คัมภีร์อนาคตวงศ์ พระอริยเมตไตรย
คาถาท
สารีปุตโต มะหาปัญโญ
ธัมมะะเสนาปะติ ธีโร
อุปะติสโส วินายะโก
อุเปตวา โลกะนายะกัง
พระอุปติสสะสารีบุตร ผู้มีปัญญามาก ผู้แนะนำสัตว์โลก ผู้เป็นเจ้าแห่งกองทัพธรรม เป็นนักปราชญ์ เข้าไปเฝ้าพระผู้นำของชาวโลก
แล้วกราบทูลข้อกังขาของตน ปรารภพระชินเจ้าองค์ที่จะอุบัติในอนาคตว่า พระพุทธเจ้าผู้หาอะไรกั้นบังไม่ได้เช่นกับพระองค์ เป็นนักปราชญ์ จะพึงเป็นเช่นไร?
ข้าพระองค์ประสงค์เพื่อจะฟังเรื่องนั้น โดยพิสดารทีเดียว ขอพระองค์ผู้มีพระจักษุจงตรัสบอก ฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าสดับถ้อยคำของพระเถระแล้ว ได้ตรัสคำนี้ว่า
ไม่มีใครอาจเพื่อจะกล่าวทุกอย่างโดยพิสดารทีเดียว ถึงกองบุญอันนับไม่ถ้วน และเกียรติอันยิ่งใหญ่ของพระอชิตะได้ เราจะกล่าวโดยส่วนเดียวเท่านั้น สารีบุตร เธอจงฟังเราเถิด
ในภัทรกัปป์นี้ เมื่อหนึ่งโกฏิปียังไม่มาถึง จักมีสมเด็จพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระอริยเมตไตรย ผู้สูงสุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย
พระองค์จักเป็นผู้มีบุญใหญ่ มีปัญญามาก มีญาณยิ่งใหญ่ มีเกียรติยศมากมาย มีพลังมาก มีเรี่ยวแรงมาก มีพระจักษุ จักอุบัติขึ้น
พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักทรงมีการไปอันยิ่งใหญ่ ทรงมีสติสมบูรณ์ ทรงมีปัญญาดี มีการสดับมาก มีธรรมทั้งปวง ถึงการนับ รู้ เห็น สัมผัสดี ถูกต้อง ลูบคลำ จักอุบัติขึ้น
ในกาลนั้น จักมีเมืองหลวงชื่อว่าเกตุมดี ยาว ๑๒ โยชน์ กว้าง ๗ โยชน์
แน่นหนาไปด้วยผู้คนชายหญิง วิจิตรงามไปด้วยปราสาทต่างๆ มีแต่สัตว์ผู้บริสุทธิ์ท่องเที่ยวไปมา ที่ใครๆ จะเอาชนะไม่ได้ มีธรรมรักษา ฯ
จักมีพระราชาทรงพระนามว่า สังขะ มีกองทัพและพาหนะไม่สิ้นสุด สมบูรณืด้วยแก้ว ๗ ประการ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ผู้มีพลังมาก
พระองค์จักเป็นผู้มีฤทธิ์ มีเกียรติยศ และพรั่งพร้อมด้วยสิ่งน่าใคร่ทั้งปวง พระองค์จักพร่ำสอนธรรมให้ถึงแดนเกษม อันย่ำยีข้าศึก (คือกิเลศ) ได้ โดยธรรม ฯ
ปราสาทที่สร้างดีในที่นั้น จักเป็นเช่นกับวิมานทิพย์ ผุดขึ้นด้วยบุญกรรม งามวิจิตรไปด้วยแก้วต่างชนิด
แวดล้อมด้วยราวบันได แบ่งเป็นชั้นสวยงามน่าภิรมย์ใจ อร่ามรุ่งเรือง มีประกายสูงขึ้น ประเสริฐที่สุด ยากที่จะดูทั่วถึง ทำให้เสียดลูกตา
ปราสาทสร้างด้วยแก้ว เป็นไปแล้วเพื่อพระเจ้ามหาปนาทะ พระราชาชื่อว่าสังขะ จักรับสั่งให้สร้างตึกนั้นขึ้น แล้วประทับอยู่ (ภายใน) ฯ
อนึ่ง ในเมืองนั้นจักมีถนนสายต่างๆ ในที่นั้นๆ จักมีสระบัวโบกขรณี ขุดสร้างอย่างดีมีท่าน้ำสวยงาม น่ารื่นรมย์ใจ
สระนั้นมีน้ำใสยิ่งนัก สะอาดหมดจด จืดสนิท มีกลิ่นหอมฟุ้ง มีท่าฝั่งน้ำราบเสมอ มีน้ำเอ่อล้น และมีทรายปูพรม
สระนั้นจะพึงเดียรดาษไปด้วยดอกบัวหลวงและดอกบัวเขียว มีคนเข้าไปได้ทุกฤดูกาล มีแถวต้นตาล ๗ แถว มีกำแพงเรืองแสงถึง ๗ สี
สระนั้นจะพึงสร้างด้วยแก้ว อยู่แวดล้อมในพระนคร ฯ เมืองเกตุมดีจะพึงเป็นเมืองหลวงชื่อว่า กุสาวดี ในกาลนั้น ฯ
ที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ด้าน จักมีต้นกัลปพฤกษ์ สีเขียว สีเหลือง สีแดงและสีขาว อร่ามรุ่งเรือง
จักบังเกิดมีผ้าทิพย์ เครื่องประดับทิพย์ และเครื่องใช้เครื่องสอยทุกอย่าง จะห้อยละย้าในที่นั้น ฯ
แต่นั้น ตรงท่ามกลางพระนคร จักมีศาลาจตุรมุขสี่หลัง จักมีต้นกัลปพฤกษ์ บังเกิดขึ้นเองด้วยบุญกรรม ฯ
ที่ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จักมีผ้าฝ้ายผ้าไหม ผ้าเปลือกไม้ และผ้าอุทุมพร ห้อยละย้าบังเกิดขึ้นเองด้วยบุญกรรม
ที่ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จักมีเครื่องดนตรีทำเสียงด้วยมือ มีตะโพน มีกลองยาวและมีกลองรำมะนา ห้อยบังเกิดขึ้นเองด้วยบุญกรรม ฯ
ที่ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จักมีกำไลมือ มีกำไลแขน มีเครื่องประดับคอ สร้างด้วยแก้ว ห้อยบังเกิดขึ้นเองด้วยบุญกรรม ฯ
ที่ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จักมีเครื่องกระโจมหน้า (เครื่องคลุมหน้า) มีเครื่องประดับหน้าผาก มีเครื่องประดับต้นแขน มีสายรัดเอวแก้วมณี ห้อยบังเกิดขึ้นเองด้วยบุญกรรม ฯ
ที่ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จักมีผ้าอาภรณ์และผ้าประดับทุกอย่างหลายหลากอื่นๆ และต่างชนิดกัน ห้อยบังเกิดขึ้นเองด้วยบุญกรรม ฯ
ด้วยบุญกรรมของสัตว์ผู้เกิดมา ชาวมนุษย์ย่อมจะบริโภคข้าวสาลีที่ผุดขึ้นเอง เป็นเม็ดข้าวสาร ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ ขาวบริสุทธิ์ หอมดี สุกเองโดยไม่ต้องหุงต้ม ฯ
เครื่องตวงวัด ๑๖ ที่ชื่ออัมพนะ พึงเท่ากับ ๒ พัน ๒ ร้อย ๗ๆ เกวียน (๒,๒๗๐) ฯ
อนึ่ง ข้าวที่เกิดขึ้นเองในพืชเมล็ดหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นข้าวสาร ๒ ทะนาน ด้วยบุญกรรมของสัตว์ผู้เกิด
แม้ในคราวนั้น นรชนผู้อยู่ในเมืองเกตุมดี ในแว่นแคว้นของพระเจ้าสังขะ จักเป็นผู้ใส่หุ้มเกราะและกำไลสรวมต้นแขน
เขาจักมีความดำริในใจถึงพร้อมแล้ว มีใบหน้าผ่องใส มีเครื่องประดับหูใหญ่ มีเนื้อตัวทาไล้ด้วยไม้จันทน์เหลือง ใส่เสื้อผ้าดีเลิศที่นำมาจากแคว้นกาสี
พวกเขาจักมั่งมีมากมาย มีทรัพย์สินมีเครื่องประโคมให้ตื่นขึ้นด้วย เสียงพิณและกังสดาล มีทั้งกายและใจสุขสบายอย่างเดียวเป็นนิจ ฯ
ชมพูทวีปจักมีรัศมีหมื่นโยชน์ ไม่มีหนาม ไม่มีป่าชัฏ ราบเสมอ มีหญ้าแพรกขึ้นเขียวขจี ฯ
จักมีโรค ๓ อย่างคือ โรคปรารถนา โรคไม่ได้กิน โรคแก่เฒ่า ผู้หญิงมีอายุ ๕๐๐ ปี จึงจักมีการแต่งงานกัน
ผู้คนจักมีใจสมัครสมาน มีถ้อยคำอ่อนหวาน ไม่ทะเลาะกันเป็นนิจ ฯ เถาวัลย์ คุ้มไม้และต้นไม้ จักเต็มพร้อมไปด้วยผลไม้และดอกไม้
จักมีตฤณชาติ (หญ้า) สูง ๔ นิ้ว อ่อนนิ่ม เช่นกับสำลี จักมีฝนตกสม่ำเสมอ มีลมพัดอ่อนๆ ไม่หนาวนัก ไม่ร้อนนัก
ในกาลทุกเมื่อ จักมีความถึงพร้อมแห่งฤดู จักมีตระพังและแม่น้ำไม่ตกพร่อง ฯ ณ ที่ภาคพื้นนั้นๆ จักมีทรายขาวสะอาด ไม่เป็นก้อนหยาบ เช่นกับไข่มุกที่เรี่ยรายทั่วไป มีประมาณเท่าถั่วแปบและถั่วเขียว ฯ
จักมีที่รื่นรมย์ใจ ดุจดังสวนที่ตกแต่งแล้ว ฯ จักมีหมู่บ้านและนิคมตั้งอยู่เรียงรายกันไป ในที่นั้นๆ ติดต่อกัน
จักมีหมู่บ้าน และนิคมหนาใหญ่ แม่ไก่บินไม่ตกจากหลังคา ดุจดังป่าไม้ออ้และไม้ไผ่ ดูจะไม่มีช่องว่างเหลือ จักมีพวกมนุษย์อยู่คับคั่ง
จักมีพ่อค้าต่างเมืองทั่วไปหลั่งไหลไปมา พรั่งพร้อมด้วยผู้คนชายหญิง มั่งคั่ง กว้างขวาง เกษม ปราศจากเสนียด ไร้อันตราย ฯ
ผู้คน จักมีความยินดีทุกเมื่อ จักมีการละเล่นทุกเมื่อ จักพรั่งพร้อมด้วยสุขอย่างเดียว จักท่องเที่ยวไปในงานนักษัตรฤกษ์ มีใจยินดีร่าเริงเบิกบานทั่ว ฯ
จักมีข้าวและมีน้ำมาก จักมีอาหารมาก จักมีเนื้อและน้ำดื่มมากมาย ชมพูทวีปจักน่ารื่นรมย์ใจ ดุจดังอาลกมันทา (ชื่อเมืองของท้าวเวสสุวรรณ) ของเหล่าเทวดา หรือดุจดั่งเมืองหลวงที่ไพศาลของพวกชาวกุรุ ฯ
พระอริยเมตไตรยผู้มีชื่อว่า อชิตะ จักเป็นผู้ล้ำเลิศกว่ามนุษย์ทั้งหลาย พระองค์จักเป็นผู้ทรงถึงพร้อมด้วยอนุพยัญชนะ (๘๐) จักทรงมีลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ
พระองค์จักทรงมีผิวพรรณดั่งทองคำ ทรงมีธุลีไปปราศแล้ว ทรงมีแสงสว่างสวยงาม ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง ทรงถึงความเลิศด้วยเกียรติยศ ทรงมีมิ่งขวัญ จักทรงมีพระรูปงดงามยิ่ง ทรงน่ายลนัก
พระองค์จักทรงมีอานุภาพมาก ไม่มีใครเทียมเท่า จักเกิดในตระกูลพราหมณ์ ฯ จักเป็นผู้มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก ผู้ยิ่งใหญ่และสูงเด่นในตระกูล ผู้อันใครโจมตีไม่ได้ด้วยการกล่าวถึงชาติ จักเกิดในตระกูลพราหมณ์ ฯ
ปราสาทที่สร้างด้วยแก้ว (สี่หลัง) คือ ปราสาทสิริวัฑฒะปราสาทวัฑฒมานะ ปราสาทสิทธัตถะ และปราสาทจันทกะ จักอุบัติขึ้นแล้วเพื่อประโยชน์แก่พระอชิตะ ฯ
พระอชิตะ จักมีนางสนมเป็นหญิงสาว เพรียบพร้อมไปด้วยร่างกายทุกส่วน ประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง มีรูปร่างขนาดใหญ่ กลางและเล็ก
จักมีหญิงสาวจำนวน ๑ แสนคน ไม่ขาดไม่พร่อง แต่งตัวอย่างสวย ฯ พระองค์จักทรงมีนางยอดนารีมเหสีเอก ทรงพระนามว่าจันทมุขี และจักทรงมีพระราชโออรสทรงพระนามว่า พรหมวัทธน์ ฯ
พระอชิตะจักเพรียบพร้อมด้วยความยินดี บันเทิงรื่นรมย์ใจอยู่ในความสุขมากมาย พระองค์จักเสวยเกียรติยศทั้งปวง ดุจพระอินทร์เสวยอยู่ในสวนนันทะวันฉะนั้น
พระองค์จักอยู่ครองเรือน เป็นเวลา ๘ พันปี ในกาลบางคราว พระองค์จักเสด็จประพาสสวนอุทยาน เพื่อความเพลิดเพลินใจ
นี้คือสภาพธรรมดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ ครั้นเห็นโทษในกามทั้งหลายและเห็นนิมิต ๔ ประการ อันจะทำให้ความยินดีในกามหมดสิ้นไป
คือเพราะเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายที่สิ้นอายุขัย และบรรพชิตผู้มีความสุข พระองค์จึงทรงเอ็นดูสรรพสัตว์
พระองค์เกิดเบื่อหน่ายในความยินดีทางกาม ไม่เยื่อใยในความสุขมากมาย พระองค์ได้ตัดสินพระทัยออกผนวช เสาะแสวงหาสิ่งที่ให้ถึงความสงบอันยอดเยี่ยม ฯ
พระชินเจ้านั้น จักเป็นพระผู้อุดมกว่าบุรุษทั้งหลาย บำเพ็ญความเพียรตลอด ๗ วัน แล้วจักออกผนวชล่องลอยไปพร้อมปราสาทนั่นแล ฯ
พระองค์จักมีมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต เสนา ๔ เหล่าและบริษัท ๔ จำพวก
ครั้นเมื่อ พระอริยเมตไตรยเสด็จออกผนวชแล้ว จักมีพราหมณ์ผู้บรรลุพระเวทจำนวน ๘๔,๐๐๐ ออกบวช (ตาม) ในกาลนั้น ฯ
แม้สองพี่น้องเหล่านั้น ผู้ชื่อว่าอิสิทัตตะและปุราณะ พร้อมบริวารอีก ๘๔,๐๐๐ ก็จักออกบวช (ตาม) ในกาลนั้น ฯ
คู่แห่งบุรุษ ผู้มีปัญญามิอาจนับได้ ผู้ชื่อว่าชาติมัตต์และวิชัย จักเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้า โดยมีบริวารร่วมอีก ๘๔,๐๐๐ คน ฯ
คฤหบดีผู้ชื่อว่าสุทธิกะ และอุบาสิกาผู้ชื่อว่าสุธนา จักเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้า โดยมีบริวารร่วมอีก ๘๔,๐๐๐ คน ฯ
อุบาสกผู้ชื่อว่าสังขะ และอุบาสิกาผู้ชื่อว่าสังขา จักเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้า โดยมีบริวารร่วมอีก ๘๔,๐๐๐ คน ฯ
คฤหบดีผู้ชื่อว่าสุธน และชายผู้ปรากฏชื่อว่าสุทัตต์ จักเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้า โดยมีบริวารร่วมอีก ๘๔,๐๐๐ คน ฯ
หญิงผู้ชื่อว่า ยสวดี และหญิงผู้ปรากฏชื่อว่านางวิสาขา เป็นผู้อยู่เบื้องหน้าผู้คนชายหญิงจำนวน ๘๔,๐๐๐ คน (จักเข้าไปเฝ้าเช่นกัน) ฯ
ในเพราะการตามสั่งสอนพระอริยเมตไตรย ชาวเมืองอื่นๆ และชาวชนบทจำนวนมากจากประเทศนั้น พร้อมทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์และศูทร จำนวนมิใช่น้อย จักออกบวชเนกขัมมะ ฯ
ในกาลนั้น คนจำนวนมาก ผู้มีเชื้อชาติต่างๆ มุ่งหน้าเฉพาะต่อเนกขัมมะ จักออกบวชตามพระอริยเมตไตรย ฯ
อนึ่ง ในวันที่พระอริยเมตไตรย นักปราชญ์เจ้าออกบวชภิเนษกรมณ์นั้นนั่นเอง พระองค์จักเข้าไปสู่ข่วงต้นไม้พระศรีมหาโพธิ์ ฯ
ในที่แห่งพระผู้องอาจอันใครๆ ให้พ่ายแพ้มิได้ พระองค์จักทรงมีพระเกียรติยศยิ่งใหญ่ นั่งคู้บัลลังก์ตรัสรู้บนบัลลังก์ตรัสรู้อันสูงสุด ฯ
พระชินเจ้านั้น จักเสด็จไปสู่สวนอันประเสริฐ ที่ชื่อว่าไม้กากะทิง ที่มีดอกไม้บาน แล้วจักยังกงล้อแห่งธรรมอันประเสริฐให้หมุนไปอย่างนี้
คือ (๑) ทุกข์ (๒) การเกิดแห่งทุกข์ (สมุทัย) (๓) การก้าวล่วงทุกข์ (นิโรธ) และ (๔) อริยมรรคมีองค์แปด อันมีปกติให้ถึงความดับทุกข์
ในกาลนั้น ในเมื่อพระโลกนาถทรงหมุนกงล้อแห่งพระธรรม จักมีบริษัทพวกมนุษย์ โดยรอบถึง ๑๐๐ โยชน์ ฯ
จากนั้น หมู่ทวยเทพจำนวนมากยิ่ง จักเข้าไปเฝ้าพระชินเจ้าในที่นั้น ในกาลนั้น พระองค์จักปลดเปลื้องสัตว์จำนวนพันโกฏิให้พ้นจากเครื่องผูกมัด ฯ
ในกาลนั้น พระเจ้าสังขะ จักมอบถวายปราสาทที่สร้างด้วยแก้ว แด่พระสงฆ์ผู้มีพระชินเจ้าเป็นประมุข ยิ่งขึ้นกว่านั้นอีก
พระองค์ยังได้ทรงให้มหาทาน แก่คนกำพร้า คนเดินทางไกลและคนวณิพก พระองค์จักทรงกระตือรือร้น เสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้า พร้อมเป็นอันเดียวกับพระราชเทวี
ด้วยอานุภาพของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าสังขะผู้ทรงมีกองทัพและพาหนะไม่สิ้นสุด จักเข้าไปเฝ้าพระชินเจ้ากับด้วยบริวาร ๙ หมื่นโกฏิ ฯ
ในกาลนั้น สมเด็จพระสัมพุทธเจ้า จักทรงตีกลองแห่งธรรมอันประเสริฐและอุดม อันมีเสียงดังก้องแห่งมะโหรทึกอันอมตะ ประกาศอริยสัจสี่ ฯ
ฝูงชนผู้ติดตามพระราชา ๙ หมื่นโกฏิทั้งปวงหมดนั้นไม่เหลือ จักบวชเป็นเอหิภิกขุ ฯ
จากนั้น ทั้งทวยเทพ และมนุษย์ จักเข้าไปเฝ้าพระโลกนาถ ไต่ถามปัญหากะพระชินเจ้า ปรารภความเป็นอรหันต์อันประเสริฐ ฯ
พระชินเจ้าพึงพยากรณ์แก่ทวยเทพและมนุษย์ พร้อมด้วยสัตว์ ๘ หมื่นโกฏิ ด้วยการบรรลุถึงอรหันต์อันประเสริฐ จะพึงมีการบรรลุครั้งที่ ๓ ฯ
จักมีการมาพร้อมกันครั้งแรกของพระขีณาสพ ผู้ปราศจากมลทิน ผู้มีจิตสงบ ผู้มีใจมั่นคง จำนวน ๑ แสนโกฏิ ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอยู่จำตลอดพรรษาหนึ่งแล้ว ในวันปวารณา ที่รู้จักกันอย่างดียิ่ง พระชินเจ้าจักปวารณาพร้อมด้วยพระภิกษุจำนวน ๙ หมื่นโกฏิ ฯ
อนึ่ง ในกาลที่พระมุนี เสด็จปลีกวิเวก ที่เงื้อมผาทองผาเงิน ณ ภูเขาหิมพานต์และภูเขาคันธมาทน์
พระองค์จักทรงเล่นกีฬาฌาน กับด้วยพระภิกษุขีณาสพ ผู้ปราศจากมลทิน ผู้มีจิตสงบ ผู้มีใจมั่นคง จำนวน ๘ หมื่นโกฏิ ฯ
พระภิกษุจำนวน ๑ แสนโกฏิ ผู้ทรงอภิญญาหก ผู้มีฤทธิ์มาก จักแวดล้อมพระโลกนาถ ผู้ชื่อว่าอริยเมตไตรยนั้น ในกาลทุกเมื่อ
พระภิกษุเหล่านั้น จักเป็นผู้ฉลาดในปฏิสัมภิทา เป็นผู้เฉียบแหลมในหลักนิรุกติศาสตร์ เป็นผู้สดับมาก เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธรรม เป็นผู้คงแก่เรียน เป็นผู้ยังสงฆ์ให้งาม
พระภิกษุเหล่านั้น จักเป็นผู้ฝึกฝนดี เป็นผู้เสงี่ยม เป็นนักปราชญ์ จักแวดล้อมพระชินเจ้านั้น ฯ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ จักประทับอยู่หน้าพระภิกษุผู้ประเสริฐผู้มั่นคงเหล่านั้น จักเป็นผู้ข้ามพ้นแล้วกับพระภิกษุผู้ข้ามพ้นแล้ว จักมาสู่สันติกับด้วยพระภิกษุผู้มีใจสงบ
พระมหามุนีอริยเมตไตรย ผู้สูงสุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ทรงปวารณาพร้อมกับหมู่สาวกแล้ว จักเป็นผู้อนุเคราห์และประกอบด้วยพระกรุณาธิคุณ
พระชินเจ้าจักทรงยกขึ้นซึ่งสัตว์จำนวนมาก ยังมนุษย์โลกพร้อมกับเทวโลกให้ถึงพระนิพพาน จักเที่ยวไปจาริกไปสู่หมู่บ้านนิคมและเมืองหลวง ฯ
พระองค์จักทรงตีกลองแห่งธรรม ทรงเป่าสังข์แห่งธรรม ทรงประกาศการบูชาธรรม จักเป็นผู้ยกขึ้นซึ่งธงชัยแห่งธรรม
พระองค์จักบันลือเสียงสิงหนาท หมุนกงล้ออันอุดมให้ดำเนินไปยังผู้คนชายหญิงให้ดื่มกินน้ำคือ สัจจะอันมีรสเลิศ
พระชินเจ้า จักยังมหาชนผู้มีที่พึ่งและไร้ที่พึ่งให้ตรัสรู้ เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ จักท่องเที่ยวจาริกไปเพื่อบุคคลที่สทควรแก่การตรัสรู้ได้ ฯ
พระชินเจ้าผู้มีพระจักษุ จักยังบางคนให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ บางคนในปัญจศีล บางคนในกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
พระองค์จักประทานความเป็นสมณะและผลอันสูงสุด ๔ ประการแก่คนบางคน จักประทานปฏิสัมภิทาในธรรม อันไม่มีสิ่งใดเสมอแก่บางคน ฯ
พระชินเจ้าผู้มีพระจักษุ จักประทานสมบัติอันประเสริฐ ๘ ประการ แก่คนบางคน จักประทานวิชชา ๓ และอภิญญา ๖ แก่คนบางคน ฯ
พระชินเจ้านั้น จักทรงพร่ำสอนหมู่ชน ด้วยธรรมเป็นเครื่องประกอบนั้น ในกาลนั้น คำสั่งสอนของพระชินเจ้าอริยเมตไตรยจักกว้างขวางพิสดาร ฯ
พระมุนีนั้น ครั้นเห็นชนที่สมควรแก่การตรัสรู้ได้แม้ในที่แสนโยชน์แล้ว จักเสด็จเข้าไปหาชั่วขณะหนึ่งแล้ว จักยังเขาให้ตรัสรู้ได้ ฯ
ในกาลนั้น พระอริยเมตไตรย จะพึงมีมารดาชื่อว่านางพรหมวดี จะพึงมีบิดาชื่อว่าสุพราหมา ผู้เป็นอำมาตย์บอกธรรมของพระเจ้าสังขะ ฯ
พระอโสกและพระพราหมเทพจักเป็นอัครสาวก บุคคลผู้อุปัฏฐาก ผู้ชื่อว่าสีหะ จักเข้าเฝ้าอุปัฏฐากพระชินเจ้าพระองค์นั้น ฯ
พระนางปทุมและพระนางสุมน จักเป็นอัครสาวิกา นายสุมนและนายสังข์ จักเป็นนายอุปัฏฐากผู้เลิศ
นางยสวดีและนางสังข์ จักเป็นหญิงอุปัฏฐากผู้เลิศ ฯ ต้นไม้กากะทิงจักเป็นต้นไม้ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ฯ
ต้นไม้นั้นจะมีลำต้นสูง ๑๒๐ ศอก มีกิ่ง ๒๐๐ กิ่ง และมีปลายคดสั่นไหวไปมา ย่อมงามดุจดังปีกนกยูง ฯ
ต้นไม้นั้นจะพึงมีปลายลำไม้ผลิดอกบานงามติดต่อกัน มีกลิ่นหอมฟุ้ง ประกอบด้วยกลิ่นจากสรวงสวรรค์ ดอกที่บานเต็มที่แล้วจะพึงมีประมาณเท่ากงล้อ มีละอองเต็มทะนานหนึ่ง
ต้นกากะทิงนั้นจะส่งกลิ่นหอมตามลมและทวนลม สิ้นหนทาง ๑๐ โยชน์ จักโปรยลงยิ่งซึ่งดอกทั้งหลายโดยรอบช่วงต้นไม้ตรัสรู้ ฯ
ชาวชนบทมาถึงที่นั้นแล้ว สูดกลิ่นหอมอันล้ำเลิศ จักเปล่งออกซึ่งคำอันบุคคลพึงกล่าว พวกเขาจักรื่นเริงเพราะกลิ่นหอมนั้น
กลิ่นหอมของดอกไม้ทั้งหลายที่ใครๆ ไม่พึงคิด ย่อมฟุ้งขจรไปด้วยพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้คงที่ พระองค์นั้นเป็นความสุข ฯ
พระชินเจ้าพระองค์นั้น จะพึงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอกโดยส่วนกว้าง พระศาสดาพระองค์นั้นจะพึงมีอกกว้าง ๒๕ ศอก ฯ
พระพุทธเจ้าผู้ฤาษี จักทรงมีพระเนตรกว้าง มีหน่วยตาหนา มีนัยน์ตาใส ไม่กระพริบตลอดวันและคืน มีตาเนื้อมองเห็นวัตถุน้อยใหญ่
พระองค์จะพึงมองเห็นสิ่งที่ไม่มีอะไรขวางกั้น เป็นระยะทาง ๑๒ โยชน์โดยรอบ พระองค์จักมีแสงสว่างแผ่ซ่านออกถึง ๒๕ โยชน์ ฯ
พระชินเจ้าพระองค์นั้น ย่อมจะงามดั่งลำแสงของสายฟ้า หรือดุจดังต้นเทียน ย่อมรุ่งเรืองผุดผ่องเช่นกับของมีค่าคือแก้ว ดุจดั่งพระอาทิตย์ ฯ
พระองค์จะมีรัศมี อันเกิดจากลักษณะ (๓๒ ประการ) และอนุพยัญชนะ (๘๐ ประการ) ปรากฏประจำพระวรกายทุกเมื่อ รัศมีต่างๆ ชนิดกันหลายแสนจะพุ่งออกมา ฯ
ทุกๆ ย่างก้าวพระบาท จะมีดอกบัวหลวงบานดีแล้ว ผุดขึ้นรองรับ มีใบขนาด ๓๐ ศอก เสมอเท่ากันทุกใบ มีกลีบ ๒๕ กลีบ
จะพึงมีเกษรยาวประมาณ ๒๐ ศอก ฝักบัวจะพึงยาวประมาณ ๑๖ ศอก ในระหว่างบัวแดงจะมีบัวหลวงที่มีละอองเรณูสีแดงเข้มหล่อเลี้ยง ฯ
เหล่าทวยเทพชั้นกามาวจร จักเนรมิตสิ่งมีค่าทั้งหลาย พญานาคและพญาครุฑในกาลนั้น จักประดับสิ่งที่มีค่าเหล่านั้น
จักมีสิ่งที่มีค่าสร้างด้วยทองคำ ๘ สิ่ง และสร้างด้วยเงิน ๘ สิ่ง จักมีสิ่งที่มีค่าสร้างด้วยแก้วมณี ๘ สิ่ง และสร้างด้วยแก้วประพาฬ ๘ สิ่ง ฯ
ธงมากมายหลายร้อยที่มีลวดลายด้วยแก้วหลายอย่าง ประดับด้วยดอกไม้ที่ธง จักห้อยปลิวไสว ฯ
จักมีเพดาน ประดับด้วยพวงแก้วมณีและไข่มุกดุจพระจันทร์ จักมีข่ายแห่งกระดึงมากมาย เป็นแก้วเกิดเองอย่างดีอยู่รายรอบ ฯ
ดอกไม้ต่างๆ จักมีกลิ่นหอมฟุ้งและประกอบด้วยกลิ่นที่หอมแผ่กระจายไป และจักมีฝุ่นชนิดต่างๆ หลายชนิด อันมีอยู่ในโลกสวรรค์และโลกมนุษย์ ฯ
ผ้าต่างๆ ลายวิจิตร งดงามด้วยสี ๕ สี ที่น่าเลื่อมใสยิ่งในพระพุทธศาสนา จักปลิวไสวไปรอบๆ ฯ
ณ ที่นั้น จักมีซุ้มประตูสลักจากของมีค่าคือแก้ว สูงพันศอก น่าทัศนา น่ารื่นรมย์ใจ ไม่คับแคบ ตั้งเด่นงามดี
พระรัศมี จะปรากฏงดงาม กว้างขางโดยประการทั้งปวง พระพุทธเจ้าจักเสด็จนำหน้าหมู่พระภิกษุ อยู่ในท่ามกลางรัศมีเหล่านั้น
ดุจปาริสัชพรหมประทับอยู่ระหว่างบริษัทของตน (และ) พระอินทร์ ในระหว่างวิมาน (ของตน) พระรัศมีย่อมเคลื่อนไปเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไป พระรัศมีจักคงอยู่เมื่อพระองค์ประทับยืน
เมื่อพระศาสดาประทับนั่ง และเสด็จไสยาสน์พร้อมบริษัท พระรัศมีจักทรงสภาพเช่นนั้นเสมอ (คือ) จักมีรัศมีทรงกลดกั้น ตลอดอิริยาบททั้ง ๔ เป็นนิจตลอดกาล ฯ
จักมีการบูชาอย่างใดอย่างหนึ่ง อันมีในสรวงสวรรค์และโลกมนุษย์ จักมีสิ่งมหัศจรรย์หลายชนิดตลอดกาล
มหาชนผู้มีเชื้อชาติต่างๆ เห็นพระอริยเมตไตรย ผู้ได้รับการบูชาอย่างยิ่ง ผู้มีความอัศจรรย์พระองค์นั้น ด้วยเดชแห่งบุญไม่สิ้นสุดแล้ว พร้อมบุตรภริยาจักถึงศาสดาเป็นที่พึ่งทุกลมหายใจเข้าออก ฯ
เหล่าชนผู้ฟังพระพุทธพจน์ของพระมุนีแล้วประพฤติพรหมจรรย์ จักข้ามพ้นสงสาร อันเป็นอาณาจักรแห่งมัจจุราช ที่ใครข้ามพ้นได้แสนยาก ฯ
ในกาลนั้น เหล่าคฤหัสถ์จำนวนมาก จักช่วยขัดกงล้อแห่งธรรมให้หมดจดด้วยบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ และสุจริต ๓ อย่าง
ฝูงชนจำนวนมาก ชำระตนให้บริสุทธิ์ด้วยการบรรลุธรรมนั่นแล โดยความเอื้อเฟื้อ ประพฤติธรรมตามสมควรแก่ธรรมแล้วจะพึงไปสู่สวรรค์
ไม่มีใครๆ สามารถพรรณนาถึงพระเกียรติยศว่ามีประมาณเท่านี้โดยทุกประการได้ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ชาวประชาจักมีความสุขอย่างยิ่งเป็นนิจ
พวกมนุษย์จักมีเกียรติยศยิ่งใหญ่ เพรียบพร้อมด้วยความสุขและมีอายุวรรณะพละ หรือไม่ก็จักมีทิพย์สมบัติ (ในภายหลัง) ฯ
พวกเขาจักเสวยสุขตลอดกาลที่น่าใคร่ เท่าที่ปรารถนาตลอดยาวนาน ถึงสิ้นอายุขัยในภายหลัง จักมีแต่สุขอย่างแน่นอนดับชีพไป
ในกาลนั้น พวกเขาจักมีอายุ ๘ หมื่นปี พระอริยเมตไตรยเจ้านั้นดำรงค์พระชนม์อยู่ตราบเท่าเวลานั้น จักให้ฝูงชนจำนวนมากข้ามพ้นฝั่ง (แห่งวัฏสงสาร) ฯ
พระองค์จักช่วยให้สัตว์ที่มีใจบ่มสุกเต็มที่ได้ตรัสรู้โดยประการทั้งปวง แล้วจักหร่ำสอนทางสวรรค์และทางนรกแก่สัตว์ที่เหลือ ผู้ยังไม่เห็นสัจธรรม
ด้วยแท้ พระองค์จักตั้งดวงประทีปแห่งธรรม สำเภาธรรม แว่นส่องธรรมและโอสถธรรม ในดินแดนของสัตว์ทั้งหลาย โดยเคารพต่อไป
พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักรุ่งเรืองกับด้วยหมู่แห่งสาวก ผู้สำเร็จกิจแล้ว ผู้มั่นคง จักดับขันธ์ปรินิพพานไป ดั่งกองเพลิงที่โพลงขึ้นแล้วดับมอดไป ฯ
เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว คำสั่งสอนของพระองค์นั้นจักดำรงอยู่ถึง ๑ แสน ๘ หมื่นปี ต่อจากนั้นไปคำสั่งสอนจักอันตรธานหายไปจากโลก อย่างน่าสะพึงกลัว ฯ
อย่างนี้ล่ะ สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ดำรงอยู่ชั่วคราว สั้นนัก ต้องแตกดับไป คร่ำคร่า และหาแก่นสารมิได้
สังขานทั้งหลาย ว่างสูญ เสมอด้วยกำมือเปล่า เป็นที่บ่นเพ้อของคนพาล ใครๆ จักมีอำนาจเหนือในสังขารนั้นไม่ได้ แม้ผู้มีฤทธิ์ก็ไม่มีอำนาจเหนือสังขารนั้น
บัณฑิตรู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว พึงเบื่อหน่ายในสิ่งยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ฯ บุรุษผู้รู้ทั่ว หาได้ยาก ย่อมไม่เกิดในที่ทั่วไป บุรุษผู้นักปราชญ์นั้นเกิดในตระกูใด ตระกูลนั้นย่อมประสบความสุข ฯ
เพราะเหตุนั้น เพื่อปรารถนาพบพระอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ขอท่านทั้งหลายผู้มีใจสดุ้งกลัว จงกระทำความเพียรให้ดี ให้ตั้งมั่นในธรรมวินัยนี้ ฯ
ชนทั้งหลาย เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้ประกอบกรรมดีไว้แล้ว ดำรงชีวิตอยู่ไม่เลินเล่อ จะเป็นภิกษุก็ด ภิกษุณีก็ดี อุบาสกก็ด อุบาสิกาก็ดี
ชนเหล่านั้นพร้อมกับฝูงเทวดา ถวายพุทธสักการะอย่างมาก (และ) ทำการบูชาอันยิ่งโอฬารแล้ว จะพบพระภัทรสมิติ (พระผู้เป็นที่รวมแห่งความดี คือพระอริยเมตไตรย) ในกาลนั้น ฯ
ขอท่านทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์ จงให้ทานตามสมควร จงเข้าจำอุโบสถศีล และจงเจริญเมตตาภาวนาให้ดีเถิด ฯ
ขอท่านทั้งหลาย จงยินดีความไม่ประมาทในบุญกริยาวัตถุทั้งหลายตลอดกาล ฯ ท่านทั้งหลายประกอบกุศลในพระธรรมวินัยนี้นี่แหละ แล้วจักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้ ฯ
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕
๒๖
๒๗
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๓๖
๓๗
๓๘
๓๙
๔๐
๔๑
๔๒
๔๓
๔๔
๔๕
๔๖
๔๗
๔๘
๔๙
๕๐
๕๑
๕๒
๕๓
๕๔
๕๕
๕๖
๕๘
๕๙
๖๐
๖๑
๖๒
๖๓
๖๔
๖๕
๖๖
๖๗
๖๘
๖๙
๗๐
๗๑
๗๒
๗๓
๗๔
๗๕
๗๖
๗๗
๗๘
๗๙
๘๐
๘๑
๘๒
๘๓
๘๔
๘๕
๘๖
๘๗
๘๘
๘๙
๙๐
๙๑
๙๒
๙๓
๙๔
๙๕
๙๖
๙๗
๙๘
๙๙
๑๐๐
๑๐๑
๑๐๒
๑๐๓
๑๐๔
๑๐๕
๑๐๖
๑๐๗
๑๐๘
๑๐๙
๑๑๐
๑๑๑
๑๑๒
๑๑๓
๑๑๔
๑๑๕
๑๑๖
๑๑๗
๑๑๘
๑๑๙
๑๒๐
๑๒๑
๑๒๒
๑๒๓
๑๒๔
๑๒๕
๑๒๖
๑๒๗
๑๒๘
๑๒๙
๑๓๐
๑๓๑
๑๓๒
๑๓๓
๑๓๔
๑๓๕
๑๓๖
๑๓๗
๑๓๘
๑๓๙
๑๔๐
๑๔๑
๑๔๒
อะนาคะตัง ชินารัพภะ
ตุยหานันตะริโก ธีโร
อาปุจฉิ กังขัง อัตตะโน:
พุทโธ กีทิสะโก ภะเว?
วิตถาเรเนวะ ตัง โสตุง
เถรัสสะ วะจะนัง สุตวา
อิจฉัง, อาจิกขะ จักขุมา.
ภะคะวา เอตัทอัพภาวิ:
อะนัปปะกัง ปุญญะราสิง
นะ สักกา สัพพะโส วัตตุง
เอกะเทเสนะ วักขามิ,
อะชิตัสสะ มะหายะสัง
วิตถาเรเนวะ กัสสะจิ;
สารีปุตตะ, สุโณหิ เม.
อิมัสมิง ภัททะเก กัปเป
เมตเตยโย นามะ นาเมนะ
อะชาเต วัสสะโกฏิเย
สัมพุทโธ ทฺวิปะทุตตะโม
มะหาปุญโญ มะหาปัญโญ
มะหัพพะโล มะหาถาโม
มะหาญานี มะหายะโส
อุปปัชชิสสะติ จักขุมา;
มะหาคะติ สะติเจวะ
สังขาโต สัพพะธัมมานัง
ปะริโยคาฬฺโห ปะรามัฏโฐ
ธีติมา พาหุสัจจะวา
ญาโต ทิฏโฐ สุผัสสิโต
อุปปัชชิสสะติ โส ชิโน.
ตะทา เกตุมะตี นามะ
ทฺวาทะสะโยชะนายามา
ราชธานี ภะวิสสะติ
สัตตะโยชะนะวิตถะตา
อากิณณา นะระนารีหิ,
เสวิตา สุทธะสัตเตหิ,
ปาสาเทหิ วิจิตติตา,
อะเชยยา ธัมมะรักขิตา.
สังโข นามาสิ โส ราชา
สัตตะระตะนะสัมปันโน,
อะนันตะพะละวาหะโน,
จักกะวัตตี มะหัพพะโล,
อิทธิมา ยะสะวา เจวะ
หะตะปัจจัตถิกัง เขมัง
สัพพะกามะสะมัปปิโต;
อะนุสาสิสสะติ ธัมมะโต.
ปาสาโท สุขะโต ตัตถะ
ปุญญะกัมมาภินิพพัตโต
ทิพพะวิมานะสาทิโส
นานาระตะนะจิตติโต
เวทิกาหิ ปะริกขิตโต
ปะภัสสะรัจจุคคะโต เสฏโฐ
สุวิภัตโต มะโนระโม
ทุททิกโข จักขุมุสะโน
รัญโญ มะหาปะนาทัสสะ
ตัง ยูปัง อุสสาเปตวานะ
ปะวัตโต ระตะนามะโย
สังโข ราชา วะสิสสะติ.
อะถาปิ ตัสมิง นะคะเร
สุมาปิตา โปกขะระณี
นานาวิถี ตะหิง ตะหิง
ระมะณียา สุปะติตถา
อัจโฉทะกา วิปปะสันนา
สมติตถิกา กากะเปยยา
สาทุสีตา สุคันธิกา
อะโถ วาลุกะสังขะตา
ปะทุมุปะละสังฉันนา
สัตเตวะ ตาละปันติโย
สัพโพตุกะมะนาวะฏา.
สัตตะวัณณิกะปาการา
ระตะนะมะยา ปะริกขิตตา
กุสาวะดี ราชะธานี
นาคะรัสมิง สะมันตะโต.
ตะทา เกตุมะตี ภะเว.
จะตุกเก นะคะเร ทฺวาเร
นีลัง ปีตัง โลหิตะกัง
กัปปะรุกขา ภะวิสสะเร
โอทาตัญจะ ปะภัสสะรา.
นิพพัตตา ทิพพะทุสสานิ
อุปะโภคะปะริโภคา จะ
ทิพพา เจวะ ปะสาธะนา
สัพเพ ตัตถูปะลัมพะเร.
ตะโต นะคะระมัชฌัมหิ
ปุญญะกัมมาภินิพพัตโต
กัปปาสิกัญจะ โกเสยยัง
ปุญญะกัมมาภินิพพัตตา
ปาณิสสะรา มุติงคา จะ
ปุญญะกัมมาภินิพพัตตา
จะตุสาลัง จะตุมมุขัง
กัปปะรุกโข ภะวิสสะติ
โขมะโกทุมพะรานิ จะ
กัปปะรุกเขสุ ลัมพะเร.
มุระชาฬัมพะรานิ จะ
กัปปะรุกเขสุ ลัมพะเร.
ปะริหาระกัญจะ กายูรัง
ปุญญะกัมมาภินิพพัตตา
คีเวยยัง ระตะนามะยัง
กัปปะรุกเขสุ ลัมพะเร.
อุณณะตัง มุขะผุลลัญจะ
ปุญญะกัมมาภินิพพัตตา
อัญเญ จะ นานาวิวิธา
ปุญญะกัมมาภินิพพัตตา
อังคะทา มะณิเมขลา
กัปปะรุกเขสุ ลัมพะเร.
สัพพาภะระณะภูสะนา
กัปปะรุกเขสุ ลัมพะเร.
อาโรปิตัง สะยัมชาตัง
อะกะณัง อะถุสัง สุทธัง
อะกัฏฐะปามิกัง สาลิง
ปุญญะกัมเมนะ ชันตุนัง
สุคันธัง ตัณฑุละผะลัง
ปะริภุญชันติ มานุสา.
ทะเว สะกะฏะสะหัสสานิ
สะกะฏา สัตตะติ เจวะ
ทะเว สะกะฏะสะตานิ จะ
อัมพะนัง โสฬะสัง ภะเว.
อะโถปิ ทะเว จะ ตุมพานิ
เอกะพีเช สะมุปปันนา
ตัณฑุลานิ ปะวุจจะเร
ปุญญะกัมเมนะ ชันตุนัง
เย เกตุมะติยา วิหะรันติ
ตะทาปิ เต ภะวิสสันติ
สังขัสสะ วิชิเต นะรา
คุณิกายูระธาริโน
สัมปันนา มะนะสังกัปปา
หะริจันทะนะลิตตังคา
สุมุขา ถูละกุณฑะลา
กาสิกุตตะมะธาริโน
พะหูตะวิตตา ธะนิโน
อัจจันตะสุขิตา นิจจัง
วีณาตาลัปปะโพธนา
กายะเจตสิเกนะ จะ.
ทะสะ โยชะนะสะหัสสานิ
อะกัณฏะโก อะคะหะโน
ชัมพูทีโป ภะวิสสะติ
สะโม หะริตะสัททะโล.
ตะโย โรคา ภะวิสสันติ
ปัญจะวัสสะสะติตถีนัง
อิจฉา อะนะสะนัง ชะรา,
วิวาหา จะ ภะวิสสันติ;
สะมัคคา สะขิลา นิจจัง
สัมปันนา ผะละปุปเผหิ
อะวิวาทา ภะวิสสะเร.
ละตา คุมพะวะนา ทุมา,
จะตุรังคุลา ติณะชาติ
นาติสีตา นัจจุณหา จะ
มุทุกา ตูลาสันนิภา
สะมะวัสสา มันทะมาลุตา
สัพพะทา อุตุสัมปันนา,
ตะหิง ตะหิง ภูมิภาเค
กะลายะมุคคะมัตติโย
อะนูนา ตะฬากา นะที.
อะขะรา สุทธะวาลุกา
วิกิณณะมุตตะสาทิสา.
อะลังกะตุยยานัง อิวะ
คามะนิคะมา อากิณณา
ระมะณียา ภะวิสสะติ.
อัจจาสันเน ตะหิง ตะหิง
นะฬะเวฬุวะนัง อิวะ
อะวีจิ มัญเญ วะ ผุฏฐา
พฺระหา กุกกุฏะสัมปะติ
มะนุสเสหิ ภะวิสสะเร,
ปะคาฬฺหัง นะระนารีหิ
อิทธา ผีตา จะ เขมา จะ
สัมปุณณา ผุฏเภทะนา
อะนีติ อะนุปัททะวา.
สะทาระติ สะทาขิฑฑา
นักขัตเต วิจะริสสันติ
เอกันตะสุขะสะมัปปิตา
ตุฏฐะหัฏฐา ปะโมทิตา.
พะหุวันนะปานา พะหุภิกขา
อาละกะมันทา วะ เทวานัง
กุรูนัง ระมะณีโย วะ
พะหุมังสะสุโรทะกา
วิสาลา ราชธานี วะ
ชัมพูทีโป ภะวิสสะติ.
อะชิโต นามะ นาเมนะ
อะนุพฺยัญชะนะสัมปันโน
เมตเตยโย ทฺวิปะทุตตะโม
ทฺวัตติงสะวะระลักขะโณ
สุวัณณะวัณโณ วิคะตะระโช
ยะสัคคัปปัตโต สิริมา
สุปะภาโส ชุตินธะโร
อะภิรูโป สุทัสสะโน
มะหานุภาโว อะสะโม
มะหัทธะโน มะหาโภโค
อักขิตโต ชาติวาเทนะ
ชายิสสะติ พฺราหฺมะณะกุเล.
มะหา จะ กุละมุตตะโม
ชายิสสะติ พฺราหฺมะณะกุเล.
สิริวัฑโฒ วัฑฒะมาโน จะ
อะชิตตะถายะ อุปปันนา
สิทธัตโถ เจวะ จันทะโก
ปาสาทา ระตะนามะยา.
นาริโย สัพพังคะสัมปันนา
มะหามัชฌิมะกา จูฬา
สัพพาภะระณะภูสิตา
อะชิตัสสะ ปะริจาริกา,
อะนูนา สะตะสะหัสสา
จันทะมุขี นามะ นารี,
นาริโย สะมะลังกะตา.
ปุตโต โส พฺรหฺมะวัทธะโน.
ระมิสสะติ ระติสัมปันโน
อะนุภุตวา ยะสัง สัพพัง
โมทะมาโน มะหาสุเข,
นันทะวะเน วาสะโว ยะถา
อัฏฐะ วัสสะสะหัสสานิ
กะทาจิ ระติมัตถายะ
อะคารัมหิ วะสิสสะติ.
คัจฉัง อุยยาเน กีฬิตุง
กาเมสฺวะ อาทีนะวัง ธีโร
นิมิตเต จะตุโร ทิสวา
โพธิสัตตานัง ธัมมะตา
กามะระติวินาสะเน
ชิณณัง วฺยาธิตะกัญเจวะ
สุขิตัง ปัพพะชิตัง ทิสวา
มะตัญจะ คะตะมายุกัง
สัพพะภูตานุกัมปะโก
นิพพิณโณ กามะระติยา
อะนุตตะรัง สันตะปะทัง
อะนะเปกโข มะหาสุเข
เอสะมาโน ภินิกขะมิ.
สัตตาหัง ปะธานะจารัง
ปาสาเทเนวะ ลังฆิตวา
จะริตวา ปุริสุตตะโม
นิกขะมิสสะติ ชิโน
มิตตามัจจะสะหาเยหิ
จะตุรังคินิเสนายะ
ญาติสาโลหิเตหิ จะ
ปะริสาหิ จตุวัณณีหิ
จะตุราสัติ สะหัสสานิ
เมตเตยยัสมิง ปัพพะชิเต
พฺราหฺมะณา เวทะปาระคู
ปัพพะชิสสันติ เต ตะทา.
อิสิทัตโต ปุราโณ จะ
จะตุราสีติ สะหัสสานิ
อุภะโย เตปิ ภาตะโร
ปัพพะชิสสันติ เต ตะทา.
ชาติมัตโต วิชะโย จะ
ปัจจุเปสสันติ สัมพุทธัง
ยุคา อะมิตะพุทธิโน
จะตุราสีติสะหัสสะโต
สุทธิโก นามะ คะหะปะติ
ปัจจุเปสสันติ สัมพุทธัง
สุธะนา เจ อุปาสิกา
จะตุราสีติสะหัสสะโต
สังโข นามะ อุปาสะโก
ปัจจุเปสสันติ สัมพุทธัง
สังขา นามะ อุปาสิกา
จะตุราสีติสะหัสสะโต
สุธะโน นามะ คะหะปะติ
ปัจจุเปสสันติ สัมพุทธัง
สุทัตโต อิติ วิสสุโต
จะตุราสีติสะหัสสะโต
อิตถี ยะสะวะตี นามะ
จะตุราสีติสะหัสเสหิ
วิสาขา อิติ วิสสุตา
นะระนารีหิ ปุเรกขิตา
นิกขะมิสสันติ เนกขัมมัง
อัญเญ นาคะริกา เจวะ
ขัตติยา พฺราหมะณา เวสสา
เมตเตยยัสสานุสาสะเน
ตะโต ชานะปะทา พะหู
สุททา เจวะ อะนัปปะกา
เนกขัมมาภิมุขา หุตวา
เมตเตยยัสสานุปัพพะชิตัง
นานาชัจจา มะหาชะนา
ปัพพะชิสสันติ ตะทา.
ยัสมิง จะ ทิวะเส ธีโร
นิกขันตะทิวะเส เยวะ
เนกขัมมัง อะภินิกขะมิ
โพธิมัณฑัง อุเปหิติ.
อะปะราชิตะนิสะภัฏฐาเน
ปัลลังเกนะ นิสีทิตวา
โพธิปัลลังกะมุตตะเม
พุชฌิสสะติ มะหายะโส.
อุเปตวา อุยยานะวะรัง
อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง
ผุลลัง นาคะวะนัง ชิโน
เอวัง โส วัตตะยิสสะติ:
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง
อะริยัง อัฏฐังคิกัง มัคคัง
ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง
ทุกขูปะสะมะคามินัง
ตะทา มะนุสสา เหสสันติ
ปะริสา โลกะนาถัสสะ
สะมันตา สะตะโยชะเน
ธัมมะจักกะปะวัตตะเน.
ตะโต ภิยโย พะหู เทวา
เนสัง โมเจสสะติ ตะทา
อุเปสสันติ ตะหิง ชินัง,
พันธะนา สะหัสสะโกฏีนัง.
ตะทา โส สังขะราชา จะ
ชินะปาโมกขะสังฆัสสะ
ปาสาทัง ระตะนามะยัง
นิยยาเทตวา,ปุนาปะรัง
มะหาทานัง ทะทิตวานะ
ตะระมานะรูโป สัมพุทธัง
กะปะณิทธิกะวะณิพพะเก,
เทวิยา สะหะเมกะโต
มะหาราชานุภาเวนะ
นะวุติโกฏิสะหัสเสหิ
อะนันตะพะละวาหะโน
สัทธิง ชินัง อุเปหิติ.
ตะทา หะนิสสะติ สัมพุทโธ
อะมะตะทุทระภินิคโฆสัง
ธัมมะเภริง วะรุตตะมัง
จะตุสัจจะปะกาสะนัง.
รัญโญ อะนุจะรา ชะนะตา
สัพเพ วะ เต นิวะวะเสสา
นะวุติสะหัสสะโกฏิโย,
ภะวิสสันติเตหิภิกขุกา.
ตะโต เทวา มะนุสสา จะ
อะระหัตตะวะรัง อารัพภะ
อุเปตวา โลกะนาะกัง
ปัญหัง ปุจฉิสสะเร ชินัง.
เตสัง ชิโน พะยากะเรยยะ,
อะสีติโกฏิสะหัสเสหิ
อะระหัตตะวะระปัตติยา
ตะติยาภิพัสมะโย ภะเว.
ขีณาสะวานัง วิมะลานัง
โกฏิสะตะสะหัสสานัง
สันตะจิตตานัง ตาทีนัง
ปะฐะโม เหสสะติ สะมาคะโม.
วัสสัง วุฏฐัสสะ ภะคะวะโต
นะวุติโกฏิสหัสเสหิ
อะภิฆุฏเฐ ปะวาระเณ
ปะวาเรสสะติ โส ชิโน.
ยะทา จะ หิมะวันตัมหิ
เหมะระชะตะปัพพาเร
ปัพพะเต คันธะมาทะเน
ปวิเวกะคะโต มุนิ
อะสีติโกฏิสะหัสเสหิ
ขีณาสะเวหิ วิมะเลหิ
สันตะจิตเตหิ ตาทีหิ
กีฬิสสะติ ฌานะกีฬิตัง.
โกฏิสะตะสะหัสสานิ
เมตเตยยัง โลกะนาถัง ตัง
ฉะฬะภิญญา มะหิธิกา
ปะริวาเรสสันติ สัพพะทา,
ปะฏิสัมภิทาสุ กุสะลา
พะหุสสุตา ธัมมะธะรา
นิรุตติปะทะโกวิทา
วิยัตตา สังฆะโสภะนา
สุทันตา โสระตา ธีรา
ปุเรกขะโต เตหิ ภิกขูหิ
ติณโณ ติณเณหิ สันเตหิ
ปะริวาเรสสันติ ตัง ชินัง.
นาโค นาเคหิ ตาทีหิ
สัทธิง สันติสะมาคะโต
สัทธิง สาวะกะสังเฆหิ
อะนุกัมปะโก การุณิโก
ปะวาเรตวา มะหามุนิ
เมตเตยโย ทะวิปะทุตตะโม
อุทธะรันโต พะหุสัตเต
คามะนิคะมะราชะธานิง
นิพพาเปนโต สะเทวะเก
จะริสสะติ จาริกัง ชิโน.
อาหันตะวา ธัมมะเภริง
ธัมมะยาคัง ปะกิตเตนโต
ธัมมะสังขะปะลาปะนัง
ธัมมะธะชัง สะมุสสะยัง
นะทันโต สีหะนาทัง วะ
ระสุตตะมัง สัจจะปานัง
วัตเตนโต จักกัง อุตตะมัง
ปายันโต นะระนารีนัง
หิตายะ สัพพะสัตตานัง
โพเธนโต โพธะเนยยานัง
นาถานาถัง มะหาชะนัง
จะริสสะติ จาริกัง ชิโน.
กัสสะจิ สะระณรคะมะเน
กัสสะจิ ปัญจะสีเลสุ
นิเวเสสสะติ จักขุมา
กัสสะจิ กุสะเล ทะสะ,
กัสสะจิ ทัสสะติ สามัญญัง
กัสสะจิ อะสะเม ธัมเม
จะตุโร ผะละมุตตะเม,
ทัสสะติ ปะฏิสัมภิทา.
กัสสะจิ วะระสัมปัตตี
กัสสะจิ ติสโส วิชชาโย
อัฏฐะ ทัสสะติ จักขุมา,
ฉะฬะภิญญา ปะวัจฉะติ.
เตนะ โยเคนะ ชะนะกายัง
ตะทา วิตถาริกัง เหสสัง
โอวะทิสสะติ โส ชิโน,
เมตเตยยะชินะสาสะนัง.
โพธะเนยยะชะนัง ทิสวา
ขะเณนะ อุปะคันตะวานะ
สะตะสะหัสเสปิ โยชะเน
โพธะยิสสะติ โส มุนิ.
มาตา พราหมะวะตี นามะ
ปุโรหิโต สังขะรัญโญ
สุพราหมา นามะ โส ปิตา
เมตเตยยัสสะ ตะทา ภะเว.
อะโสโก พราหมะเทโว จะ
สีโห นามะ อุปัฏฐาโก
อัคคา เหสสันติ สาวะกา
อุปัฏฐิสสะติ ตัง ชินัง
ปะทุมา เจวะ สุมะนา จะ
สุมะโน เจวะ สังโข จะ
อัคคา เหสสันติ สาวิกา
ภะวิสสันตัคคุปัฏฐะกา
ยะสะวะตี จะ สังขา จะ
โพธิ ตัสสะ ภะคะวะโต
ภะวิสสันตัคคุปัฏฐะกา
นาคะรุกโข ภะวิสสะติ
วีสะหัตถะสะตักขันโธ
สัมเวลลิตัคคา ลุฬิตา
สาขา วีสะสะตานิ จะ
โมระหัตโถ วะ โสภะติ
สุปุปผิตัคคา สัตตัง
นาฬีปูรา ภะเว เรณุ
สุระภิ เทวะคันธิกา
สุผุลลา จักกะมัตตะกา
อะนุวาตะปะฏิวาตัมหิ
อัชโฌกิริสสะติ ปุปผานิ
วายะติ ทะสะ โยขะเน
โพธิมัณเฑ สะมันตะโต
สะมาคันตะวา ชานะปะทา
วากะยัง นิจฉาระยิสสันติ
ฆายิตฺวา คันธัง อุตตะมัง
เตนะ คันเธนะ โมทิตา
สุโข วิปาโก ปุญญานัง
ยัสสะ เตเชนะ ปุปผานัง
พุทธะเสฏฐัสสะ ตาทิโน
อะจินเตยโย ปะวายะติ
อัฏฐาสีติ ภะเว หัตโถ
อุรัง ภะเว ปัญจะวีสัง
อายาเมเนวะ โส ชิโน
วิกขัมเภ ตัสสะ สัตถุโน
วิสาละเนตโต อะฬารักขิ
อะนิมิสัง ทิวารัตตี
วิสุทธะนะยะโน อิสิ
อะณุ ถูลัง มังสะจักขุนา
อะนาวะระณัง ปัสเสยยะ
ปะภา นิทธาวะติ ตัสสะ
สะมันตา ทะวาทะสะโยชะนัง;
วายะตา ปัญจะวีสะติ.
โสภะติ วิชชุลัฏฐี วะ
ระตะนัคฆิกะสังกาโล
ทีปะรุกโข วะ โส ชิโน,
ภาณุมา วิยะ ภาหิติ.
ลักขะณานุพะยัญชะนา รังสี
ปะตันติ วิวิธา รังสี
ทิสสันตื สัพพากาลิกา,
อะเนกะสะตะสะหัสสิโย.
ปาทุทธาเร ปาทุทธาเร
ติงสะหัตถา สะมา ปัตตา,
สุผุลลา ปะทุมา รุหา,
อะนุปัตตา ปัญจะวีสะติ,
เกสะรา วีสะติหัตถา,
สุรัตตะเรณุภะริตา
กัณณิกา โสฬะสัง ภะเว,
ปะทุมา โกกาสะมันตะเร.
กามาวะจะริกา เทวา
นาคะราชา จะ สุปัณณา จะ
นิมมินิสสันติ อัคฆิเก,
ตะทา เตลังกะริสสะเร;
อัฏฐะ โสวัณณะยา อัคฆี
อัฏฐะ มะนิมะยา อัคฆี
อัฏฐะ รูปิมะยานิ จะ
อัฏฐะ ปะวาฬะมายานิ จะ.
อะเนกะระตะนะสัมจิตา
ลัมพะมานา กีฬิสสันติ
ธะชะมาลาวิภูสิตา
ธะชา เนกะสะตา พะหู.
มะณิมุตตะทามะภูสิตา
ปะริกขิตตา กิงกิณิกะชาลา
วิตานา โสมะสันนิภา
วะตังสะกะระตะนา พะหู.
นานาปุปผา วิกกีริสสันติ
วิวิธา นานาจุณณานิ
สุระภิคันธะสุคันธิกา
ทิพพะมานุสสะกานิ จะ.
วิจิตตา นานาทุสสานิ
อะภิปปะสันนา พุทธัสมิง
ปัญจะวัณณิกะโสภะนา
กีฬิสสันติ สะมันตะโต.
ตัตถะ สะหัสสะมุพเพธา
ระตะนัคฆิกะโตระณา
โทสสะเนยยา มะโนระมา
อะสัมพาธา สุสัณฐิตา
โสภะมานา ปะทิสสันติ
เตสัง มัชฌะคะโต พุทโธ
วิสาลา สัพพะโต ปะภา
ภิกขุสังฆะปุเรกขะโต
พรหมา วะ ปาริสัชชานัง
คัจฉันติ พุทเธ คัจฉันเต,
อินโท วะ วิมานันตะเร
ติฏฐะมานันหิ ฐัสสะเร,
นิสินเน สะยิเต จาปิ
จะตุอิริยาปะเถ นิจจัง
สัตถะริ สะหะปาริเส
ธาระยิสสันติ สัพพะทา
เอตะจัญญา จะ ปูชาโย
วิวิธานิ ปาฏิหีรานิ
ทิพพะมานุสสะกา ปิจะ
เหสสันติ สัพพะกาลิกา
อะนันตะปุญญะเตเชนะ
ทิสวานะ ตัง ปาฏิหีรัง
สะปุตตะทารา ปาเณหิ
เมตเตยยัง อะภิปูชิตัง
นานาชัจจา มะหาชะนา
สะระณัง เหสสันติ สัตถุโน.
เย พราหมะจะริยัง จะริสสันติ
เต ตะริสสันติ สังสารัง
สุตฺวานะ มุนิโน วะจัง
มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง.
พะหุคคิหี ธัมมะจักกัง
ทะสะหิ ปุญญะกิริยาหิ
วิโสเธสสันติ เต ตะทา
ตีหิ สุจะริเตหิ จะ
อาคะมาธิคะเมเนวะ
อะนุธัมมะจาริโน หุตฺวา
โสธะยิตฺวานะ สาทะรัง
พะหู สัคคูปะคา ภะเว.
นะ สักกา สัพพะโส วัตตุง
อัจจันตะสุขิตา นิจจัง
เอตตะกัง อิติ วา ยะสัง.
ตัสมิง คะเต กาละสัมปะเท
มะหายะสา สุเขนาปิ
ทิพพะสัมปัตติ วา เตสัง
อายุวัณณะพะเลนะ จะ
มานุสสานัง ภะวิสสะติ
อะนุภุตฺวา กามะสุขัง
เต ปัจฉา สุขิตา เยวะ
อัทธานัง ยาวะติจฉะกัง
นิพพิสสันตายุสังขยา;
อะสีติวัสสะสะหัสสานิ
ตาวะตา ติฏฐะมาโน โส
ตะทา อายุ ภะวิสสะเร,
ตาเรสสะติ ชะเน พะหู.
ปะริปักกะมานะเส สัตเต
อะวะเสสาทิฏฐะสัจจานัง
โพธะยิตฺวานะ สัพพะโส
มัคคามัคคัง อะนุสาสิยา
ธัมโมกกัง ธัมมะนาวัญจะ
สักกัจเจนะ หิ สัตตานัง
ธัมมาทาสัญจะ โอสะธัง
จะเปตฺวา อายะติง ชะเน
สัทธิง สาวะกะสังเฆนะ
ชะลิตฺวา อัคคิกขันโธ วะ
กะตะกิจเจนะ ตาทินา
นิพพายิสสะติ โส ชิโน.
ปะรินิพพุตัมหิ สัมพุทเธ
วัสสะสะตะสะหัสสานิ
ตะโต ปะรัง อันตะระธานัง
สาสะนัง ตัสสะ ฐาหิติ
อะสีติ เจวะ สหัสสะโต;
โลเก เหสสะติ ทารุณัง.
เอวัง อะนิจจา สังขารา
อิททิรา เภทะนา เจวะ
อัทธุวา ตาวะกาลิกา,
ชัชชะรา ริตตะกา ภะวา,
ตุจฉะมุฏฐิสะมา สุญญา
นะ กัสสะจิ วะโส ตัตถะ
สังขารา พาละลาปะนา,
วัตตะติ อิทธิมัสสะปิ;
เอวัง ญัตฺวา ยะถาภูตัง
ทุลละโภ ปุริสาชัญโญ,
ยัตถะ โส ชายะติ ธีโร
นิพพินเท สัพพะสังขาเต.
นะ โส สัพพัตถะ ชายะติ;
ตัง กุลัง สุขัง เอธะติ.
ตัสมา เมตเตยยะพุทธัสสะ
อุพพิคคะมานะสา สุฏฐุง
ทัสสะนัตถายะ โว อิธะ
กะโรถะ วิริยัง ทัฬหัง.
เยเกจิ กะตะกัลยาณา
ภิกขู ภิกขุณิโย เจวะ
อัปปะมาทะวิหาริโน
อุปาสะกา อุปาสิกา
มะหันตัง พุทธะสักการัง
ทักขินติ ภัทระสะมิติง
อุฬารัง อะภิปูชะยัง
ตัสฺมิง กาเล สะเทวะกา.
จะระถะ พฺรหมะจะริยัง
อุโปสะถัง อุปะวะสะถะ
เทถะ ทานัง ยะถาระหัง
เมตตัง ภาเวถะ สาธุกัง.
อัปปะมาทะระตา โหถะ
อิเธวะ กัตะวา กุสะลัง
ปุญญะกิริยาสุ สัพพะทา
ทุกขัสสันตัง กะริสสะถาติ.
อนาคตวํโส นิฏฺฐิโต.
คัมภีร์อนาคตวงศ์ ว่าด้วยพระอริยเมตไตรย
จบแล้ว ฯ
จากหนังสือ อนาคตวํส
คัมภีร์อนาคตวงศ์ พระอริยเมตไตรย
แปลโดย พระมหาชนะ ธมฺมธโช ป.ธ.๙
พิมพ์เป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ
พระครูวุฒิธรรมรักษ์ (โกวิท ปริสุทโธ)
รองเจ้าอาวาสวัดสองพี่น้อง
ณ เมรุวัดสองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
เมื่อวันพุธที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๓
พิมพ์ที่โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
๑๑ - ๑๗ ถนนมหาราช ท่าพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพ ฯ ๑๐๒๐๐
โทร.๐๒-๒๒๑-๘๘๙๒, ๐๒-๒๒๔-๘๒๑๔, ๐๒-๖๒๓-๖๔๑๗
โทรสาร ๐๒-๖๒๓-๖๔๑๗
E-Mail: mahachulapress@hotmail.com