงได้จัดกระบวนช้าง ๓ ช้างออกมารับในเวลา ๓ โมงเศษ แม่ทัพ และนายกองพร้อมกระบวนทัพแห่กันเข้าเมืองน่าน และจัดที่พักให้ตรงประตูกำแพง เวียงด้านตะวันออก บ่าย ๓ โมงเจ้านครน่านและบุตรหลานจัดพระศิลานิล องค์หนึ่ง ข้าวสารเป็นข้าวเจ้า ๔ ขัน หมากพลู ๒ ขัน แม่ทัพจึงได้จัดของแปลกปลาดแก่เมือง น่านหลายสิ่ง ซึ่งจัดขึ้นไปแต่กรุงเทพให้ต่างตอบแทนเป็นการสมควร สรุปแล้วกอง ทัพเดิน ๑๗ วัน หยุดพักเมืองฝางและท่าแฝก ๔ วัน
อนึ่งพระยาสิงหเทพ (ข้าหลวง) อัญเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาสุราภรณ์มงกุฎ สยาม ชั้นที่ ๑ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเจ้าเมืองน่านอีกด้วย กำหนดวันพระราชทาน วันอาทิตย์ เดือนยี่ แรม ๕ ค่ำ เวลาเช้า ๕ โมงเศษ ทั้งนี้เจ้าเมืองน่านได้จัดส่งช้าง เพื่อเข้ากระบวนทัพอีก ๑๐๐ ช้างอีกด้วย แม่ทัพจึงได้ เปลี่ยนช้างหัวเมืองชั้นในที่ได้บรรทุกกระสุนดินดำเสบียงอาหารมาในกองทัพ ๕๘ ช้าง มอบให้พระพิไชยชุมพล มหาดไทยเมืองพิไชยคุมกลับไปยังเมืองพิไชย เพื่อจะได้ บรรทุกเสบียงข้าวจากเมืองพิไชย ขึ้นมาส่งยังฉางเมืองท่าแฝก ซึ่งพระยาสวรรคโลก ได้มาตั้งฉางพักเสบียงไว้
สำหรับที่น่านจะมารับลำเลียงส่งต่อไปถึงปากเงย และเมืองหลวงพระบาง
ครั้นวันจันทร์ เดือนยี่ แรม ๑๓ ค่ำ ปีระกา เวลาเช้า ๒ โมงเศษ แม่ทัพนำทัพออกจาก เมืองน่าน เดินทางข้ามห้วยและเทือกเขา ๑๐ วัน ถึงเมืองไชยบุรี เจ้าราชภาคิไนย เมืองหลวงพระบางออกมาคอยรับกองทัพและจ่ายเสบียงที่จะเดินทางต่อไป และเดิน ทางไปเมืองน้ำฮุง และถึงท่าเดื่อ บ่าย ๓ โมงพักริมน้ำโขงคืนหนึ่ง
ท่าเดื่อ – น่าน(น้อย) – ลัดเลาะริมน้ำโขง – ท่าเลื่อน – ลงเรือบรรทุกของแม่น้ำโขง ไปเมืองหลวงพระบาง
ครั้นออกจากท่าเลื่อนแล้ว กองทัพเดินเท้า ผ่านที่นา พบเจ้าราชวงศ์ (ภายหลังเป็น เจ้าสักรินทรฯ เจ้านครหลวงพระบาง) กับเจ้าราชสัมพันธวงศ คุมปี่พาทย์ฆ้องกลอง กับดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะมาคอยอยู่ แจ้งว่าเจ้านครหลวงพระบางแต่งให้มา รับกองทัพเข้าไปยังหลวงพระบาง แล้วนำกองทัพไปพำนักที่บ้านเชียงแมนริมน้ำโขง ฝั่งตะวันตก
ภาพกองทัพยกจากเมืองน่านไปเมืองหลวงพระบาง
เมืองนครหลวงพระบาง พ.ศ.๒๔๓๐
ศุภอักษรของเจ้ามหินทรเทพนิภาธร เจ้านครหลวงพระบาง และใบบอกของหลวงพิศณุเทพข้าหลวง . . .
3 มิย. วันรุ่งขึ้นได้รับหนังสือพระพิทักษ์บุรทิศความว่า ยกไปถึงบ้านปากอู พบพระยานาใต้ ถือหนังสือพระยาเชียงเหนือ พระยาเชียงใต้ พระยาหมื่นน่า พระยาเมืองแพน ว่าพวก เมืองไล กับฮ่อประมาณ ๑,๐๐๐ เศษ ยกมาถึงบ้านสบวันใต้เมืองงอย พระยานาใต้ พระยาหมื่นน่า จะสู้รบ แต่ไพร่พลระส่ำระสาย จึงส่งคนไปเจรจากับคำฮุมบุตรท้าวไล ที่คุมคนมานั้นว่า ถ้ามาดีให้พักอยู่ที่บ้านสบวันนั้น แต่คำฮุมไม่ยอม (หมายความว่า มาไม่ดี) พระยานาใต้เห็นเหลือกำลังที่จะต้านทาน ไพร่พลเมืองหลวงพระบางของหล วงพิศณุเทพก็แตกตื่น จึงมีหนังสือถึงเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าเมืองน่าน และ เจ้า นครหลวงพระบางก็มีไปอีกฉบับหนึ่ง ขอกำลังมาช่วย ๑,๐๐๐ คน
วันเสาร์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ (ตรงกับ วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๓๐) พวกเมืองไลพวกฮ่อ มีหนังสือถึงเมืองหลวงพระบางความว่า จัดเงินหมื่น ๑ คำพัน ๑ ม้า ๔๐ ม้าลงมา ถวายเจ้านครหลวงพระบางอย่าสงสัยว่าจะมาสู้รบ และในค่ำวันนั้นราษฎรในเมือง นครหลวงพระบางที่ตกใจต่างขนของข้ามลำน้ำคานมาเมืองหลวงพระบาง และในวัน รุ่งขึ้น ก็โจษกันว่าเจ้าอุปราชแตกฮ่อมา (ความจริงเจ้าอุปราชถอนกลับมาโดยไม่ได้ แตก)
มองซิเออร์ปาวีพูดกับหลวงพิศณุเทพว่าอยู่ในเมืองไม่ได้เพราะราษฎรไม่คิดสู้ จึงชวน กันข้ามแม่น้ำโขงมาทางฝั่งตะวันตก (ฝั่งขวา) จะล่องเรือไปหาคนมารักษาเมือง แต่ เจ้านครหลวงพระบางให้คนมาตามกลับไปนครเมืองหลวงพระบาง และในค่ำวันนี้คำ ฮุมและพวกฮ่อยกมาตั้งที่บ้านปากอู หลวงพิศณุเทพกับเจ้าราชสัมพันธวงศ์รวบรวมคนได้ ๑๕๐ คำฮุมให้คนมาหาพระสงฆ์ ๆ พาไปหาเสนาบดี แจ้งว่ามาดีไม่คิดทำอันตรายแก่เจ้านายแต่อย่างใด จะมาขอบุตร ท้าวไล และจะขอเข้ามาในเมืองวันพรุ่งนี้
วันจันทร์แรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ (๖ มิถุนายน ๒๔๓๐) พวกฮ่อล่องเรือมาขึ้นที่ท่าวัดแสน วัดเชียงทอง ริมเมืองนครหลวงพระบาง ขอเข้าเฝ้าเจ้านครหลวงพระบาง ๆ ไม่ให้เฝ้า วันพุธ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๗ (๘ มิถุนายน ๒๔๓๐) ประมาณ ๕ โมงเศษ พวกฮ่อพากัน ถืออาวุธเข้าไปที่คุ้มเจ้านครหลวงพระบาง ขณะนั้นฮ่อที่อยู่ในคุ้มและนอกคุ้มก็เป่าเขา ควายและยิงปืนขึ้นพร้อมกัน พวกลาวหลวงพระบางและพวกต่องสู่กับเงี้ยวที่เป็น พ่อค้าก็ได้ยิงต่อสู้พวกฮ่อ ปรากฏว่าตายไปฝ่ายละประมาณ ๒๐ คนเศษ เจ้า นครหลวงพระบางต้องล่องเรือลงมาพักที่เมืองน่าน คืนหนึ่ง แล้วล่องต่อไปอีก ๒ คืน
วันเสาร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๗ ถึงบ้านปากลาย ซึ่งบุตรภรรยาเจ้านครหลวงพระบาง และครอบครัวเจ้านายท้าวพระยาราษฎรมาพักอยู่ก่อนแล้ว หลวงพิศณุเทพและ มองซิเออร์ปาวีก็อยู่ด้วย แต่ไม่ปรากฏเจ้าอุปราช เจ้านครหลวงพระบางจึงแต่งคนไป สืบความที่เมืองหลวงพระบาง
เมื่อพระราชทานเรื่องราวที่ได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แล้วได้มีกระแสพระ ราชดำรัสแก่นายพลตรี พระยาสุรศักดิ์มนตรี ว่า "เจ้าต้องเป็นแม่ทัพขึ้นไปปราบฮ่อ อีกครั้ง ๑ ส่วนการเสบียงอาหารนั้น ข้าจะให้กรมหมื่นสรรพประสิทธิประสงค์ยกขึ้นไป เป็นกองเสบียงจัดการกำลังพาหนะอยู่ ณ เมืองพิชัย เตรียมไว้ส่งกองทัพเจ้า ส่วนตัว เจ้าต้องเตรียมตัวจัดกองทัพบกไปโดยเร็ว"
พวกฮ่อเผา เมืองนครหลวงพระบางราชธานี
พวกฮ่อเก็บเอาทรัพย์สิ่งของของเจ้านายท้าวพระยาได้แล้ว เผาคุ้มเจ้านครหลวงพระ บาง บ้านเจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์ เจ้าสัมพันธวงศ์ และบ้านท้าวพระยาลาวยกหนีไป จากเมืองหลวงพระบาง แต่วันเสาร์ เดือน ๗ แรม ๖ ค่ำ พระศรีเทพบาลเมืองพิชัยกับ พระศรีอรรดฮาดเมืองเชียงคานขึ้นไป เมืองนครหลวงพระบางตรวจดูเห็นว่าบ้านเรือน ถูกเผาเป็นจำนวนมาก แต่เป็นฝีมือฮ่อเพียงคุ้มเจ้านาย ๒ - ๓ แห่งเท่านั้น นอกนั้น เป็นฝีมือผู้ร้ายชาวเมืองหลวงพระบางเอง และเมืองแก่นท้าวบ้าง เมื่อพระศรีเทพบาล กับพระศรีอรรดฮาด ไปถึงและจัดพลตระเวนเหตุการณ์จึงสงบเรียบร้อย และยังสืบได้ ความว่าพวกฮ่อถอนไปตั้งที่ ปากบากกองหนึ่ง ในลำน้ำบากกองหนึ่ง เมืองงอยอีก กองหนึ่ง และมีแผนจะยกไปตีเมืองไสซึ่งเป็นเมืองขึ้น และเมืองแข็งแรงของเมืองหลวง พระบาง พระยาสุโขทัยก็มีหนังสือไปเมืองน่านให้รีบส่งกองทัพไปช่วยเมืองไส
เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่านมีหนังสือถึงเจ้าเมืองนครหลวงพระบาง ราชธานีว่า ได้ส่งเจ้านายไพร่พลและเสบียงอาหารมาช่วย เมืองนครหลวงพระบาง และที่เมืองปากลายด้วยแล้ว
เดือน ๘ ขึ้น ๘ ค่ำ (๒๘ มิถุนายน ๒๔๓๐) เจ้านครเมืองน่านได้จัด เจ้าน้อย มหาพรหม หนานมหาเทพ หนานมหาไชย คุมไพร่พล ๑๐๐ ยกไปช่วยราชการ เมือง นครหลวงพระบาง