ความเป็นมาของการพิมพ์ซิลค์สกรีน
การพิมพ์ซิลค์สกรีน คือ การปาดหมึกพิมพ์ผ่านผ้าสกรีนที่ยึดบนกรอบสี่เหลี่ยมให้ลงไปติดกับวัสดุที่จะ พิมพ์ หากต้องการให้หมึกผ่านผ้าสกรีนออกมาเป็นลวดลายใด ๆ ก็ทำให้รูผ้าเปิดหรือปิด ในส่วนที่ต้องการให้หมึกผ่านออกตามลวดลายนั้น ๆ การพิมพ์ระบบนี้สามารถใช้พิมพ์ลงบนวัตถุ ได้แทบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นวัสดุแบน กลม เหลี่ยม หรือรูปทรงแปลก ๆ ทั้งหลาย การพิมพ์ระบบนี้ใช้การปาดหมึกพิมพ์ผ่านผ้าสกรีนลงไปติดบนวัสดุ ปริมาณของหมึกพิมพ์จึงสามารถผ่านลงไปเกาะยึดบนวัสดุที่พิมพ์ได้มากและทึบ กว่าการพิมพ์ระบบอื่น ๆ จึงทำให้ภาพพิมพ์แลดูสดสวยและคงทนกว่างานพิมพ์ชนิดอื่นๆ
ลักษณะงานที่นิยมใช้การพิมพ์ลักษณะนี้ ได้แก่ งานพิมพ์สติกเกอร์, รูปลอกน้ำ, ฉลากสินค้า, หน้ากากอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์, เสื้อผ้า,อะครีลิค เป็นต้น
เทคนิคการแยกสีเพื่อการพิมพ์สกรีงานแยกสีและผลิตแม่พิมพ์เป็นขั้นตอนเริ่มแรกของงานพิมพ์ ซึ่งประกอบด้วยงานก่อนพิมพ์ งานพิมพ์ และงานหลังพิมพ์ งานก่อนพิมพ์มีประกอบ ดังนี้คือ การแยกสีทำฟิล์มเพื่อนำไปจัดทำแม่พิมพ์ การทำแม่พิมพ์ และการพิมพ์บรู๊ฟเพื่อตรวจสอบแม่พิมพ์ ซึ่งเราเรียกว่าขั้นตอนก่อนการพิมพ์ (Prepress)
งานพิมพ์ซิลค์สกรีน
ลัีกษณะของงานพิมพ์ซิลค์สกรีน คือ จะไม่ไล่เม็ดสีหรือไล่โทนสี เพราะจะเม็ดสีใหญ่กว่าระบบออฟเซ็ทจึงไม่นิยมมาทำงานลักษณะภาพเหมือนจริงเช่น หน้าคน ภาพวิว ภาพไล่โทนสีแต่ซิลค์สกรีนจะเหมาะกัีบงานลักษณะเหมือนภา่พงานที่ทางเราเคยทำด้านบนตามตัวอย่างภาพเพราะจะไม่มีการไล่โทรสี จะแยกสีเป็นสีใครสีมัน หรือเรียกง่ายๆว่าสีตาย คือ แดงก็แดง ดำก็ดำจะไม่มีไล่แดงอ่อนไปแดงเข้ม หรือจะไม่มีไล่น้ำเงินมาจนฟ้า จะน้ำเงินก็น้ำเงิน ข้อดีของระบบซิลค์สกรีนคือ การลงสีจะหนักกว่าทุึกระบบประมาณเกือบ 10 เท่า ซึ่งจะทำให้ึความคงทนสวยสดงดงามอยู่ทนแดนทนฝนได้นานกว่าระบบอื่นๆ ซึ่งงานซิลค์สกรีนมีอายุการใช้งานประมาน 1 ปี - 2 ปี ซึ่งจะอยู่ได้นานกว่าระบบอื่นประมาน 1 ปีและงานซิลค์สกรีนเหมาะกับงานทำสติกเกอร์และอื่นๆจำนวนน้อยหรือมาก ตามความเหมาะสมความสามารถของงานซิลค์สกรีนที่ไม่เหมือนใคร คือ สามารถพิมพ์ ลงบนวัสดุที่ไม่ใช่แผ่นได้เช่นพิมพ์ กล่องเหล็ก พิมพ์แฟลชไดร์ พิมพ์วัสดุที่นูนที่ไม่สามารถเข้าเครื่องพิมพ์ชนิดอื่นๆได้แต่ไม่สามารถพิมพ์บนจุดที่ โค้งมาก หรือ บุ๋ม หรือนูนไม่สม่ำเสมอได้การพัฒนาการของอุตสาหกรรมการพิมพ์สกรีนการพิมพ์ซิลค์สกรีนเริ่มต้นที่ประเทศจีน เมื่อประมาณ 2000 ปี โดยหลักการที่เป็นตรรกของสามัญสำนึก (COMMONSENSE) ขั้นพื้นฐาน นการคิดค้นวิธีการพิมพ์ที่กำหนดให้ หมึกพิมพ์โดนปาดผ่านผ้า (สมัยก่อนเป็นผ้าไหม) ซึ่งขึงตึงบนกรอบ (สดึง) โดยมีการกำหนดลวดลายที่ต้องการพิมพ์ด้วยรูผ้าที่เปิดเพื่อให้หมึกพิมพ์ไหลผ่านลงสู่วัสดุพิมพ์เป็นลวดลายที่ต้องการและรูผ้าปิดเพื่อป้องกันหมึกพิมพ์ไหลผ่าน จากวันนั้นถึงวันนี้ หลักการดังกล่าวข้างต้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่การพิมพ์ซิลค์สกรีนได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยชาติตะวันตก เช่น ยุโรป อเมริกาได้นำหลักการพิมพ์สกรีนไปพัฒนาให้เป็นกระบวนการพิมพ์เชิงอุตสาหกรรมเมื่อประมาณ 200 ปี และในระยะ 30-40 ปีที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มพัฒนาการพิมพ์สกรีนเพิ่มมากขึ้น สำหรับประเทศจีนในปัจจุบันมีการพัฒนาการพิมพ์สกรีนอย่างเร่งด่วนเช่นเดียวกับประเทศไทยและเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ผมขอกล่าวถึงการพัฒนา 3 ประการของอุตสาหกรรมการพิมพ์สกรีนคือ 1) วัสดุอุปกรณ์การพิมพ์สกรีน 2) กระบวนการพิมพ์สกรีน 3) การประยุกต์กระบวนการพิมพ์สกรีน เพื่อการผลิตสิ่งพิมพ์และผลิตภัณฑ์สกรีน วัสดุอุปกรณ์การพิมพ์และกระบวนการพิมพ์สกรีนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น แม่พิมพ์สกรีนที่พัฒนาจากกรอบไม้ไปสู่กรอบโลหะด้วยรูปทรงที่มีทั้งตรง โค้ง วงรี ฯลฯ เพื่อให้สอดคล้องกับวัสดุพิมพ์ (SUBSTRATE) ผ้าสกรีนที่เดิมเป็นผ้าไหมได้เปลี่ยนเป็นผ้า NYLON, POLYESTER บางกรณีเป็นแผ่นที่ถักด้วยเส้นทองแดงหรือเส้น STANLESS STEEL ให้มีรูเปิด-ปิดเหมือนผ้าสกรีนเพื่อการพิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์พิเศษ ดังนั้นคำว่า การพิมพ์ซิลค์สกรีนจึงเปลี่ยนเป็น การพิมพ์สกรีน เพราะเราไม่ได้ใช้ผ้าไหมเป็นผ้าสกรีนอีกต่อไป ผ้า NYLON และ POLYESTER มีหลายประเภทจากหนาถึงบาง ด้วยรูผ้าหยาบถึงละเอียดมากและมีสีขาว สีเหลืองและสีแดงเพื่อการรับแสงในการสร้างแม่พิมพ์สกรีนที่แตกต่างกันการสร้างแม่พิมพ์สกรีนเพื่อกำหนดรูเปิดและรูปิดของผ้าสกรีน มีวิธีการคล้ายกับ STENCIL ที่มีการเจาะกระดาษแข็งให้เป็นตัวเลข ตัวอักษร หรือลวดลาย แล้วพ่นด้วยสีสเปร์ยให้ผ่านไปติดบนวัสดพิมพ์ แต่การสร้างแม่พิมพ์สกรีนมีวิธีการเพิ่มมากขึ้นเพื่อการสร้างสรรค์งานหลากหลายประเภทโดยในปัจจุบันนิยมใช้ฟิล์มส้ม ฟิล์มเขียวสำหรับงานพิมพ์ที่ไม่ละเอียดมากนักและฟิล์มม่วง ฯลฯ สำหรับงานพิมพ์ที่ละเอียดมากขึ้นหรือการสร้างแม่พิมพ์ด้วยกาวอัด (EMULSION) ที่มีการออกแบบโครงสร้าง POLYMER เพื่อการพิมพ์ตั้งแต่หยาบถึงละเอียดมากเคมีภัณฑ์เพื่อการสร้างแม่พิมพ์สกรีนได้มีการพัฒนาเพื่อลดมลพิษต่อสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับหมึกพิมพ์สกรีนที่มีแนวโน้มของการเป็นหมึกพิมพ์ WATERBASE ที่ NON TOXIC หรือหมึกพิมพ์ UV เพื่อการลดมลพิษเช่นเดียวกัน ซึ่งนับเป็น SAFETY FACTOR สำคัญของการพิมพ์สกรีนหมึกพิมพ์สกรีนมีการออกแบบให้มีความพิเศษพิสดาร ทั้งที่เป็นแบบ FUNCTION และแบบ DECORATION เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการพิมพ์สกรีนญี่ปุ่นซึ่งมีการพัฒนาหมึกพิมพ์สกรีนที่ก้าวหน้ามากที่สุดในปัจจุบัน ยางปาดสกรีนเป็นอุปกรณ์สำคัญในการปาดหมึกพิมพ์ ซึ่งต้องเสียดสีกับผ้าสกรีนตลอดเวลา ทำให้เกิดการสึกหรอได้ง่าย สมัยก่อนยางปาดสกรีนทำจากยางธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันวัสดุ POLYURETHANE ได้ถูกนำมาทำยางปาดที่มีรูปตัดแตกต่างตามประเภทการใช้งานเพื่อเพิ่มหรือลด INK DEPOSIT ซึ่งต้องสัมพันธ์กับขนาดรูเปิดของผ้าสกรีนการขึงผ้าสกรีนบนกรอบให้ตึงสม่ำเสมอ ในอดีตเป็นการขึงโดยใช้มือดึงผ้าสกรีนซึ่งมักประสบปัญหาเรื่องแรงตึงผ้าสกรีนไม่สม่ำเสมอเมื่อกรอบมีขนาดใหญ่ แต่ปัญหาดังกล่าวได้มีการแก้ไขโดยเครื่องมือที่เป็นระบบแมคคานิคไปจนถึงระบบนิวเมติคที่ควบคุมความตึงของผ้าสกรีนได้อย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นกรอบสกรีนเล็ก กลาง ใหญ่ การสร้างแม่พิมพ์ที่เริ่มจากการใช้แสงแดดกลางแจ้งต่อมาเปลี่ยนเป็นการสร้างแม่พิมพ์ในห้องมืดด้วยตู้ไฟนีออนจนพัฒนามาเป็นไฟอาร์ค ไฟเมทาลฮาไลด์ ไฟซีนอนและไฟเมอคิวรีที่มีเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งประกอบเป็นอุปกรณ์ที่มีการควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิคอย่างแม่นยำสามารถคำนวณระยะเวลาการส่องแสง (EXPOSURE TIME) พร้อมแจ้งค่าความสว่างของหลอดไฟหรือต้นกำเนิดแสง เพื่อการปรับระยะห่างจากต้นกำเนิดแสงและแม่พิมพ์สกรีน เครื่องสร้างแม่พิมพ์สกรีนรุ่นใหม่ที่เป็นระบบ AUTOMATIC โดยการนำแม่พิมพ์เข้าไปในตู้ที่เป็นแถวยาวซึ่งมีระบบการล้างแม่พิมพ์ การปาดกาว การฉายแสง การล้างแม่พิมพ์ที่สามารถสร้างแม่พิมพ์ตั้งแต่ขนาดเล็กถึงใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว อุปสรรคของการทำแม่พิมพ์สกรีนขนาดใหญ่ซึ่งต้องมี POSITIVE FILM ขนาดใหญ่ ปัจจุบันได้มีการคิดค้นการใช้ FILM ขนาดเล็กฉายผ่านไฟแรงสูงด้วยแว่นขยายตรงสู่แม่พิมพ์สกรีน ทำให้ประหยัดค่า FILM ไปได้มากและสะดวกในการสร้างแม่พิมพ์สกรีน ขณะนี้เครื่องสร้างแม่พิมพ์ COMPUTER TO SCREEN (CPS) ที่ใช้ระบบ INKJET พ่นกาวอัดลงบนแม่พิมพ์สกรีนเพื่อการสร้างแม่พิมพ์สกรีนกำลังเป็นที่กล่าวขวัญของชาวสกรีน และนำไปสู่ระบบ FILMLESS ด้วย COMPUTER การพัฒนาเครื่องพิมพ์สกรีนทั้งแบบ SEMI-AUTO และ AUTOMATIC ซึ่งแต่ก่อนมักจะมีปัญหาเรื่องฉากพิมพ์ (REGISTRATION) ที่คลาดเคลื่อนเมื่อมีการพิมพ์หลายสีเพราะวัสดุพิมพ์มีการขยับตัวหรืออาจจะยืด-หดตัวเพราะความชื้นในอากาศที่เปลี่ยนแปลง แต่ในปัจจุบันเครื่อง ELECTRONIC EYE ซึ่งสามารถจัดฉากอย่างรวดเร็วและแม่นยำให้ทุกครั้งก่อนพิมพ์ โดยการปรับแม่พิมพ์และแท่นพิมพ์ให้สัมพันธ์กัน เครื่องพิมพ์สกรีนได้มีการพัฒนาให้มีความเร็วในการพิมพ์เพิ่มมากขึ้น ทั้งระบบ FLATBED, CYLINDER, ROTARY และด้วยการติดตั้งเครื่องอบแห้งยูวี ทำให้การพิมพ์สีต่อเนื่องหลายสีหรือการพิมพ์สีชุด (PROCESS COLOUR) สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว การตั้งเครื่องพิมพ์สกรีนและเครื่องอบแห้งเรียงกันโดยตั้งอยู่บนรางหรืออุปกรณ์ยึดติดกับพื้นให้ต่อกันเป็นแถวยาวทำให้การทำงานสะดวกและสามารถควบคุมได้โดยง่าย สำหรับเครื่องพิมพ์สกรีนขนาดใหญ่ที่มีความยาว 20-30 เมตรอาจมีช่างควบคุม 2-3 คนเท่านั้นและด้วยการออกแบบเครื่องพิมพ์สกรีนลักษณะ PLUG IN / PLUG OUT ทำให้ช่างสามารถเพิ่มหรือลดหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องพิมพ์สกรีนได้อย่างสะดวก ปัจจุบันเครื่องพิมพ์สกรีนและเครื่องอบแห้ง AUTOMATIC ประเภท FLATBED สามารถพิมพ์ SUBSTRATE แผ่นเรียบขนาด 165 x 325 ซม. ด้วยสีชุด (4 สี) และสีพิเศษ (1 สี) ด้วยความเร็ว 850 แผ่น / ชั่วโมง เครื่องพิมพ์เสื้อยืด AUTOMATIC ที่ออกแบบให้มีแท่นพิมพ์ 18 แท่น เรียงเป็นวงกลมพร้อมเครื่องอบแห้งอินฟราเรด โดยสามารถพิมพ์เสื้อยืด 4 สีได้ประมาณ 800-1000 ตัว/ชั่วโมงด้วยความปราณีตสวยงามกระบวนการหลังพิมพ์คือ การตากแห้งแบบ AIR DRY ไปจนถึงการอบแห้งด้วยไฟฟ้า อินฟราเรด และยูวีได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและคาดว่าการอบแห้งด้วยระบบไมโครเวฟจะเป็นการพัฒนาขั้นต่อไป ซึ่งวิธีการอบแห้งต่างๆสามารถทำให้การติดยึดของหมึกพิมพ์บนวัสดุพิมพ์เพิ่มมากขึ้น วัสดุพิมพ์ (SUBSTRATE) สำหรับการพิมพ์สกรีนมีหลากหลายประเภท ข้อสังเกตคือวัสดุพิมพ์ประเภทกระดาษที่ใช้ในการพิมพ์สกรีนอาจมีอัตราส่วนน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการพิมพ์ OFFSET เพื่อผลิตหนังสือ สมุด ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตามการพิมพ์สกรีนใช้กระดาษในการพิมพ์ป้ายโฆษณา-POINT OF SALE, นามบัตร, บรรจุภัณฑ์บางประเภท, กระดาษทรานสเฟอร์เซรามิค, ฉลาก, สติกเกอร์ ฯลฯ วัสดุพิมพ์อื่นๆที่การพิมพ์สกรีนใช้คือ ผ้า, แผ่นพลาสติก, แผ่นลูกฟูกพลาสติก, แก้ว, โลหะ, บรรจุภัณฑ์ประเภทต่างๆ ฯลฯ ปัจจุบันการคิดค้นวัสดุพิมพ์โดยเฉพาะพลาสติกที่เรียกกันว่า NEO FUNCTIONAL FILM ที่มีหลายประเภทและคุณสมบัติ และบางประเภทสามารถประยุกต์ใช้กับ DISPLAY PANEL ด้วยการพิมพ์สกรีน วัสดุอุปกรณ์และกระบวนการพิมพ์สกรีนได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาช้านาน โดยเฉพาะในระยะ 30-40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อให้เกิดลักษณะเด่นของการพิมพ์สกรีนคือ STTS อันได้แก่ S=SIZE ที่สามารถพิมพ์ได้หลากหลายขนาดตั้งแต่เล็กมากจนถึงใหญ่ประมาณ 2 x 5 เมตร T=TEXTURE ที่สามารถพิมพ์ลงบนวัสดุพิมพ์ที่มีผิวเรียบ/ขรุขระ/หยาบ/มัน/ด้าน ฯลฯ T=THICKNESS ที่สามารถกำหนด INK DEPOSIT ให้มีความหนาบางได้โดยการกำหนดปริมาณหมึกและขนาดรูผ้าของแม่พิมพ์ S=SHAPE ที่สามารถพิมพ์ลงบนวัสดุพิมพ์ซึ่งเป็นแผ่นเรียบ/โค้ง/รี/ทรงกลม/แก้ว/ภาชนะ ฯลฯดังคำกล่าว ?เช้า สาย บ่าย ค่ำเราท่านแวดล้อมด้วยสิ่งพิมพ์สกรีน? ด้วยเหตุที่การพิมพ์สกรีนสามารถพิมพ์ได้บนวัสดุพิมพ์มากมายจนบางท่านบอกว่า ยกเว้นอากาศและน้ำ (แต่น้ำแข็งสามารถพิมพ์สกรีนได้) การพิมพ์สกรีนสามารถมีส่วนร่วมในการผลิตสินค้า 18 ประเภทธุรกิจคือ 1. ผ้า 2. เซรามิค ? แก้ว ? หม้อเคลือบ 3. สิ่งพิมพ์และสื่อโฆษณา 4. ป้ายชื่อ 5. ป้ายสัญญาณ 6. ฉลากสินค้า 7. บรรจุภัณฑ์ 8. ของเล่น 9. ของขวัญ 10. บัตรพลาสติก 11. แผ่น ซี. ดี. 12. อุปกรณ์กีฬา 13. อุปกรณ์ยานยนต์ 14. อุปกรณ์ไฟฟ้า 15. แผงวงจรไฟฟ้า 16. เมมเบรนสวิช 17. วัสดุอุปกรณ์การพิมพ์สกรีน 18. อื่นๆ (กรณีที่ประเภทสินค้าไม่สามารถจัดเข้าได้ใน 17 ประเภท) สินค้าบางประเภทเช่น แผ่น PCB จะเป็นการพิมพ์ลักษณะ FUNCTION สินค้าบางประเภท เช่น บรรจุภัณฑ์, ของเล่นจะเป็นการพิมพ์ลักษณะ DECORATION สินค้าบางประเภทเช่น แผ่นโฆษณา DISPLAY PANEL รุ่นใหม่ที่หมึกพิมพ์เป็นทั้ง FUNCTION และ DECORATION โดยเป็นสื่อให้กระแสไฟฟ้าแรงต่ำ ทำให้เกิดแสงสว่างเพื่อการโฆษณารูปแบบใหม่ หรือการพิมพ์ภาพ 3D ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ด้วยเทคนิคการพิมพ์สกรีนที่เป็นทั้งวิธี DIRECT และ INDIRECT ซึ่งสร้างความยืดหยุ่นในการผลิตสินค้า ฯลฯ DIRECT คือพิมพ์ตรงบนวัสดุพิมพ์ และ INDIRECT คือการพิมพ์กระดาษ TRANSFER เพื่อนำไปแปะติดผลิตภัณฑ์ เช่น ถ้วย CERAMIC ในปัจจุบันวิธีการ IMD (IN MOULD DECORATION) ที่นำแผ่น TRANSFER ซึ่งพิมพ์สกรีนเข้าไปอยู่ใน MOULD ตอนฉีดบรรจุภัณฑ์พลาสติก ทำให้ภาพพิมพ์ฝังตัวอยู่ในบรรจุภัณฑ์ก่อให้เกิดความงามที่ปราณีตและทนทาน การพิมพ์สกรีนก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในสินค้า โดยประมาณการว่า PRINT AREA ที่คิดเป็นอัตราส่วนต่อขนาดของวัสดุพิมพมีความแตกต่างกันในสินค้าดังต่อไปนี้ 1. ผ้า 70% 2. เซรามิค?แก้ว?หม้อเคลือบ 20% 3. สิ่งพิมพ์และสื่อโฆษณา
50% 4. ป้ายชื่อ 50% 5. ป้ายสัญญาณ 50% 6. ฉลากสินค้า 50% 7. บรรจุภัณฑ์ 20%
8. ของเล่น 30% 9. ของขวัญ 30% 10. บัตรพลาสติก 70% 11. แผ่น ซี. ดี. 70%
12. อุปกรณ์กีฬา 10% 13. อุปกรณ์ยานยนต์ 3% 14. อุปกรณ์ไฟฟ้า 5% 15.
แผงวงจรไฟฟ้า 70% 16. เมมเบรนสวิช 70%
คำถามที่ว่าการพิมพ์ INKJET
จะมาแทนที่การพิมพ์สกรีนหรือไม่? คำถามเช่นเดียวกันว่าการพิมพ์ PAD
จะมาแทนที่การพิมพ์สกรีนหรือไม่?
กระบวนการพิมพ์ทั้งสองจะเป็นอุปสรรคของชาวสกรีนหรือไม่?
คำตอบคือเมื่อเราพิจารณาสินค้าทั้ง 18
ประเภทดังกล่าวข้างต้นซึ่งในปัจจุบันกระบวนการพิมพ์ทั้งสองมีส่วนร่วมในการผลิตสินค้า
บางประเภทเช่น
การโฆษณาสำหรับ INKJET และบรรจุภัณฑ์, ของขวัญ สำหรับ PAD
แม้ว่าจะมีการพัฒนากระบวนการพิมพ์ทั้งสองเพิ่มมากขึ้นเพื่อการพิมพ์สินค้าประเภทอื่นๆ
ซึ่งดูเหมือนเป็นการแข่งขันกับการพิมพ์สกรีนแต่อันที่จริงชาวสกรีนไทยพิจารณาว่าเป็น
โอกาสมากกว่าอุปสรรค
ด้วยเหตุนี้ ชาวสกรีนไทยหลายท่านได้ผนวกกระบวนการพิมพ์ SCREEN ? PAD ? INKJET
เข้าด้วยกัน
เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการสร้างสรรค์สินค้าได้หลากหลายประเภทมากขึ้นในลักษณะ
COMPLETE SERVICE
การพัฒนาอุตสาหกรรมการพิมพ์สกรีนไทยอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 40
ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ศักยภาพในการผลิตสิ่งพิมพ์และผลิตภัณฑ์สกรีน
(หรือที่เรียกว่าสินค้า 18 ประเภท) ของชาวสกรีนไทยเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะฝีมือของชาวสกรีนไทยที่ปราณีตและประยุกต์เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศใน
ภูมิภาคเอเชีย
แปซิฟิค แต่เรายังต้องมุ่งพัฒนาต่อไปในเรื่องของ KNOW HOW และ TECHNOLOGY
เพื่อเทียบเคียงกับประเทศญี่ปุ่น
การที่ภาครัฐส่งเสริมการลงทุน (BOI)
จากบริษัทต่างชาติของอุตสาหกรรมประเภทต่างๆในประเทศไทยก่อให้เกิดงาน
พิมพ์สกรีนเพิ่มมากขึ้นในลักษณะ
SUPPORTING INDUSTRY-การจ้างพิมพ์
ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสแก่ชาวสกรีนไทยในการพิมพ์สกรีนเพื่อภาคอุตสาหกรรม
ด้วยแนวคิดในการสร้างสินค้ามูลค่าเพิ่ม
โดยพัฒนาจากสินค้าประเภทประโยชน์ใช้สอยทั่วไป (GENERAL PURPOSE PRODUCT)
เป็นสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HIGH VALUE-ADDED PRODUCT) ด้วย KNOW HOW และ
TECHNOLOGY ขั้นสูง ซึ่งการพิมพ์สกรีนสามารถมีส่วนส่งเสริมแนวคิดดังกล่าวได้
ดังนั้นประเด็นสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมการพิมพ์สกรีนไทยจากการรับจ้างพิมพ์ไป
สู่การสร้างงานพิมพ์และ/หรือการรับจ้าง+สร้างงานพิมพ์ด้วยการออกแบบ
วิจัยและค้นคว้าร่วมกันระหว่างฝ่ายออกแบบ ฝ่ายผลิต (พิมพ์)
และฝ่ายการตลาด-ขาย-บริการของทั้งสินค้า 18 ประเภท
เพื่อการส่งเสริมมาตรฐานสินค้าให้สูงขึ้น ทั้งในเรื่องรสนิยม การสร้างสรรค์
เทคโนโลยีการพิมพ์และการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ส่งเสริม
ให้เป็นสินค้าที่สามารถแข่งขันในตลาดโลก
ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศไทย
ด้วยเหตุนี้การพิจารณากำหนดมาตรฐานสิ่งพิมพ์และผลิตภัณฑ์สกรีนไทย
(หรือที่เรียกว่าสินค้าทั้ง 18 ประเภท) นับเป็นความสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ
เช่นเดียวกับการพิจารณากำหนดมาตรฐานผู้ประกอบการพิมพ์สกรีนไทย
และการพิจารณากำหนดมาตรฐานสมาคมการพิมพ์สกรีนไทย
ซึ่งนับเป็นพันธกิจสำคัญของสมาคมการพิมพ์สกรีนไทยร่วมกับสมาชิกสมาคมฯและบุคลากร
ในอุตสาหกรรมการพิมพ์สกรีนไทย
ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก
http://www.thaiscreenprinting.or.th/detail_new4.php?ID=48
ขอขอบพระคุณข้อมูลด้านบนของทางโรงพิมพ์ ซันพริ้่นอินดัสตรี้
ในอดีตขั้นตอนก่อนการพิมพ์นี้มีรายละเอียดในการทำงานที่ต้องอาศัยแรงงานคน ค่อนข้างมาก เนื่องจากยังไม่มีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการทำงาน จะต้องประกอบฟิล์มด้วยฝีมือคนล้วนๆ ซึ่งใช้แรงงานและเวลาในการทำแม่พิมพ์มากจวบจนคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาลงมาใน ระดับที่ใช้งานได้ทั่วไป คอมพิวเตอร์จึงได้มีบทบาทในวงการพิมพ์ โดยเฉพาะทางด้านงานก่อนการพิมพ์ เริ่มแรกจากการเรียงพิมพ์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จนมาถึงความสามารถประกอบงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ทำให้เราสามารถทำงานแม่พิมพ์เพื่อส่งต่อให้กับแผนกงานพิมพ์ได้ในเวลาที่ ต้องการและราคาที่ถูกลง การทำงานสำหรับงานพิมพ์สกรีน เพื่อการแยกสีและผลิตแม่พิมพ์ ปัจจุบันเราใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการทำสิ่งพิมพ์ ในหลายๆรูปแบบ เช่น สิ่งพิมพ์ภายในสำนักงาน สิ่งพิมพ์เพื่อการโฆษณา สิ่งพิมพ์เพื่อการบรรจุหีบห่อ ฯลฯ ซึ่งสิ่งพิมพ์เหล่านี้มีความต้องการในการจัดเตรียมไฟล์งานที่มีรายละเอียด แตกต่างกันออกไป สิ่งพิมพ์ที่ต้องส่งเข้าโรงพิมพ์ไม่ว่าจะเป็นโรงพิมพ์ระบบออฟเซ็ต, กราเวียร์, สกรีน จำเป็นต้องมีการเตรียมไฟล์งานให้ถูกต้องเพื่อทีจะได้ส่งไปทำการแยกสี และผลิตแม่พิมพ์ได้โดยไม่มีปัญหา หรือมีปัญหาน้อยที่สุด เนื่องจากกระบวนการพิมพ์เราพิมพ์ด้วยหมึกชุดซึ่งประกอบไปด้วย หมึกฟ้า Cyan แดง Magenta เหลือง Yellow และดำ Black เป็นชุดหมึกมาตรฐานสำหรับงานพิมพ์ 4 สี ในบางครั้งเราอาจจะมีมากไปกว่านี้ เช่นในระบบการพิมพ์สกรีนเสื้ออาจใช้สีพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 6 สี รวมกับ 4 สี แล้วเป็นการพิมพ์ 10 สี หมึกพิเศษที่เพิ่มขึ้นนี้เรียกว่า สีพิเศษ แยกออกจากหมึกชุดมาตรฐาน ดังนั้นเมื่อเราส่งไฟล์งานเข้ามายังร้านแยกสี ท่านก็ควรที่จะใช้โปรแกรมการจัดงานที่ใช้สำหรับงานพิมพ์ เช่น โปรแกรม Adobe Illustrator, Page Maker, Free Hand สำหรับการเตรียมงานเลย์เอาท์ และ Adobe Photoshop สำหรับการเตรียมภาพ เพราะการใช้โปรแกรมดังกล่าวมี Mode ในการทำงานที่ท่านนเลือกให้สัมพันธ์กับงานพิมพ์ได้ คือ Mode YMCK ในการสั่งสี เช่น สีม่วง C100 M100 เป็นต้น นอกจากนี้ยังสั่งสีพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น Pantone , Dic Color, Toyo ฯลฯ ให้เลือกได้หลากหลาย ทำให้การสื่อสารในการใช้สีเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกระบวนการงานพิมพ์ ส่วนโปรแกรม เช่น Microsoft Office, Publisher จะเหมาะกับการทำงานสิ่งพิมพ์ในสำนักงานมากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มโปแกรมดังกล่าวทำงานภายใต้ Mode RBG ซึ่งการสั่งสีจะเป็นคนละแนวทางกับงานในกระบวนการพิมพ์ ทำให้เวลาส่งมาแยกสีจะก่อให้เกิดปัญหาได้ โดยเฉพาะเวลาในการสื่อสารสั่งแก้ไขสี เมื่อดูชิ้นงานที่พิมพ์ออกมาแล้ว การทำงานใน Mode RBG กับ CMYK RBG เป็นโหมดการทำงานของแสงจำพวกวัสดุโปร่งแสง เช่น ฟิล์มสไลด์ หรือจอมอนิเตอร์ทำให้สามารถแสดงสีได้สดใสกว่า CMYK เป็นโหมดการทำงานบนวัสดุพื้นทึบแสงโดยแสงจะตกกระทบกับวัสดุพื้นทึบแล้วดูดกลืนสีบางส่วน จากนั้นก็สะท้อนค่าสีทีได้มายังตาผู้ดู ลักษณะเช่นนี้ทำให้สีที่ได้ไม่สามารถแสดงค่าสีที่สดใสมาก ดังนั้นการทำงานบนโหมด CMYK จึงมีขอบเขตสีที่จำกัดมากการส่งไฟล์งาน และลักษณะการทำงานในปัจจุบันกระบวนการแยกสีจึงเริ่มจากขั้นตอนการส่งไฟล์ มายังร้านแยกสี ซึ่งถ้าทำงานสำเร็จรูปมา ก็จะส่งมาเฉพาะไฟล์ที่ประกอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งงานนั้นจะถูกนำไปแปลงเป็นภาษาของเครื่องเตรียมยิงฟิล์มและส่งออกยิง ฟิล์มได้เลย แต่ก็มีบางรายที่ผู้ออกแบบไม่สามารถที่จะทำได้ในบางขั้นตอนเช่น ไม่มีเครื่องสแกนหรือเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กไม่สามารถทำไฟล์ได้สำเร็จ ทำให้ต้องส่งรูป หรือสไลด์ และไฟล์เลย์เอาท์ (ไฟล์ที่พิมพ์ตัวอักษรและรูปลายเส้น) มาให้ร้านแยกสีทำการสแกนและประกอบรูปให้ ไฟล์งานที่ส่งมา ถ้าเป็นกรณีทำเรียบร้อยแล้ว สามารถที่จะ save มาในนามสกุล .ESP (Encapsulated Post Script File) และ .PDF (Portable Document File) ซึ่งทั้งสองเป็น Format ที่ร้านแยกสีทุกร้านในเมืองไทยสามารถรับได้ แต่ถ้าหากท่านไม่สามารถทำสำเร็จเรียบร้อยท่านก็สามารถ Save มาใน Format ของโปรแกรมต่างๆ เช่น Illustrator Save มาในรูป .ai เป็นต้น สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือต้อง Save ส่วนประกอบของงานนั้นๆเ เช่น รูปภาพ Fonts ตัวอักษรที่ใช้มาด้วยทุกครั้ง พร้อมทั้งมีใบกำกับรายละเอียดของงานที่ท่านทำมาว่ามีกี่หน้า ใช้ Fonts อะไรบ้าง มีรูปรายละเอียดสูง 300 DPI จำนวนกี่ภาพ อยู่ที่หน้าใดสิ่งเหล่านี้จำทำให้ร้านแยกสีสามารถทำงานได้รวดเร็วงานสำเร็จที่ประกอบเสร็จ เรียบร้อยจากลูกค้า ไฟล์งานจะถูกส่งเข้าเครื่อง RIP เพื่อทำการคำนวณและแปลงเป็นภาษาของเครื่อง เพื่อส่งข้อมูลต่อไปยังเครื่องยิงฟิล์ม ส่วนงานที่ต้องประกอบก็จะถูกส่งไปยังแผนกต่างๆ ได้แก่แผนก Scanner ซึ่งจะทำการสแกนภาพ ด้วยเครื่องไฮด์เอนด์ Scanner เครื่องเหล่านี้จะมีความสามารถในการกราดอ่านภาพจากต้นฉบับและเก็บรายละเอียด ได้ดีเยี่ยม รายละเอียดในส่วน Highlight และ Shadow ตลอดจนส่วนเปรียบต่างๆ ของภาพสามารถเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนปัจจุบันความนิยมในการใช้กล้องดิจิตอล กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้น จะพบว่ามีการถ่ายภาพโดยใช้กล้องดิจิตอลเข้ามาประกอบในงานที่ส่งพิมพ์เพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆ และความสามารถในการเก็บรายละเอียดก็ดีขึ้นมาก แต่อย่างไรก็ตาม หากต้องการคุณภาพจากกล้องดิจิตอลที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับฟิล์ม ก็จะต้องใช้กล้องดิจิตอลในระดับไฮด์เอนจิงๆ ซึ่งมีใช้กันตามสตูดิโอใหญ่ๆภาพและเลย์เอาท์ที่พร้อมแล้ว จะถูกนำไปประกอบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ APPLE Macintosh หรือ PC ขึ้นอยู่กับเลย์เอาท์ที่ทำมา จากนั้นจะถูกส่งไปยังเครื่อง RIP เพื่อทำการแปลงเป็นภาษา RIP เพื่อรอยิงฟิล์ม การเอาท์พุทฟิล์ม จะถูกสั่งจากเครื่อง RIP พร้อมทั้งการกำหนดขนาดของเม็ดสกรีน โดยข้อมูลจะถูกส่งผ่านไปยังเครื่องยิงฟิล์ม และการทำ PLOT ออกมาเป็นฟิล์ม สำหรับการพิมพ์สกรีน เป็นเม็ดสกรีนที่ความละเอียดตั้งแต่ 37 LPI, 43 LPI, 50 LPI, 60 LPI, 85 LPI, 100 LPI, และ 120 LPI เป็นค่าความละเอียดที่เครื่องเอาท์พุทฟิล์มใช้ยิงฟิล์มให้กับงานพิมพ์สกรีน ทั้งนี้การเลือกใช้ค่าความละเอียดจะมีความต้องการใช้ที่แตกต่างกันออกไปตาม ลักษณะงานพิมพ์และวัสดุที่พิมพ์ ส่วนรูปทรงเม็ดสกรีนจะมีหลายรูปแบบ เช่น เม็ดรี (Elliptic) เม็ดกลม (ROUND) เม็ดสี่เหลี่ยม (Square) เม็ดสี่เหลี่ยมผสมกลม (Round-Square) ส่วนมากการพิมพ์สกรีนจะใช้เม็ดรูปทรงกลมซึ่งเหมาะกับขั้นตอนการทำบล็อกแม่ พิมพ์สกรีนฟิล์มที่ยิงออกมาจะมีลักษณะที่แตกต่างจากฟิล์มที่ยิงออกมาเพื่อ งานออฟเซ็ต คือฟิล์มสำหรับงานพิมพ์สกรีน จะยิงในลักษณะที่เนื้อฟิล์มด้านที่เคลือบน้ำยาเคมี และสารไวแสงสามารถอ่านตัวหนังสือที่เราพิมพ์ไว้ในงานได้ ซึ่งเราเรียกว่า น้ำยาตัวตรง ในขณะที่ระบบออฟเซ็ตจะมีลักษณะตรงกันข้าม ทั้งนี้เนื่องจากคุณลักษณะในการทำแม่พิมพ์และชนิดแม่พิมพ์ต่างกันของระบบ พิมพ์ในการแยกสีของระบบพิมพ์สกรีนนั้น สำหรับร้านแยกสีทั่วไปจะสินสุดที่กระบวนการทำฟิล์มหลังจากนั้นก็จะส่งฟิล์ม ไปทำแม่พิมพ์สกรีนที่ร้านทำบล็อกสกรีนหรือโรงพิมพ์ที่มีระบบการทำแม่พิมพ์ สกรีน เพื่อดำเนินการในกระบวนการผลิตต่อไป ส่วนในระบบออฟเซ็ตฟิล์มที่ได้จะถูกนำไปอัดเพลทแม่พิมพ์ เพื่อทำการขึ้นแท่นปรู๊ฟ ปัจจุบันในระบบแม่พิมพ์ออฟเซ็ตได้มีการใช้เทคโนโลยีการผลิตเพลทแม่พิมพ์ที่ สูงขึ้น โดยการทำพล๊อตเม็ดสกรีนลงบนเพลทเลย ที่เรียกว่า Computer to PlateHardware ที่ใช้ในการจัดการสีในส่วนที่เกี่ยวกับจอมอนิเตอร์ ก็คือ เครื่อง Colorimeter ทำงานร่วมกับ Software ที่ให้มาโดยจะทำการวัดและคำนวณค่าสีจากจอมอนิเตอร์ และจัดทำ Profile Monitor ซึ่งจะถูกโหลดใช้ทุกครั้งที่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ในกระเป๋าที่ชื่อ ColorSync เครื่องมือชิ้นต่อไปที่ต้องใช้ก็คือเครื่อง Spectrophotometer ที่ใช้ทำการวัดตารางค่าสีมาตรฐาน IT8 Chart หรือ ECI 2002 Chart ซึ่งได้มาจากการพิมพ์ที่แท่นพิมพ์ หรือแท่นปรู๊ฟ 1 ใบ และจากเครื่องปริ๊นเตอร์ที่ใช้อยู่ เช่น Color Laser Printer หรือ Ink Jet อีก 1 ใบ นำตารางสีดังกล่าวมาวัดผ่านเครื่องมือดังกล่าว โดยมีซอฟแวร์ที่ใช้ในการควบคุมการวัด ซอฟแวร์จะทำการคำนวณและปรับค่าหมึกพิมพ์ของเครื่องปริ๊นเตอร์ คำนวณค่าสีที่แสดงบนกระดาษปริ๊นท์ และค่าสีของกระดาษให้เข้ากับค่าสีของตัวอย่างตารางสีที่พิมพ์มาจากระบบการ พิมพ์จริง ผลที่ได้คือ Printer Profile ค่าทั้งสองจะถูกนำมาใช้โดยโปรแกรมการจัดการสี ซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมสีให้การแสดงที่หน้าจอ และที่เครื่องปริ๊นเตอร์ ให้สามารถแสดงสีได้ใกล้เคียงกับงานพิมพ์ ปัจจุบันการทำดิจิตอลปรู๊ฟ (ปริ๊นท์ผ่านเครื่องพิมพ์ Laser Print และ Hi-end Inkjet ขนาดใหญ่ โดยมีซอฟแวร์ระบบการจัดการสีควบคุม) ได้มีการนำมาใช้เพื่อการตรวจบรู๊ฟก่อนการพิมพ์จริง เพื่อให้ลูกค้าได้ตรวจสอบรายละเอียดของงาน และสี อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดเนื่องจากเทคโนโลยี และซอฟแวร์ที่ใช้ ทำให้ค่าสีในบางกรณีพิมพ์ออกมาแล้วได้ค่าสีที่คลาดเคลื่อนเมื่อนำมาเปรียบ เทียบกับงานจริง เช่น งานพิมพ์ที่มีสีพิเศษหลายๆ สี ดิจิตอลปรู๊ฟไม่อาจพิมพ์งานที่ให้ค่าสีพิเศษเหล่านี้ออกมาได้ใกล้เคียง ในทุกๆ ค่าสีพิเศษตามตัวอย่างที่เราสั่งพิมพ์ เป็นต้น ฉะนั้นจึงควรใช้อย่างมีวิจารณญาณและควรปรึกษาร้านที่ทำสกรีนให้ดีเสียก่อน อย่างไรก็ตามดิจิตอลปรู๊ฟสำหรับงานทั่วไป 4 สี ดิจิตอลปรู๊ฟที่ระบบการควบคุมสีเพื่องานพิมพ์สามารถแสดงผลค่าสีได้ในระดับ ที่ยอมรับได้ใกล้เคียงมากกว่า 90 % ในปัจจุบันที่มา : สมาคมการพิมพ์สกรีนแห่งประเทศไทย