บริโภคสื่ออย่างไรให้ปลอดภัย
พ่อแม่หลายๆคนคงมีคำถามในใจว่า การใช้สื่ออิเลคทรอนิคก์ จำเป็นต้องเลือกด้วยหรือ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วยหรือ เพราะอาจมีความเข้าใจว่าสื่ออิเลคทรอนิกส์ต่างๆช่วยทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ก่อนอื่นเลยต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า สื่ออิเลคทรอนิกส์ มีผลกับลูกของเราอย่างไรบ้าง จากข้อมูลในปัจจุบันยังไม่พบว่าสื่ออิเลคทรอนิกส์ชนิดใดที่มีผลในการส่งเสริมทักษะทางด้านภาษา นอกจากนี้เองยังพบว่า ส่งผลต่อการเกิดโรคอ้วน ปัญหาการนอน การเพิ่มความรุนแรงในเด็ก รวมไปถึงเพิ่มโอกาสในการใช้สารเสพติดด้วย การหลีกเลี่ยงโดยการไม่ใช้สื่ออิเลคทรอนิกส์ อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน ดังนั้นพ่อแม่ควรมีการควบคุมและป้องกันการบริโภคสื่อของลูก ซึ่งทางสมาคมกุมารแพทย์ของสหรัฐอเมริกาได้ออกคำแนะนำในการจำกัดการใช้สื่อในเด็กตามช่วงอายุ ดังนี้
- อายุน้อยกว่า 18 เดือน ไม่แนะนำให้ใช้สื่ออิเลคทรอนิกส์ทุกชนิด ยกเว้น video chat
- อายุ 18-24 เดือน หากพ่อแม่อยากให้ลูกใช้สื่ออิเลคทรอนิกส์ ควรเลือกรายการที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก และพ่อแม่ต้องอยู่กับลูกด้วยขณะใช้สื่อ
- อายุ 2-5 ปี ให้จำกัดการใช้งานสื่ออิเลคทรอนิกส์ให้น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน เป็นรายการที่เหมาะสมกับวัย และพ่อแม่ต้องอยู่กับลูกด้วยขณะใช้สื่อ
- อายุมากกว่า 6 ปี ให้จำกัดการใช้สื่ออิเลคทรอนิกส์จำนวนชั่วโมงที่ใช้ตามความเหมาะสม โดยที่ต้องไม่ไปแย่งเวลาคุณภาพจากการที่พ่อแม่จะทำกิจกรรมร่วมกับลูก การออกกำลังกาย การเรียน การทำการบ้าน และการนอนให้เพียงพอตามวัย
สำหรับหลักในการส่งเสริมให้ลูกใช้สื่ออย่างเหมาะสมนั้น ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนคือ
- T = Talk มีการพูดคุยกับลูกถึงชนิดหรือสื่อที่ลูกและเพื่อนเลือกใช้ เพื่อดูความเหมาะสมของสื่อ รวมไปถึงเพื่อเป็นการติดตามการใช้สื่อของลูก
- E = Education มีการให้คำแนะนำถึงผลเสียจากการใช้สื่อกับลูก ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น
- C = Co-view และ Co- Use เมื่อลูกใช้สื่อ พ่อแม่ควรมีการเฝ้าดู หรืออาจใช้ร่วมกันเพื่อดูความเหมาะสมของสื่อ รวมไปถึงการสอนหากเนื้อหาไม่เหมาะสมกับวัยของลูก
- H = House rule ตั้งกฎในบ้าน ซึ่งทุกคนใช้ร่วมกัน และที่สำคัญพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งในการยึดถือกฎและการใช้สื่อที่เหมาะสม เช่น ไม่ใช้ขณะทานอาหาร ไม่ใช้ในห้องนอน เป็นต้น
สื่ออิเลคทรอนิกส์มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากเรารู้จักที่จะเลือกบริโภคสื่ออย่างถูกวิธี ก็จะสามารถช่วยให้เราป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าได้
บทความจาก นายแพทย์ ธนาธรณ์ พุฒิกานนท์ กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก